บท
ตั้งค่า

3. อ่อนโยนเกินไป

หลี่ม่ายจือครุ่นคิดตามคำของชาวเมืองที่พูดคุยกันอย่างออกรส บางคนเดินขนาบข้างรถม้าราวกับจงใจเอ่ยทุกถ้อยคำให้นางได้ยิน คงมองว่าตนไม่เหมาะสมกับท่านโหวกระมัง

มันก็ไม่แปลกหรอกกับคนในยุคสมัยนี้ สตรีไร้อำนาจขาดทั้งบิดาและมารดา ไม่มีใครอยากรับไปร่วมวงสกุล เพราะไม่อาจสร้างผลประโยชน์อันใดให้ได้เลยนอกจากผลิตทายาท

ยิ่งฝ่ายชายเป็นถึงท่านโหว ตระกูลเก่าซึ่งมีอำนาจมาตั้งแต่บรรพบุรุษ คงเป็นเรื่องยากที่คนภายนอกจะยอมรับกระมัง

“อย่าห่วงเลย อีกไม่นานข้าก็จะหย่าให้เขา” พึมพำกับคนด้านนอก ซึ่งฟังจากเสียงแล้วก็มีแต่เหล่าสตรี คงอิจฉาแหละ

ครึ่งวันต่อมา

รถม้าที่ไปรับตัวเจ้าสาวก็มาถึงหน้าจวนสกุลเกาในเมืองหลวง คนด้านในยังคงนั่งนิ่ง เพราะกำลังทำใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น

“นี่เรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้แล้วจริง ๆ สินะ” พึมพำกับตนเองอีกหน ยามนี้คนจากโลกความจริงอ้างว้างสุดจะพรรณนา มีชีวิตในโลกของตนเองอยู่ดีดี พอลืมตาขึ้นมาก็มาอยู่อีกโลกแล้ว ใครมันจะไม่ตื่นตระหนกตกใจกันล่ะ ดีที่ยังอยู่ในนิยายตัวเอง จึงพอรู้แนวทางบ้าง ไม่งั้นคงมึนงงไม่มีสิ้นสุดเป็นแน่

“คุณหนูลงมาได้แล้วเจ้าค่ะ” เสียงสาวใช้ดังมาเตือนสติให้คนด้านในต้องรีบขจัดความกังวลออกจากหัว ก่อนจะมุดออกมาจากผ้าม่านกั้นประตู เสียงเซ็งแซ่จากผู้คนที่มารอเฝ้าดูจึงดังขึ้นอีก ไม่ต่างจากเมืองที่เจ้าของร่างอาศัยอยู่เลย

มนุษย์นี่ โลกไหนก็เหมือนกันหมดสินะ นินทา ครหากันสนุกปาก ทั้งที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางด้วยซ้ำ เจ้าสาวที่พวกเจ้าเห็นอยู่ในตอนนี้ มิได้อยากแต่งกับหยวนจิ้งโหวเสียหน่อย

อยากว่าก็ไปว่าคนออกราชโองการโน่น มิใช่ข้า

หลี่ม่ายจือก็ทำได้แค่คิดอยู่ในหัวเท่านั้นแหละ ขืนต่อว่าผู้คนเหล่านี้ออกไป มีหวังชื่อเสียงเจ้าของร่างได้ป่นปี้เป็นแน่

ร่างเล็กเดินมาหยุดที่ทางลง มองขั้นบันไดเบื้องล่าง พร้อมกับมือเรียวที่ยื่นออกมารอ ‘คงเป็นท่านโหวสินะ’ นึกในใจก่อนจะยื่นส่งมือตนวางทับ เพื่อใช้อีกฝ่ายพยุงตัวลงจากรถม้า

ถ้าเป็นโลกที่ตนอยู่ ความสูงแค่นี้นางกระโดดลงก็ได้ ทว่าจะทำแบบนั้นผู้คนคงได้กังขาอีก ชุดก็ไม่เอื้ออำนวยด้วยสิ แต่เอาเถอะ ทำตัวให้เหมาะกับการเป็นสตรีในยุคนี้ดีกว่า

ทว่าแรงลมที่พัดมา มันกลับทำให้ผ้าคลุมของเจ้าสาวปลิดปลิวไปนี่สิ เผยใบหน้างามสะท้อนกับแสงแดดอ่อน ให้ชาวเมืองได้ส่งเสียงฮือฮากันไปทั่วบริเวณ

“เจ้าสาวช่างงดงามไร้ที่ติจริง ๆ”

