4. บทเปลี่ยน แต่คนเขียนไม่รู้
นิยายที่หลี่ม่ายจือเขียน ทุกอย่างเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เพราะฝีมือเพื่อนสาวคนสนิทของนางนั่นแหละ ไป่มู่สับเปลี่ยนบทบาทตัวละครตามความต้องการของเธอ ทำให้คนที่มาเกิดใหม่ไม่รับรู้อะไร ยึดติดกับบทบาทเก่าที่ตนได้ร่างไว้เท่านั้น เพราะงานเขียนพึ่งเริ่มต้นไปได้เพียงแค่ห้าตอน
ทว่าเพื่อนสาวกลับเปลี่ยนบทใหม่ตั้งแต่วันแต่งงาน ทำให้ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแบบที่หลี่ม่ายจือวางเอาไว้ คงมีแค่ไป่มู่เท่านั้นที่รู้ว่าใครคือตัวเอก และบทบาททุกอย่างจะดำเนินไปเช่นไร คนที่ตายแล้วเกิดใหม่ไม่มีทางได้รู้เลย จนกว่าจะถึงวันสุดท้ายของชีวิต ซึ่งต่อจากนี้หลี่ม่ายจือต้องเผชิญกับมันด้วยตัวเองแล้ว
“คุณหนูท่านพูดคนเดียวอีกแล้วนะเจ้าคะ” เสี่ยวผิงเตือนสติอีกรอบ เกรงว่าแม่สื่อและสาวใช้ที่ยืนอยู่ในห้องจะมองว่านางเสียสติ ถึงได้พูดพร่ำไปเรื่อยเช่นนี้
หลี่ม่ายจือทำได้แค่ทอดถอนใจ เพราะไม่อาจเอื้อนเอ่ยความจริงกับใครได้ แค่นี้สาวใช้ยังมองตนไม่เหมือนเดิมเลย สุดท้ายเจ้าสาวป้ายแดงจึงต้องนั่งรอเจ้าบ่าวต่อไป
เอาไว้ให้ท่านโหวมา นางค่อยพูดคุยทำข้อตกลงกับเขาแล้วกัน ไม่แน่สิ่งที่เห็นมันอาจเป็นการเข้าใจผิดของนางผู้เดียวก็ได้
อืม ตามนี้แหละม่ายจือ
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ร่างสูงของเจ้าบ่าวก็ปรากฏกายที่หน้าประตู แม่สื่อจึงรีบเชื้อเชิญเพื่อทำหน้าที่ของตนต่อ
หยวนจิ้งนั่งลงข้างเจ้าสาวของตน จากนั้นก็ใช้ไม้ที่แม่สื่อส่งให้เปิดผ้าคลุมออก หลี่ม่ายจือไม่กล้าเงยหน้ามองเขาเลย เห็นทีไรแล้วมันใจสั่นทุกที คนอะไรหล่ออย่างกับพระเอกซีรี่ย์ ยิ้มทีโลกทั้งใบก็เหมือนจะหยุดหมุนเอาให้ได้
“ตัดผมมัดรวมกันก่อนนะเจ้าคะ ชีวิตคู่จะได้ยั่งยืนอยู่กันจนชั่วลูกชั่วหลาน” แม่สื่อเอ่ยชักนำ ก่อนจะส่งกรรไกรให้เจ้าสาว
‘ชั่วลูกชั่วหลานเลยหรือ’ ม่ายจือนึกในใจ นางยังคงถือกรรไกรไว้เช่นนั้น หากตัดไปแล้วเป็นดั่งคำที่แม่สื่อเอ่ยล่ะ ‘ไม่หรอกมั้ง มันก็แค่ธรรมเนียมปฎิบัติ ความรักความเข้าใจของคนสองคนต่างหากที่จะทำให้ครองคู่กันยืดยาว’ คิดได้เช่นนั้นนางก็ลงมือตัดผมของตนออก พอเหมาะแก่การทำพิธี
“ตัดให้พี่ด้วยสิ” เสียงทุ้มอ่อนดังมา ทำให้ใบหน้างามเงยขึ้นมองสบตาเขาโดยไม่ตั้งใจ ทุกอย่างหยุดนิ่งอีกแล้ว
“น้องหญิงเป็นอันใดไปหรือ” หยวนจิ้งยังคงเอ่ยถามด้วยความสงสัย จู่ ๆ เจ้าสาวก็เอาแต่กะพริบตาถี่มองเขา สุดท้ายมือเรียวก็เอื้อมมากุมมือนางเพื่อจัดการตัดผมเสียเอง ทำให้ร่างเล็กต้องขยับเข้าหาจนใบหน้าอยู่ห่างกันแค่คืบ
