Over
เสียงเพลงสากลดังกระหึ่มท่ามกลางบรรยากาศขมุกขมัวของแสงไฟและควันบุหรี่ภายในคลับสนุกเกอร์ ผมจ้องมองบรรดาสาวเสิร์ฟที่เดินผ่านไปมาด้วยอารมณ์กระสับกระส่ายอย่างไร้สาเหตุ แต่ไม่ว่าผมจะพยายามเพ่งมองมากเท่าไหร่ก็ไม่ทำให้เห็นคนที่กำลังนึกถึงเลยสักนิด
“เฮ้! อุตส่าห์มาปาร์ตี้กันทั้งที ทำหน้าให้มันร่าเริงหน่อยสิวะ” ฟรานที่นั่งข้างๆ ตบไหล่ผมป้าบหนึ่ง ผมจึงหันไปส่งสายตาเขียวปัดใส่มันอย่างไม่พอใจ ไม่นานเสียงของเคเลอร์ก็ดังตามมา
“ใช่ ทำหน้ายังกับแบกโลกเอาไว้ทั้งใบงั้นล่ะ”
“...”
“หรือยังไม่หายเฮิร์ทเรื่องยัยขนมหวาน”
เสียงแหลมๆ ของมีอาร์กระชากใจผมอย่างแรง
ยัยขนมหวานที่มีอาร์กำลังพาดพิงถึงก็คือพุดดิ้ง ที่รักของผมแต่เป็นแฟนของโพไซดอนนั่นไง น้ำตาจะไหลอีกแล้วให้ตายเถอะ ผมชอบพุดดิ้งมากขนาดไหนทุกคนก็น่าจะรู้
“...” ผมนิ่วหน้าอย่างคนที่กำลังอกหัก
“ไม่น่าเลยมีอาร์ ดูสิ โอเวอร์หน้าจืดเป็นเต้าหู้เลย” นิด้าเสริม
เต้าหู้อะไรวะ ผมจ้องหน้านิด้าด้วยความข้องใจ
“แล้วเมื่อกลางวันนายคุยอะไรกับยัยนั่นเหรอ” นิด้าจ้องหน้าผมอย่างสงสัย
“ใคร” ผมแกล้งทำเป็นไม่เข้าใจ
“ก็มินมินไง” คราวนี้เป็นเสียงของมีอาร์ เฮ้อ พวกผู้หญิงนี่ช่างน่ารำคาญจริงๆ จะสนใจอะไรนักหนา เรื่องตัวเองก็ไม่ใช่
“ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก” ผมบอกแบบปัดๆ
“แต่หน้าแกตอนนั้นมันเครียดเกินกว่าคำว่าไม่สำคัญหนิ”
“...” ผมจ้องหน้าเคเลอร์นิ่ง หมอนี่มันแอบสังเกตผมขนาดนั้นเลยหรือไง
“มีอะไรก็บอกกันบ้าง พวกเราเป็นเพื่อนกันนะเฮ้ย” ฟรานตบไหล่ผมป้าบ เป็นไปด้วยอีกคน เพื่อนเพิ่นอะไรล่ะ พวกแกก็แค่อยากรู้อยากเห็นเรื่องชาวบ้านเท่านั้นล่ะ
มือหนักชะมัด! ไอ้หมอนี่มันเมาเบียร์หรือเปล่าเนี่ย
“...” จะให้ผมบอกเรื่องอย่างปล้ำผู้หญิงโดยไม่รู้สึกตัวให้ฟังน่ะเหรอ เหอะ มีหวังโดนล้อไปสิบชาติแน่
“แหม่... ท่าทางจะเรื่องสำคัญซะด้วยสิ หุบปากเงียบเชียว” มีอาร์เอ่ยอย่างรู้ทัน ไอ้พวกเพื่อนเวรนี่ไล่กลับซะเลยดีไหม
“เฮ้ย หน้ามุ่ยเลยว่ะ ไม่สำคัญก็ไม่เห็นต้องเครียดขนาดนี้เลยนี่นา” เคเลอร์เหน็บมาอีกคน
“น่าเบื่อชะมัด” ผมสบถในลำคอก่อนจะลุกขึ้น
“เฮ้ แล้วนั่นแกจะไปไหน” เสียงฟราน
“ห้องน้ำ”
ผมหันไปตอบอย่างหงุดหงิดก่อนจะเดินออกมา เปล่าหรอก... ผมไม่ได้ไปห้องน้ำแต่เป็นห้องพักพนักงานต่างหาก
“ว้ายคุณชาย ขาดเหลืออะไรหรือเปล่าคะ ถึงได้เข้ามาข้างในนี้” ผู้จัดการทำท่ากรีดกรายมองผมด้วยแววตาเย้ายวนจนท้องไส้ปั่นป่วน
“...” ผมไม่ตอบแต่มองหาใครบางคน
“มองหาใครอยู่เหรอคะ”
“ยัยนั่นไม่มาเหรอ”
“ใครเหรอคะ”
“ก็มินมินไง” ผมหันกลับมาจ้องหน้าผู้จัดการอย่างหงุดหงิด
ผู้จัดการทำหน้าชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยออกมา
“หนูมินมินน่ะเหรอ ก็คุณชายไล่เธอออกแล้วไม่ใช่เหรอคะ ป่านนี้คงไปเป็นพริตตี้สาวสวยอยู่ที่งานมอเตอร์โชว์แล้วล่ะค่ะ”
“ว่าไงนะ” ผมจ้องหน้าผู้จัดการอย่างโกรธจัด พริตตี้ที่งานมอเตอร์โชว์เหรอ เหอะ ถึงว่าล่ะทำไมยัยนั่นถึงไม่ง้อผม ที่แท้ก็มีงานอื่นรออยู่แล้วนี่เอง น่าโมโหชะมัด
“คะคุณชายมีอะไรกับหนูมินมินหรือเปล่าคะ ให้เดี๊ยนโทรหามินมินให้ไหม”
ยุ่ง ผมตวัดสายตาขวางๆ มองผู้จัดการอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนจะเดินออกจากคลับสนุกเกอร์ ตรงมาที่รถแล้วขับออกไปโดยไม่ได้บอกกล่าวเพื่อนที่อยู่ข้างในสักคำ ตอนนี้ในหัวของผมมีแต่เรื่องของยัยนั่นเต็มไปหมด... เพราะอะไรกันนะ ทำไมผมถึงสลัดเรื่องวุ่นวายใจนี่ไปไม่พ้นสักที ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าทำอะไรยัยนั่นไปตอนไหน ยังไง แต่ที่รู้ๆ คือภาพใบหน้าเปื้อนน้ำตา ร้องไห้สะอึกสะอื้นของมินมินในเช้าวันนั้นยังคงตามหลอกหลอนผมอยู่ไม่หยุด ผมจะทำยังไงดี นี่ผมรู้สึกผิดต่อเธอจริงๆ นะถึงได้เสนอความช่วยเหลือให้แบบนี้ ปกติผมเคยแคร์ใครซะที่ไหน เหอะ (ยกเว้นพุดดิ้งไว้คนหนึ่ง)
