2. พระเอกก็หล่อเกิน
หลี่ม่ายจือยืนตัวแข็งทื่อเมื่อหันมาพบกับคนที่พูดกับตนเมื่อครู่ เพราะอีกฝ่ายมีหน้าตาหล่อมาก รูปร่างดี การแต่งตัวก็เรียกได้ว่าเพอเฟคตั้งแต่หัวจรดเท้า เหมือนพระเอกในซีรี่ย์ย้อนยุคที่เคยดูมา เป็นเทพบุตรในฝันของสาว ๆ เชียวแหละ
“คุณพูดกับฉันเหรอคะ” ถามเขาอย่างสุภาพ ความฉงนก็ยังมีอยู่เมื่อหันไปเห็นชายหนุ่มหน้าตาดีด้านหลังเขา การแต่งตัวมันดูไม่ต่างกันเท่าไหร่นัก เพียงแต่คนที่พูดกับเธอดูดีกว่า น่าจะเป็นเจ้านายตามบทล่ะมั้ง ในใจส่วนลึกก็ยังคิดว่าที่นี่คือโรงถ่าย
คิ้วหนาผูกกันเป็นปมเมื่อได้ยินประโยคที่ไม่คุ้นหู
“คุณ? เจ้าหมายถึงข้ากระนั้นหรือ”
“เอ่อ…ใช่ค่ะ เมื่อกี้คุณพูดกับฉันใช่ไหม”
“อืม ข้าพูดกับเจ้า หนีการแต่งงานทำไม ไม่รู้หรือว่าขัดราชโองการจะต้องถูกประหาร ไม่สงสารคนในจวนบ้างหรือ” คนตัวโตเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงปกติ ไม่มีทีท่าโกรธสตรีตัวน้อยเลยสักนิด
ม่ายจือได้แต่กะพริบตาถี่มองเขาด้วยความมึนงงอีกรอบ อยู่ดีดีผู้ชายคนนี้ก็มาว่าเธอหนีงานแต่ง แล้วเธอไปตกลงกับเขาเมื่อไหร่ แต่เดี๋ยวนะ! คนที่วิ่งตามเธอพูดถึงชื่อใครบางคนนี่หน่า
“คุณคือหยวนจิ้งโหวงั้นเหรอ” นิ้วขาวชี้ไปที่ใบหน้าคมคายของอีกฝ่ายอย่างลืมตัว ก่อนที่มันจะถูกกำไว้ด้วยมือเรียวของเขา ตามด้วยสายตาที่อ่านไม่ออกซึ่งกำลังเพ่งมา
ม่ายจือพยายามดึงนิ้วตนกลับ อีกฝ่ายก็ปล่อยในทันที ทำให้ร่างเล็กเซถลาไปด้านหลัง มือเรียวจึงรีบรั้งเอวคอดเอาไว้
“อย่าดื้อ เพราะการกระทำเหล่านี้จะทำให้คนอีกมากเดือดร้อน กลับไปแต่งตัวเสีย ใกล้จะได้ฤกษ์แล้ว ข้าสัญญาว่าจะดูแลเจ้าอย่างดี ไม่ให้น้อยหน้าผู้ใดเด็ดขาด” เสียงทุ้มอ่อนโยนของหนุ่มหล่อมันช่างชวนให้คนฟังใจเตลิดตามไปดีเหลือเกิน
ม่ายจือเกือบจะเคลิ้มตามวาจาที่เขาเอื้อนเอ่ยออกมาแล้วทว่าในหัวมันกลับฉุกคิดบางสิ่งขึ้นมา มันไม่ถูกต้อง ถ้านี่คือนิยายที่เธอเขียน คนตรงหน้าก็พระเอกนะสิ ส่วนเธอก็แค่นางรองที่ต้องคู่กับเพื่อนเขา คนตรงหน้าไม่ควรทำดีกับเธอด้วยซ้ำ
“เอ่อ…คือ” อยากค้านนะ แต่พอเห็นสายตาดุที่มองมาก็จำต้องหุบปากลง ในเรื่องก็ดันเขียนให้เขาเป็นสายโหดเสียด้วย ปากยิ้มแต่ในใจนี่คิดอะไรไม่รู้ ตัวละครนี้ออกแนวหน้านิ่ง แต่เวลาอยู่กับนางเอกจะเป็นอีกอย่าง เรียกง่าย ๆ ก็ประมาณว่า ร้ายกับคนทั้งโลก แต่ดีกับเธอแค่คนเดียวอะไรเทือกนั้นแหละ
