ตอนที่ 4.3
“...”
ฉันนั่งนิ่งมาตลอด รู้สึกโกรธแค้นผู้ชายที่นั่งข้างๆ จนไม่อยากพูดด้วยสักคำ เขาคิดว่าตัวเองเป็นใครถึงทำกับฉันแบบนี้ จนกระทั่งถึงคลับสนุกเกอร์ สถานที่ทำงานพิเศษเดิมที่แสนคุ้นเคยของฉัน
“ลงมา” โอเวอร์เดินมาเปิดประตูฝั่งของฉัน พร้อมกับออกคำสั่งเสียงสูง
ฉันเบือนหน้าหลบไปอีกฝั่ง ทำไมฉันต้องทำตามที่เขาบอกด้วยล่ะ เชอะ
“บอกให้ลงมา”
“โอ๊ย” ฉันถูกบีบต้นแขนจนรู้สึกเจ็บ โอเวอร์ใช้กำลังดึงฉันออกมาจากรถอย่างป่าเถื่อน ฉันจ้องหน้าเขาน้ำตาคลอเบ้าด้วยความเจ็บ “นายมันบ้า”
“ถ้าไม่อยากให้ฉันบ้าไปมากกว่านี้ก็เดินตามเข้ามาดีๆ” ถึงเขาจะบอกแบบนั้นแต่ฉันก็ไม่คิดจะเชื่อฟังเลยสักนิด
แม้จะขัดขืนยังไงก็ไม่อาจทัดทานเรี่ยวแรงของผู้ชายอย่างโอเวอร์ได้อยู่ดี ฉันถูกลากเข้ามาในคลับสนุกเกอร์ ที่ขมุกขมัวไปด้วยควันบุหรี่คละคลุ้งกับกลิ่นแอลกอฮอล์และเสียงเบสหนักๆ ของเพลงสากล บรรยากาศน่าอึดอัดและอุดอู้ที่คุ้นชินไม่ได้ช่วยทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นเลยสักนิดกับการเข้ามาในสภาพวาบหวิวแบบนี้
ปกติพนักงานเสิร์ฟของคลับสนุกเกอร์ไม่ว่าหญิงหรือชายจะมีชุดยูนิฟอร์มของพนักงานเป็นเชิ้ตแขนยาวสีขาวปิดกระดุมจนมิดคอแล้วผูกโบสีดำเพื่อให้ดูสุภาพและน่ารัก สวมคู่กับกางเกงสแล็คสีดำและรองเท้าผ้าใบสีเข้ม
“เฮ้ หายไปไหนมาเนี่ย โทรหาก็ไม่รับโทรศัพท์แล้วนั่น...” เสียงเพื่อนหมอนั่น ฟรานจ้องมองมาที่ฉันด้วยสายตาทึ่งๆ เขาคงคิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ฉันจะโผล่มา หรือบางทีอาจกำลังตะลึงกับการแต่งตัวที่ผิดแผกของฉันอยู่ก็ได้ แต่จะอะไรก็ช่างเถอะ ตอนนี้ฉันรู้สึกอายมากๆ เพราะโอเวอร์ทำให้ฉันกลายเป็นจุดเด่นของร้าน โดยเฉพาะสายตาของพวกผู้ชายที่มองมา แบบไม่ปิดบังมันทำให้ฉันรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว
อิตาบ้าโอเวอร์ทิ้งตัวลงนั่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ลอยหน้าลอยตาหันมาสั่งฉันด้วยน้ำเสียงกวนๆ “ไปหาอะไรมาให้ดื่มสิ”
ฉันอ้าปากเหวอกับท่าทางของเขา “นี่นาย ฉันไม่ใช่คนรับใช้ของนายนะ อยากกินก็ไปเอาเองสิ” ฉันทำหน้ารังเกียจใส่โอเวอร์ก่อนจะหมุนตัวเพื่อจะรีบออกจากร้าน แต่หมอนั่นก็มือไวกว่าคว้าท่อนแขนของฉันสุดแรงแล้วเหวี่ยงจนร่างฉันหล่นตุบลงบนตักของเขาต่อหน้าต่อตาทุกคน
เฮือก! นี่มันเรื่องบ้าอะไรเนี่ย
ฉันดิ้นเร่าๆ อยู่ในวงแขนของหมอนั่น
“โอเวอร์ทำอะไรของนาย ปล่อยนะ” ใช่ได้ยินไม่ผิดหรอก หมอนั่นจงใจกอดฉันเอาไว้เพื่อขังไม่ให้หนีไปไหนได้
“อยากเป็นน้องเหมียวเจ้าเสน่ห์ไม่ใช่เหรอ”
พรึ่บ
ฉันตวัดมองหน้าโอเวอร์ด้วยสายตาเดือดดาล “นาย!”
