EP 9 | ยัยหมาโบ๊ะ
@คณะวิศวกรรมศาสตร์
บอสนั่งทำโปรเจคอยู่ใต้ตึกสาขาอิเล็กทรอนิกส์คณะวิศวกรรมศาสตร์ จู่ๆ ก็รู้สึกขยันอยากทำงานโปรเจคให้จบขึ้นมาทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาทำพอเป็นพิธีเท่านั้น
นอกจากเขาแล้วก็ยังมีนักศึกษาในสาขาคนอื่นๆ นั่งทำโปรเจคบ้าง รายงานบ้าง เล่นเกมบ้าง พูดง่ายๆ คือมีนักศึกษาอยู่ทุกชั้นปี
แต่กๆๆๆ ฟู๊บบ ฟุบ!
เสียงเครื่องยนต์รถที่เพียงได้ยินก็สามารถเดาได้ว่าน่าจะมีอายุการใช้งานเกินสิบปี เผลอๆ อาจจะยี่สิบปีด้วยซ้ำดังขึ้นหน้าสาขาอิเล็กทรอนิกส์เรียกความสนใจจากนักศึกษาที่กำลังนั่งทำรายงานอยู่ให้หันไปมอง ไม่เว้นแม้แต่เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาอย่างบอส
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เขารู้สึกคุ้นตากับรถคันนี้แต่ไม่แน่ใจว่าเคยเห็นที่ไหน แต่ที่น่าสงสัยมากกว่าคือรถสภาพนี้ยังมีคนกล้าขับมันอีกเหรอไม่กลัวมันจะระเบิดใส่บ้างหรือไง
“รถใครวะ”
“มึงกล้าเรียกว่ารถอีกเหรอ กูคิดว่าเศษเหล็ก”
เสียงรุ่นน้องสองคนจากโต๊ะข้างหลังดังขึ้นและบอสก็รู้สึกเห็นด้วยกับความคิดนั้น จากสภาพแล้วเขาไม่กล้าเรียกมันว่ารถด้วยซ้ำ
บอสไหวไหล่เล็กน้อยก่อนจะเห็นมาสนใจโปรเจคจบของตัวเอง ตอนนี้เขาต้องการสมาธิไม่อยากจะวอกแวกกับเรื่องไร้สาระ
“เฮ้ย!คนขับผู้หญิงว่ะ”
“ไปช่วยดิวะ”
น้ำเสียงร่าเริงจากรุ่นน้องทั้งสองคนไม่ได้ทำให้บอสสนใจจะหันไปมองอีก ตอนนี้เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังเป็นมนุษย์ที่มีต่อมอารมณ์ต่อเพศตรงข้ามบกพร่อง จู่ๆ ก็รู้สึกไม่ชอบผู้หญิงที่แต่งหน้าจัดแถมยังเกิดอาการเหม็นกลิ่นน้ำหอมของพวกเธอ
“ใส่แว่นน่ารักฉิบหาย”
ขวับ!
ประโยคที่ลอยมาไกลๆ เรียกความสนใจจากร่างสูงได้ทันที สายตาคมมองข้ามรุ่นน้องสองคนนั้นแต่โฟกัสไปยังคนตัวเล็กซึ่งอยู่ในชุดนักศึกษากำลังเดินวนเวียนไปมาอยู่หน้ารถราวกับหนูติดจั่น
ทั้งที่บอกว่าจะไม่สนใจแต่ขาแกร่งกลับก้าวออกจากเก้าอี้เดินตรงไปยังเศษเหล็กเคลื่อนที่คันนั้นเสียแล้ว
“รถเสียเหรอครับน้อง”
“ใช่ค่ะ คือหนูมะ...”
แครอทหันกลับมาตอบสองหนุ่มใจดีที่เดินเข้ามาถามไถ่แต่พูดไม่ทันจบประโยคเธอก็ชะงักไปเพราะเห็นร่างสูงของใครอีกคนเดินตรงมาทางเธอเช่นกัน
อาการอึ้งจนหน้าเหวอของเธอทำให้ชายหนุ่มอีกสองคนหันกลับไปมองและเจอรุ่นพี่ปีสี่ในสาขาเดียวกับพวกเขากำลังยืนล้วงกระเป๋าอยู่ข้างหลัง
“กูจัดการเอง”
บอสพูดพร้อมพยักพเยิดหน้าเพื่อบอกให้รุ่นน้องทั้งสองคนกลับไปใต้ตึกสาขาตามเดิม
“อ่อ ครับ”
แน่นอนว่าท่าทางเคร่งขรึมและสายตาดุดันของเขาทำให้รุ่นน้องทั้งสองคนตอบรับอย่างง่ายดาย ใครๆ ก็รู้ว่ารอยยิ้มพราวเสน่ห์และท่าทางขี้เล่นของเขามีไว้ใช้กับผู้หญิงเท่านั้น
“หึ! มาให้ฉันจัดการถึงที่เลยนะ”
บอสกระตุกยิ้มมุมปากพร้อมกับค่อยๆ ก้าวขาเข้าไปหาคนตัวเล็กที่กำลังถอยหลังหนีเขาเช่นกัน
“อ่ะ!”