ทว่าน้ำเสียงที่เขาใช้กับเธอนี่มันอะไรกัน ฟังแล้วขนลุกยังไงบอกไม่ถูก ถ้าพูดบ่อย ๆ เธอจะไม่หลงเอาเหรอ
ร่างเล็กถูกสาวใช้ประคองเพื่อพากลับเข้าจวน ยามนี้เองที่คนจากยุคศิวิไลซ์เริ่มรู้สึกว่าไม่ควรวิ่งออกมาทั้งที่รองเท้าก็ไม่ใส่ อากาศที่หนาวมันทำให้แทบก้าวขาไม่ออกเลยทีเดียว เท้าก็เริ่มเจ็บขึ้นมาแล้ว ทำไมตอนวิ่งออกมาถึงไม่รู้สึกนะ
“ไม่น่าห้าวเลยเรา อ่ะ!” บ่นพึมพำกับตนเองยังไม่ทันขาดคำ ร่างนางก็ลอยขึ้นจากพื้นด้วยน้ำมือว่าที่สามี หลี่ม่ายจือได้แต่มองเขาตาปริบ ๆ จะท้วงก็ไม่กล้าเพราะท่านโหวมองตาดุ
เขาอุ้มมาส่งจนถึงห้องพัก ก่อนจะวางลงอย่างอ่อนโยน
“รีบอาบน้ำแต่งตัว อีกครึ่งชั่วยามข้าจะมารับ” สิ้นคำเขาก็เดินออกไป ทว่าไม่ทันไรก็กลับเข้ามาอีก ทำเอาคนที่ยืนมองอยู่ถึงกับเป็นงง ก่อนจะกระจ่างเมื่อมือเรียวยกขึ้นมาปลดเอาเสื้อคลุมออก แล้วสายตาเขามันก็หยุดอยู่ที่หน้าอกของนาง
ริมฝีปากหนาเผยยิ้มเล็กน้อย ไม่รู้พอใจหรือเยาะเย้ยอะไรกันแน่ จากนั้นเขาก็หมุนตัวเดินออกไปอีกรอบ
“อีท่านโหวลามก ชีกอ” เสียงด่าทอตามมาหลังจากนั้น เมื่อหลี่ม่ายจือก้มมองดูตัวเอง เชือกที่ผูกรั้งข้างตัวมันหลุดออก คอเสื้อมันเลยกว้างขึ้นจนมองเห็นร่องอกอย่างชัดเจน
“คุณหนูไม่กลัวท่านโหวจะทำโทษหรือเจ้าคะ” เสี่ยวผิงรีบดึงแขนผู้เป็นนายร้องห้ามด้วยความตื่นกลัว
“ชิ! กลัวทำไม คนลามกแบบนั้น” ยังมิวายต่อว่าเขา
“ท่านโหวขึ้นชื่อว่าโหดมากนะเจ้าคะ แต่เรื่องนั้นช่างเถอะ รีบไปอาบน้ำแต่งตัวดีกว่านะ ประเดี๋ยวจะถูกตำหนิอีก” สาวใช้รีบลากผู้เป็นนายไปที่ห้องน้ำด้านข้าง
หลี่ม่ายจือจึงได้แต่ทำตาม เพราะยามนี้นางเริ่มประจักษ์แล้วว่าตนไม่ได้อยู่ในโลกใบเดิมอีกต่อไปแล้ว
การรักษาคนป่วยโดยไม่ได้หยุด มันคงทำให้เธอหัวใจวายตายในห้องพักนั่นแหละ ส่วนสาเหตุที่มาอยู่ในนิยายของตัวเองนั้น เธอก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่ามาได้อย่างไร
จากนี้คงต้องใช้ชีวิตเป็นหลี่ม่ายจืออยู่ในยุคโบราณไปสินะ แค่ดำเนินไปตามเรื่องก็ไม่น่าจะมีปัญหา รอให้พระนางพบกันแล้ว ตนก็เป็นแม่สื่อให้ทั้งคู่ตามพล็อตเรื่อง ส่วนพระรองที่จะเจอในงานแต่งก็ต้องเสร็จนางรองอย่างเธอไปตามระเบียบ
บอกเลยว่า แค่คิดก็ฟินแล้ว