ลมหายใจอุ่นเป่ารดพวงแก้มขาวทันที เพราะท่านโหวเองก็ตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยที่ได้เข้าใกล้ฮูหยินหมาด ๆ ของตนเช่นนี้
แม่สื่อรับผมมาแล้วก็ยิ้มกริ่ม เมื่อเห็นบ่าวสาวต่างก็เขินอายซึ่งกันและกัน นางทำพิธีมามาก ทว่าไม่เคยเห็นคู่ไหนเหมาะสมกันเช่นนี้เลย บุรุษก็รูปงามองอาจ สตรีก็เลอโฉมจนหาที่ติไม่ได้ รูปร่างอวบอิ่มมีน้ำมีนวล ผิวพรรณก็ผุดผ่องน่าจับต้อง
“สุรามงคลเจ้าค่ะ” เสียงของแม่สื่อเรียกสติทั้งคู่ให้ขยับออกห่างกัน หลี่ม่ายจือเอาแต่ก้มหน้ามองมือตนเอง
“ดื่มสุรามงคลกันเถอะ แม่สื่อกับสาวใช้จะได้ออกไปพัก” หยวนจิ้งกล่าวเสียงทุ้มอ่อนโยนอีกแล้ว เขาไม่รู้หรือว่ามันทำให้คนฟังใจเต้นแรงแค่ไหน ม่ายจือก่นว่าเขาในใจ
จอกน้ำเต้าที่มัดติดกันถูกแกะออก ตามมาด้วยเสียงสุราที่ไหลรินลง ชักนำใจดวงน้อยให้เต้นรัวขึ้นไปอีก พิธีทุกอย่างตรงตามขนบธรรมเนียมในยุคโบราณ นางกำลังแต่งงานกับตัวเอกในนิยาย ผู้ชายที่หล่อเอามาก ๆ มันคือโชคดีหรือโชคร้ายกันนะ
มือขาวยื่นออกมาถือจอกน้ำเต้าไว้ นางและเขาต้องขยับหันหน้าใส่กัน เพราะเชือกแดงที่ผูกรั้งไว้มันสั้นมาก
ทำให้ตอนที่ยกดื่มใบหน้าจึงอยู่ห่างกันแค่คืบ สร้างความตื่นเต้นให้กับทั้งคู่อีกรอบ ม่ายจือเลยต้องรีบกระดกให้หมด ซึ่งดูเหมือนนางจะคิดผิด เพราะทันทีที่จอกน้ำเต้าออกห่างจากปากแดงเรื่อ บางสิ่งก็แนบปิดลงมาแทน
ดวงตาสวยโตเท่าไข่ห่าน เมื่อคนตัวโตฉวยโอกาสจูบนางโดยไม่ทันตั้งตัว ม่ายจือได้แต่นิ่งงันนั่งตัวตรง ปล่อยให้สามีหมาด ๆ ละเลียดชิมความนุ่มหยุ่นบนปากตนโดยลืมต่อต้าน
ม่ายจือยอมรับว่านางรู้สึกดีมาก เมื่อได้รับสัมผัสอ่อนโยนเหล่านี้ ทว่ามันต้องไม่ใช่เช่นนี้สิ เขาเป็นของนางเอกนะ
มือขาวยกขึ้นดันไหล่แกร่งออกทันทีที่ได้สติ มองเขาด้วยสายตาตำหนิอย่างเห็นได้ชัด คนกำลังเคลิ้มถึงกับมึนงง ขมวดคิ้วมองนางอย่างไม่เข้าใจ คราแรกฮูหยินเขาก็ดูคล้อยตามดี เหตุไฉนนางจึงผลักไสเขาด้วยท่าทางตื่นกลัวเช่นนี้
“ใจเย็นก่อนเจ้าค่ะ เราคุยกันก่อนได้หรือไม่” ตัดสินใจเอ่ยขึ้นมา มันคงเป็นทางเดียวที่จะทำให้เรื่องดำเนินไปตามบทแล้ว
ภายในห้องก็ไม่เหลือใคร คงออกไปตั้งแต่เห็นท่านโหวจู่โจมนางนั่นแหละ แต่ก็ดีจะได้ตกลงกับเขาให้มันจบไปเสีย ภายหน้าจะได้อยู่โดยไม่ถูกเอาเปรียบอีก
“หึหึ ว่ามาสิ อยากคุยเรื่องใด” คนตัวโตกล่าวพร้อมกับลุกขึ้นปลดอาภรณ์ของตนออก เหลือเพียงชุดสีแดงด้านใน ก่อนจะหันมาหาผู้ที่นั่งอยู่บนเตียง และช่วยปลดเครื่องประดับออกให้
“เอ่อ…ข้าทำเองได้เจ้าค่ะ” บอกอย่างเกรงใจ
“ถ้าเจ้าไม่พร้อมข้าจะไม่รังแก จะรอจนกว่าเจ้าจะเต็มใจแล้วกัน งานแต่งนี้ไม่ได้ถามความเห็นเจ้าก่อน ข้าไม่ควรเอาเปรียบ” แต่ละคำที่ท่านโหวเอ่ย ล้วนแต่อยู่ในใจนาง ราวกับเขารับรู้สิ่งที่ม่ายจือคิดเสียอย่างนั้น
“ขอบคุณเจ้าค่ะที่เข้าใจ” ตอบเขาเสียงเบา
“ไม่เป็นไร ขอแค่เจ้าบอกก็พอ มีเรื่องใดอึดอัดขอให้เอ่ย เพราะเราต้องใช้ชีวิตครองคู่กันจนตายจาก อย่าได้ถือว่าข้าเป็นคนอื่น ยามนี้เราคือคนคนเดียวกันแล้วนะฮูหยิน”
สรรพนามที่เขาเอ่ยเรียกมันช่างหวานหูนัก ฮูหยินที่หมายถึงภรรยาเอก นางจะครองตำแหน่งนี้ได้นานแค่ไหนกัน แล้วคำว่าตายจากมันจะเกิดขึ้นกับตนและเขาได้อย่างไร ในเมื่ออีกไม่นานตัวแปรก็จะปรากฏตัวแล้ว ถึงตอนนั้นคำนี้มันคงไม่มีความหมายอีกต่อไป เพราะเขาต้องเอาไปใช้กับนางเอกตัวจริง
“ลุกขึ้นพี่จะช่วยถอดชุดจะได้ไปอาบน้ำ ไม่เหนียวตัวหรือ”
“อะ…เอ่อ…ข้าถอดเองได้เจ้าค่ะ” บอกเขาพร้อมกับดันมือเรียวที่ยื่นออกมาจับเข็มขัดที่รัดเอวตน
“อย่าดื้อ ไม่เช่นนั้นพี่จับถอดหมดนะ” ตาโตเท่าไข่ห่านอีกรอบ หยวนจิ้งโหวที่ดุดันคนนั้นไปไหนแล้ว ทำไมคำพูดเขาถึงแปรเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบนี้ล่ะ
ม่ายจือจำต้องยืนตัวแข็งทื่อ ปล่อยให้สามีหมาด ๆ ปลดเปลื้องอาภรณ์ให้จนเหลือเพียงชุดแดงด้านในไม่ต่างกัน อย่างน้อยเขาก็ทำอย่างที่พูดแหละ คือแค่ช่วยถอดชุดด้านนอกเท่านั้น เพราะมันหนักสองสามโลได้เลยมั้ง นางรู้สึกโล่งในทันทีก็ว่าได้
ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยขอบคุณ สามีรูปงามก็ฉวยโอกาสจุมพิตลงที่แก้มเนียน ก่อนที่เขาจะยิ้มกริ่มส่งให้
“ถือว่าเป็นค่าตอบแทนที่พี่ช่วยแล้วกัน ไปอาบน้ำเถอะ พี่จะได้อาบบ้าง” บอกอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับจับไหล่นางให้หมุน แล้วดันให้เดินตรงไปที่ประตู ซึ่งเป็นห้องสำหรับชำระร่างกาย
“รีบ ๆ ล่ะ พี่เองก็เหนียวตัวมาก แต่ถ้าเจ้าอยากได้คนถูหลังให้ ก็ร้องเรียกได้นะ พี่อยู่ในห้องนี่แหละ” ยังมิวายเย้าแหย่ภรรยาตัวน้อยที่กำลังมองค้อนเขาอยู่
“ออกไปเลยนะคนฉวยโอกาส คนชีกอ” ต่อว่าเขาพร้อมกับดันร่างสูงให้ออกจากห้องอาบน้ำ ก่อนจะปิดประตูใส่กลอน
“ปากก็บอกจะไม่รังแก ไม่เอาเปรียบ แต่ดูการกระทำเขาสิ แล้วแบบนี้เราจะทนไหวไหมเนี่ยะ นางเอกจ๋ามาไวไวเถอะ” ก่นว่าผู้ที่อยู่อีกฝั่งผนังห้องอย่างเหนื่อยใจ
#ท่านโหวเชื่อไม่ได้