แครอทอุทานออกมาด้วยความตกใจเมื่อแผ่นหลังของเธอชนเข้ากับประตูรถเสียแล้ว เธอรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังหมดหนทางหนีพญามัจจุราชที่กำลังคืบคลานเข้ามารับวิญญาณของเธอ
‘เอาไงดีไอ้แคร์ วิ่งหนีทิ้งรถไว้ก่อนดีมั้ย’
“เธอ!”
ปึง!
“เฮือก!”
เขาเดินเข้าไปประชิดตัวเธอก่อนจะใช้มือตบลงตรงประตูรถข้างๆ ใบหูของหญิงสาวพร้อมเอ่ยเรียกเธอเสียงดังจนร่างบางสะดุ้งโหยง
“กล้ามากนะที่บล็อกเบอร์ บล็อกไลน์ฉัน”
บอสพูดด้วยน้ำเสียงลอดไรฟันพลางโน้มตัวลงไปหาใบหน้าจิ้มลิ้มเรื่อยๆ ยิ่งอยู่ใกล้เธอเท่าไหร่ยิ่งรู้สึกว่าแว่นตาหนาเตอะของเธอมันช่างเกะกะสายตาของเขาจริงๆ
ไม่งั้นเขาคงจะได้เห็นดวงตากลมโตคู่สวยชัดกว่านี้แม้ว่าตอนนี้กำลังยืนมองเขาตาละห้อยก็ตาม
“นะ...หนูขอโทษค่ะ”
แครอทรีบยกมือขึ้นไหว้พลางหลับตาปี๋ ใครจะกล้าจ้องตากับเขากันล่ะ หน้าตาของเขาตอนนี้น่ากลัวยิ่งกว่าเจ้ากรรมนายเวรเสียอีก
“ง่ายไปมั่ง”
“แล้วพี่จะให้หนูทำยังไงล่ะ หนูไม่ได้ตั้งใจจะไปส่องรถพี่ซะหน่อย”
แม้จะใจสู้เถียงเขากลับไปแต่เธอก็ยังไม่กล้าเปิดตาขึ้นมองหน้าเขาอยู่ดี ทำไมต้องก้มลงมาจ้องขนาดนี้ด้วย ถ้าสายตาสั้นมากก็ไปตัดแว่นสิ!
“เปิดตา!”
พรึบ!
ดวงตากลมโตเปิดขึ้นทันทีด้วยความตกใจและเธอก็พบว่าใบหน้าหล่อเหลาอยู่ห่างจากเธอไม่ถึงคืบ ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของเขาแม้จะดูดุดันแต่กลับชวนให้น่าค้นหา
คิ้วสีดำคมเข้ม จมูกโด่งเป็นสันราวกับพระเจ้าตั้งใจปั้นมาอย่างดี ริมฝีปากหยักได้รูป รวมๆ แล้วคือความหล่อที่ลงตัวสุดๆ แต่พระเจ้าคงลืมส่งคู่มือการเป็นคนดีมาให้เขาใช้ด้วยน่ะสิ
“อ่ะ! เอาแว่นตาหนูคืนมานะ”
เพราะรู้สึกรำคาญสายตาจนอดไม่ไหวที่จะดึงแว่นตาหนาเตอะออกจากใบหน้าจิ้มลิ้มของคนตัวเล็ก
‘เชี่ย!น่ารักจังวะ’
แครอทพยายามเอื้อมมือไปคว้าแว่นตาของเธอคืนแต่เพราะเธอสายตาสั้นมากและความสูงที่ห่างกันยี่สิบกว่าเซนติเมตรทำให้เธอคว้าได้แค่อากาศเท่านั้น
“พี่ว่างมากเหรอคะ! ถึงมาแกล้งหนูอยู่ได้”
คนตัวเล็กเริ่มมีน้ำโห ตอนนี้มันเริ่มค่ำแล้วแถมรถอีแก่ของพ่อเธอก็เสียไม่รู้จะกลับหอพักยังไง ยังจะมาโดนเขาแกล้งอีก
“หึ! ปลดบล็อกเบอร์โทรและไลน์ของฉัน ฉันจะคืนแว่นให้”
แม้จะมองเห็นแค่เลือนลางแต่เธอก็ยังพอเดาได้ว่าตอนนี้ร่างสูงตรงหน้ากำลังยิ้มอย่างมีความสุขมากแค่ไหนที่ได้แกล้งเธอ
‘แค่เจอเจ้ากรรมนายเวรก็ซวยอยู่แล้ว ยังมาเจอเจ้ากรรมนายเวรโรคจิตอีกไอ้แครอทเอ้ย!’