ครึ่งชั่วยามต่อมา หลี่ม่ายจือก็อยู่ในชุดแต่งงานจีนโบราณสีแดงสด บนหัวประดับด้วยเครื่องทองห้อยระย้าลงมาดูงดงาม ขับใบหน้าให้หวานหยดย้อยจนเจ้าตัวเองยังตะลึง ไม่ใช่แค่ความงามตามแบบฉบับสาวโบราณหรอก แต่เป็นใบหน้าที่เหมือนราวกับเป็นคนคนเดียวกันนี่ต่างหาก หลี่ม่ายจือจากยุคจริง กับตัวตนในนิยายเหมือนกันราวกับแกะไม่มีผิดเพี้ยน
กระจกทองเหลืองที่ส่องสะท้อนมา มันทำให้เธอต้องนั่งนิ่งมองอยู่นาน จนสาวใช้ต้องเตือนสติอยู่บ่อยครั้ง
“งามมากเลยเจ้าค่ะ” เสี่ยวผิงเอ่ยชมเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว “ดีใจที่คุณหนูของบ่าวมีคนดูแลเสียที นายท่านคงหมดห่วงแล้วนะเจ้าคะ” ก้อนน้ำใสเริ่มไหลลงมาอาบแก้ม
ม่ายจือมองแล้วก็ยิ้มเอ็นดูอีกฝ่าย นึกไม่ถึงว่าตัวละครในนิยายจะมีความรู้สึกมากมายขนาดนี้ คงไม่ต่างจากความเป็นจริงในโลกที่เธอเคยอยู่สินะ “เอาน่า วันมงคลใครเขาร้องกัน” มือขาวยกขึ้นเกลี่ยน้ำตาให้อย่างแผ่วเบา
จากนี้ไป หลี่ม่ายจือก็คงมีแค่สาวใช้ผู้นี้กระมังที่จะอยู่เคียงข้างในวันหน้า เพราะการแต่งงานนี้อีกไม่นานมันก็ต้องสิ้นสุดลง เวลาแค่หกเดือนมันผ่านไปเร็วจะตาย
“เจ้าสาว ได้ฤกษ์แล้วเจ้าค่ะ” แม่สื่อเอ่ยขึ้นที่หน้าประตู
ใจดวงน้อยเต้นรัวทันที ต่อให้รู้ว่าวันหน้าต้องเลิกลากับท่านโหวผู้นี้ ทว่ามันก็อดตื่นเต้นไม่ได้จริง ๆ เกิดมาจนอายุยี่สิบเจ็ดเธอยังไม่เคยมีแฟนเลย อยู่ดีดีก็ได้แต่งงานกับหนุ่มหล่อซะงั้น
มิหนำซ้ำยังอยู่ในยุคโบราณซึ่งเป็นนิยายที่ตัวเองเขียนอีก บอกไปใครจะเชื่อกันล่ะ ทว่าครั้งหนึ่งในชีวิต เธอจะขอทำมันให้ดี ถือว่าซ้อมก่อนได้เป็นเจ้าสาวของพระรองแล้วกัน
คิดได้แบบนั้นก็สบายใจขึ้น สองเท้าจึงก้าวออกไป โดยมีแม่สื่อคอยจับแขนประคอง เพราะเจ้าสาวสวมผ้าคลุมหน้าเอาไว้ จนมาถึงหน้าประตู เจ้าบ่าวผู้สง่างามก็รับหน้าที่พานางไปขึ้นรถม้าที่จอดรออยู่ คาดว่าระยะทางคงไกลกระมัง จึงไม่ใช้เกี้ยวคนหาม พอขึ้นมานั่งด้านบนแล้ว เสียงชื่นชมก็ดังมาไม่ขาดสาย
ทุกคำล้วนแต่เอ่ยถึงท่วงท่าสง่างามของท่านโหว ชายหนุ่มรูปงามที่สตรีทั่วทั้งเมืองอยากมอบกายถวายให้ แต่เขากลับครองตัวเป็นโสด น่าแปลกที่เขายอมรับพระราชทานสมรสโดยง่าย ทั้งที่สามารถขัดได้แท้ ๆ หลายคนจึงสงสัยว่าอาจเป็นเพราะสองปีก่อน แม่ทัพหลี่เคยช่วยชีวิตท่านโหวจากฝ่ายศัตรู จึงกลายเป็นติดหนี้บุญคุณกัน เขาจึงยินดีแต่งบุตรสาวแม่ทัพหลี่เป็นภรรยา
คำพูดเหล่านี้มันเข้าหูเจ้าสาวที่นั่งอยู่บนรถม้าทุกคำ
“เป็นแบบนี้นี่เอง” ม่ายจือพึมพำถึงสิ่งที่ได้ยิน
#ลูกสาวเรายังตั้งหน้าตั้งตาจะกินพระรองอยู่นะ อิอิ