“บุญของท่านโหวแล้ว มีฮูหยินงามถึงเพียงนี้ นึกไม่ถึงว่าบุตรีแม่ทัพหลี่จะมีรูปโฉมราวกับเทพธิดา”

“นั่นสิข้าเห็นด้วย” บรรดาชายหนุ่มที่มาร่วมยินดีเอ่ยชื่นชม ต่างจากเหล่าสตรีที่คว่ำปากด้วยความหมั่นไส้ ถึงกระนั้นพวกนางก็ไม่เอ่ยอันใด เพราะอยู่ต่อหน้าท่านโหวรูปงาม

หยวนจิ้งไม่ได้สนใจถ้อยคำของผู้คน เพราะมันก็จริงอย่างว่า หลี่ม่ายจืองดงามยิ่งนัก เขาเองก็นึกไม่ถึงเช่นกัน

เขาหันมาประคองเจ้าสาวของตนลงจากรถม้า จนทั้งคู่ยืนข้างกันอยู่เบื้องล่าง “ตื่นเต้นหรือ” เอ่ยถามเมื่อสัมผัสได้ว่ามือนางเย็นเฉียบ คนตัวเล็กพยักหน้าให้ไม่มองเขาเลยสักนิด

เห็นเมื่อครู่ก็รู้ว่าเขาหล่อมาก ดูเด่นเป็นสง่าเชียว ขืนให้มองตรง ๆ มีหวังนางหลงจนไม่ยอมเสียเขาให้นางเอกแน่

“นี่ผ้าคลุม สวมให้เจ้าสาวเจ้าเถอะ” เสียงทุ้มอ่อนโยนจากใครบางคนดังขึ้น ทำให้คนที่ก้มหน้าอยู่เกิดความฉงนต้องเงยมอง ‘โอ้แม่เจ้า เทพบุตรชัด ๆ’ บุรุษตรงหน้ารูปงามไม่ต่างจากเจ้าบ่าวเลย ซุ่มเสียงหรือก็ไพเราะน่าฟัง หากเป็นนักร้องในโลกจริง เขาคงดังเปรี้ยงป้างเทียบเท่าซุปเปอร์สตาร์แน่

“ขอบใจ นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะมาได้ งานยุ่งมิใช่หรือ” ท่านโหวเอ่ยทักทายสหายที่เขาไม่ได้พบมาร่วมสามปีแล้ว

“ฝ่าบาทรับสั่งให้ข้าย้ายมาประจำการที่เมืองหลวงแล้ว ต่อไปคงได้พบกันทุกวัน” ชายหนุ่มร่างสูงแต่งกายองอาจไม่ต่างจากท่านโหว เอ่ยตอบคำถามก่อนจะยิ้มเพิ่มเสน่ห์ให้ตนเอง

หยวนจิ้งยกยิ้มชอบใจเมื่อได้ฟัง ก่อนจะหันมาหาสตรีตัวน้อยที่ยืนอยู่ระหว่างเขากับสหาย ซึ่งกำลังมองตาแป๋ว

“คลุมไว้ เข้าห้องหอแล้วข้าจะไปเอาออกเอง” ผ้าแพรสีแดงปักลายดอกโบตั๋น ถูกครอบลงบนหัวอีกหน มีเพียงด้านหน้าที่ยังถูกมือเรียวจับไว้ เพราะท่านโหวรูปงามอยากเอ่ยบางสิ่งกับนาง

“นึกไม่ถึงว่าฮูหยินข้าจะงามถึงเพียงนี้” ริมฝีปากหนาเผยยิ้มหลังจากกล่าวคำชมจบ ทำเอาเจ้าสาวตัวสูงแค่ไหล่ถึงกับยืนนิ่ง ดวงตาสวยกะพริบถี่อยู่หลายรอบ จนกระทั่งผ้าแพรนั้นปิดลงจนเห็นใบหน้าอีกฝ่ายแค่เลือนลาง ไม่ถึงอึดใจร่างเล็กก็ถูกรั้งให้เดินตามเจ้าบ่าวเข้าประตูไปด้วยอาการมึนงง

‘ไม่สิ ทำไมท่าทางเขาเหมือนคนตกหลุมรักสาวสวยอะไรเทือกนั้น เรา…เราเป็นนางรองนะ รักกับพระเอกไม่ได้’ นึกในใจถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในยามนี้