“พี่ก็คืนแว่นตาให้หนูก่อนสิคะ หนูมองไม่เห็นจะกดโทรศัพท์ได้ยังไง”
“อย่ามาเจ้าเล่ห์ยัยโบ๊ะ”
“หนูไม่ได้ชื่อโบ๊ะแล้วก็ไม่ใช่คนโบ๊ะบ๊ะด้วย”
“เกี่ยวอะไรกับโบ๊ะบ๊ะ”
คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันด้วยความสงสัย เขายังไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องโบ๊ะบ๊ะเลยสักคำ
“ก็พี่เรียกหนูว่ายัยโบ๊ะ”
เพี๊ยะ!
บอสยกมือขึ้นตีหน้าผากตัวเองพลางกลอกตามองบน นี่เขากำลังคุยกับเด็กมหาวิทยาลัยปีหนึ่งหรือเด็กสามขวบอยู่กันแน่ พ่อแม่กล้าปล่อยให้ออกมาใช้ชีวิตเองได้ยังไง
“เฮ้ออ! เอาโทรศัพท์ของเธอมาอย่าลีลา”
ชายหนุ่มถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ เขาไม่คิดจะเสียเวลาอธิบายเพราะคิดว่าน่าจะต้องคุยกันยาว มือหนายื่นไปตรงหน้าในขณะออกคำสั่ง
แครอทยอมเปิดกระเป๋าสะพายของตัวเองแล้วหยิบโทรศัพท์ออกมายื่นให้เขาอย่างจำใจ
เธอพยายามหรี่ตามองไปยังมือหนาเพื่อโฟกัสว่าแว่นตาของตัวเองอยู่ตรงไหนและรอจังหวะให้เขาเผลอเพื่อจะเข้าไปดึงแว่นตาของตัวเองคืน
พรึบ!
หมับ!
“อ๊ะ”
“หัดเป็นเด็กเจ้าเล่ห์เหรอ”
แครอทกระโดดเข้าไปคว้าแว่นตาในมือของบอสแต่เขากลับรู้ทันชูแขนสูงขึ้นส่วนแขนอีกข้างก็ตวัดกอดรัดเอวบางเอาไว้เพราะเธอเซลงมาใส่ตัวเขา
เอวคอดกิ่วจนแขนแกร่งแทบจะกอดรวบได้ทั้งตัว ความนุ่มนิ่มสองก้อนตรงหน้าอกทำให้ชายหนุ่มรู้ได้ทันทีว่าคนตรงหน้าของเขาซ่อนรูปไม่น้อย กลิ่นหอมอ่อนๆ ของแป้งเด็กทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายมากกว่ากลิ่นน้ำหอมแบรนด์ดัง
“ปล่อยหนูนะ”
คนตัวเล็กดิ้นดุกดิกอยู่ในวงแขนแกร่งในขณะที่เจ้าตัวกำลังกดปลดบล็อกเบอร์และบล็อกไลน์ของตัวเองในโทรศัพท์ของเธอ
แครอทยอมหยุดดิ้นเพราะความเหนื่อย ปลายจมูกทรงบาร์บี้แตะลงที่เสื้อช้อปของเขาพอดิบพอดี
‘กลิ่นน้ำหอมผู้ชายเหรอเนี้ย หอมจัง’
เมื่อจัดการปลดบล็อกเสร็จเรียบร้อยบอสจึงก้มลงมองคนในอ้อมแขนที่กำลังยืนทำจมูกฟุดฟิดราวกับลูกหมากำลังดมกลิ่นเพื่อหาของเล่น
“ยัยหมาโบ๊ะ”
“หนูไม่ชะ..จุ๊บ!”
O3O!!!