“เล่นอะไรของแกอยู่วะ” เสียงเคเลอร์
โอเวอร์ตวัดสายตาเขียวปัดไปมองเคเลอร์ก่อนจะตอบกลับไปเสียงขุ่น “ไม่ใช่เรื่องของแก เงียบไปเลยเคเลอร์”
“...” ทั้งโต๊ะเงียบกริบ เพราะท่าทางฉุนเฉียวของโอเวอร์คนเดียว
“นายไม่มีสิทธิ์ทำกับฉันแบบนี้นะ” ฉันร้องเสียงสั่น รู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตาเหมือนน้ำตากำลังจะไหลออกมา
“ทำไมจะไม่มีล่ะ เธอกับฉันเป็นอะไรกันลืมแล้วเหรอ”
โอเวอร์กระซิบข้างหู ลมหายใจร้อนผ่าวที่ปะทะลงบนข้างแก้มทำให้ท้องไส้ของฉันปั่นป่วนอย่างไม่ทราบสาเหตุ ฉันรีบผลักหน้าอกหมอนั่นออกพลันก้มหน้าหลบสัมผัสจากลมหายใจวาบหวิวของเขาด้วยหัวใจที่สั่นแปลกๆ
“นายไม่อายหรือไง ปล่อยฉันได้แล้ว” ฉันก้มหน้างุด บอกออกไปเสียงสั่น
“ทำไม กลัวใครนินทาหรือไง ทีใส่เสื้อผ้าแบบนี้ทำไมถึงไม่คิดบ้างว่าคนอื่นจะมองยังไง”
ฉันหลับตาแน่นอย่างโมโห ...สรุปว่าฉันผิดเองใช่ไหม
“แล้วนายจะให้ฉันทำยังไง ก็นายไม่ใช่เหรอที่ไล่ฉันออกจากงานน่ะ” ฉันตวาดใส่โอเวอร์อย่างหมดความอดทน
หมอนั่นชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างคนที่ไม่สำนึก
“เธอเลือกที่จะไม่รับข้อเสนอของฉันเอง”
“นายนี่มัน”
“พรุ่งนี้ฉันจะให้เงินเธอ เลิกทำงานที่เปลืองเนื้อเปลืองตัวแบบนี้แล้วกลับมาทำงานที่นี่ซะ”
“...!!!” คิดว่าตัวเองเป็นใครเนี่ย ฉันจ้องหน้าหมอนั่นอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ โกรธจนจะพ่นไฟได้อยู่แล้วถ้าไม่ใช่เพราะเสียงแหลมๆ ของผู้จัดการที่ดังแทรกขึ้นมาฉันคงได้ฝากเขี้ยวเล็บไว้ที่หน้าเนียนๆ ของเขาไปหลายแผลแล้ว
“ว้ายหนูมินมิน คุณชาย อะไรกันคะเนี่ย”
โอเวอร์รีบคลายวงแขนออกเพราะหงุดหงิดท่าทางสอดรู้สอดเห็นของผู้จัดการ ฉันจึงประสบโอกาสรีบลุกขึ้นแล้วเดินออกมาจากคลับอย่างรวดเร็ว
“หนูมินมิน ว้าย! คุณชายจะไปไหนคะ” เสียงผู้จัดการเรียกชื่อฉันด้วยท่าทีตื่นตระหนก แต่ฉันไม่สนใจ รีบเร่งฝีเท้าออกมาให้เร็วที่สุด
“มินมิน” เสียงโอเวอร์ดังไล่หลังมา บ้าเอ๊ย ฉันเปลี่ยนจากเดินเป็นวิ่ง ทันทีที่ออกมาจากคลับก็บังเอิญมีแท็กซี่ผ่านมาพอดี ฉันโบกแล้วเข้ามานั่งก่อนที่โอเวอร์จะตามทัน
“ไป... ออกรถเลยค่ะพี่” ฉันบอกที่อยู่บ้านก่อนจะเร่งให้คนขับออกรถทันที โอเวอร์วิ่งหน้าตั้งออกมาจากคลับพอดี หมอนั่นเตะลมด้วยท่าทางโกรธจัดมองตามท้ายรถแท็กซี่คันที่ฉันนั่งมาด้วยสายตาเจ็บใจ
แอ๊ด...
“อินอิน...” ฉันตกใจเล็กน้อยที่เปิดประตูเข้าบ้านมาก็เจอลูกพี่ลูกน้องกำลังยืนกอดอกเพ่งมองมาด้วยสายตาดุๆ
“เนี่ยน่ะเหรองานใหม่ที่ว่าน่ะ” ยัยนั่นมองฉันด้วยสายตาตำหนิที่ไม่ต่างอะไรจากโอเวอร์ ฉันจิกสายตาตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์ เดินผ่านยัยนั่นมาโดยไม่พูดอะไร “เมื่อกี้แม่พี่โทรมา”
ทว่าประโยคถัดมาของอินอินก็ทำให้ฉันหันขวับไปมองอย่างรวดเร็ว “แม่โทรมาเหรอ”
“ใช่น่ะสิ ทำไมพี่ถึงไม่รับโทรศัพท์ล่ะ แล้วนี่กลับมาตัวเปล่าเหรอ กระเป๋าหายไปไหน”
“อ้อลืมไว้ที่ทำงานน่ะ อยู่นี่ก็ดีแล้วยืมตังค์จ่ายค่าแท็กซี่หน่อยดิ”
“หา”
“เร็วดิ แท็กซี่จอดรออยู่หน้าบ้าน” ฉันเร่งเร้าอินอินเพราะเกรงใจคนขับแท็กซี่ที่จอดรออยู่ได้ระยะหนึ่งแล้ว
“พี่มินมิน พี่... โธ่แล้วทำไมฉันต้องมาจัดการเรื่องของพี่แบบนี้ทุกทีด้วยเนี่ย”
ฉันแกล้งไม่สนใจท่าทีกระฟัดกระเฟียดของอินอิน ตรงเข้ามาเปิดตู้เย็นเพื่อหาน้ำดื่ม แอบชำเลืองมองตามหลังยัยนั่นที่เดินออกไปจ่ายค่าแท็กซี่เงียบๆ
ไม่นานยัยตัวแสบก็เดินกลับมาพร้อมสีหน้าบึ้งตึง “อย่าลืมใช้คืนด้วยนะ”
งกเป็นบ้า
“อืมๆ” ฉันขานตอบไปอย่างตัดรำคาญ
“แล้วเรื่องพี่คนนั้นถึงไหนแล้ว เขาคิดจะรับผิดชอบพี่หรือเปล่า”
พรวด!
จู่ๆ อินอินก็เอ่ยถามเรื่องนั้นออกมาเล่นเอาฉันที่ดื่มน้ำอยู่ดีๆ ถึงกับพุ่งออกมาอย่างตกกะใจ
“อี๋! น่าเกลียด”
“แค่กๆ” ฉันสำลักน้ำ ไอหน้าดำหน้าแดงพลางจ้องยัยอินอินด้วยสายตาร้อนๆ “ก็ใครใช้ให้เธอพูดเรื่องนั้นกันหา”
“อ้าวก็อยากรู้หนิ พี่คนนั้นก็ท่าทางเป็นคนดีนะ ทำไมพี่ไม่รีบๆ จับ เอ๊ย อินหมายถึงว่าทำไมพี่ไม่ใช้โอกาสนี้คบเป็นแฟนกับเขาเลยล่ะ”
“นี่ เธอรู้จักหมอนั่นดีแค่ไหนกันถึงได้พูดแบบนั้นหา” ฉันเสียงดังใส่อินอินอย่างของขึ้น โทษฐานที่พยายามเชียร์โอเวอร์ให้ฉัน เหอะ คนหยาบคายแบบนั้นแม้แต่หน้าฉันยังไม่อยากจะนึกถึงเลย
“ชิ คนอุตส่าห์หวังดียังมาตะคอกใส่อีก พี่ไม่อยากให้พ่อกับแม่กลับมาอยู่ด้วยกันหรือไง”
“อย่ามางี่เง่านะอินอิน เธอคิดเหรอว่าแค่เป็นแฟนกับหมอนั่นแล้วหนี้สินมันจะหมดไปน่ะห๊ะ”
“ก็ไม่รู้ล่ะ พี่คนนั้นรวยมากไม่ใช่เหรอ ถึงจะใช้หนี้ให้ไม่ได้แต่อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องลำบากแบบนี้”
“เธอคิดจะจับผู้ชายรวยๆ กินหรือไง”
“อย่ามาขึ้นเสียงกับอินนะ เพราะพ่อแม่ใครกันล่ะที่ทำให้เราต้องมาตกอยู่ในสภาพแบบนี้” แววตาของอินอินที่จ้องมองมาด้วยความขุ่นเคืองทำเอาฉันจุกจนพูดอะไรไม่ออก รู้สึกชาไปทั้งหน้า เมื่อนึกถึงความผิดพลาดในการทำธุรกิจของพ่อกับแม่จนก่อให้เกิดหนี้สินมากมาย จากฐานะที่เคยร่ำรวย ความสะดวกสบายที่ฉันและอินอินเคยได้รับก็อันตรธานหายไปในชั่วข้ามคืน...
“...!!!” ฉันจ้องหน้าอินอินด้วยแววตาเจ็บใจไม่แพ้กัน
...แล้วไงล่ะ เธอจะโทษว่าเป็นความผิดฉันอย่างนั้นเหรอ เหอะ