กระทั่งเดินเข้ามาถึงจุดทำพิธีก็ยังไม่รู้ตัว

“เตรียมตัวนะเจ้าคะ” เสียงแม่สื่อดังมาเรียกสติ พร้อมกับมือที่จับอยู่ตรงช่วงเอวของม่ายจือ

“หนึ่งคำนับฟ้าดิน” สิ้นคำแม่สื่อก็เคลื่อนมือมากดช่วงหลังเจ้าสาวที่ยังอยู่ในอาการมึนงง แต่นางก็ยังทำตามไม่ต่างจากเจ้าบ่าว ก่อนจะถูกจับหันกลับมาอีก

“สองคำนับบิดามารดา” คราวนี้หลี่ม่ายจือทำตามอย่างว่าง่าย เพราะภาพเลือนลางตรงหน้าคือหญิงชายคู่หนึ่งนั่งอยู่ คงเป็นพ่อแม่เจ้าบ่าว ไม่ก็ญาติผู้ใหญ่กระมัง

“สาม สามีภรรยาคำนับกัน” ครานี้นางถูกจับให้หันมาเผชิญหน้ากับเจ้าบ่าว ทำเอาใจดวงน้อยเต้นรัวจนแทบจะทะลุออกมา จบจากตรงนี้ตนก็กลายเป็นคนมีสามีแล้วสินะ

ถึงแม้เรื่องทั้งหมดต้องจบลงในอีกไม่นาน ทว่าภายในใจมันก็อดตื่นเต้นไม่ได้อยู่ดี ครั้งแรกในชีวิตเลยนะที่ได้เข้าพิธี

“เจ้าสาวคำนับเจ้าบ่าวสิเจ้าคะ” เสียงแม่สื่อดังขึ้นเตือนสติ หลี่ม่ายจือจึงค่อย ๆ โค้งลงไม่ต่างจากท่านโหว

“เสร็จพิธี ส่งตัวเจ้าสาวเข้าห้องหอ” ประโยคก่อนก็ว่าระทึกแล้ว ทว่าประโยคนี้หนักกว่าเสียอีก

หลี่ม่ายจือได้แต่เดินตัวแข็งทื่อเหมือนคนไร้วิญญาณตามแรงจูงของสาวใช้คู่กาย จนแขกในงานบางคนถึงกับอดขำไม่ได้ ส่งเสียงเย้าให้ได้ยิน คนฟังจึงมีอาการกังวลมากกว่าเดิม

พอเข้ามานั่งในห้องแล้วก็กระวนกระวายกระสับกระส่าย มือก็คอยแต่จะดึงผ้าออก จนเสี่ยวผิงต้องคอยตำหนิอยู่เรื่อย

“คุณหนู อย่าทำพิธีเสียสิเจ้าคะ”

“เสี่ยวผิง ข้ากลัว” บอกอย่างที่ใจคิด เมื่อนึกถึงสายตาของท่านโหว เขาดูไม่เหมือนผู้ชายเย็นชาตามบทที่นางเขียนเลย สิ่งเหล่านี้มันควรเกิดขึ้นกับนาง สตรีที่เขาไม่ได้เต็มใจแต่งด้วย

ทว่าเหตุใดท่านโหวถึงได้ดูอบอุ่นและอ่อนโยนนักยามอยู่กับตน มันไม่ควรต้องเป็นแบบนี้เลย มีสิ่งใดผิดพลาดกระนั้นหรือ

ทำไมพระเอกของเรื่องถึงได้อ่อนโยนกับหลี่ม่ายจือนัก

นิยายเรื่องนี้ตัวเอกไม่มีทางชอบนางรองแน่ เขาออกจะเกลียดนางเสียด้วยซ้ำ เพราะไม่ได้เต็มใจแต่งงานเลยสักนิด อีกอย่างนิสัยของตัวละครก็ถูกระบุไว้ชัดเจน

โดยเฉพาะหยวนจิ้งโหว หากไม่ชอบก็คือไม่ชอบ

“เห้อ! ยิ่งคิด ยิ่งงง หรือว่ามีใครทำอะไรกับนิยายที่ยังไม่จบของฉันเนี่ยะ มันถึงได้ต่างออกไปแบบนี้” คนในนิยายบ่นพึมพำไปเรื่อย ต่างจากใครอีกคนที่อยู่ในโลกความเป็นจริง เพราะกำลังมีความสุขเป็นอย่างมากกับการเปลี่ยนบทใหม่

#อ้าว ๆ ใครเปลี่ยนบท แบบนี้ลูกสาวเราจะทำยังไง 

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel