ตอนที่ 4.2
เฮือก
โอเวอร์!
ระหว่างที่ฉันกำลังโพสต์ท่าถ่ายรูปเงอะงะกับลูกค้าผู้ชายที่เข้ามาสอบถามเรื่องรถยนต์อยู่นั้นสายตาก็เหลือบไปเห็นใครบางคนเข้า... ฉันตัวแข็งทื่อ นิ่งค้างไปชั่วขณะ จนลูกค้าต้องเอ่ยเรียกฉันถึงรู้สึกตัวว่ากำลังปล่อยให้หมอนั่นมามีอิทธิพลต่อความคิดไปแล้ว
ฉันรีบถอนสายตาออกมาจากโอเวอร์ที่ยืนกอดอกมองมาที่ฉันด้วยสายตาเย็นเยือก หันไปส่งยิ้มหวานให้ลูกค้าเพื่อเป็นการขอโทษและให้ข้อมูลเรื่องรถต่อ... บ้าชะมัด ทำไมโอเวอร์ถึงมาอยู่ที่นี่ได้นะ แถมยังมองฉันด้วยสายตาแบบนั้นอีก ยังกับฉันไปทำอะไรผิดมาอย่างนั้นแหละ โอ๊ย! ยิ่งคิดก็ยิ่งประสาทกิน
“เฮ้อ~”
ฉันถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยอ่อนเมื่อลูกค้ารายล่าสุดผละออกไปหาพริตตี้คนอื่น
“...อุ้ย!”
ฉันตกใจเมื่อหันกลับมาก็พบกับใบหน้าของโอเวอร์ที่อยู่ห่างไม่กี่นิ้ว
“นะนาย... ว้าย!”
โอเวอร์กระชากแขนฉันให้เดินตามมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “นี่ปล่อยนะ โอเวอร์” ฉันสะบัดมือเขาออกพลางปัดเส้นผมออกจากหน้าอย่างไม่ชอบใจ “เป็นอะไรของนายเนี่ย ฉันทำงานอยู่นะ”
โอเวอร์หันขวับมาจ้องหน้าฉันด้วยแววตาวาวโรจน์ “งานบ้าอะไรของเธอ” เขาปรายตามองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาทิ่มแทง “นุ่งน้อยห่มน้อยแบบนี้ไม่ถอดโชว์ไปเลยล่ะ”
“นี่” ฉันตวาดเสียงกร้าว กำหมัดแน่นด้วยความโกรธจัด ถึงฉันจะแต่งตัวล่อแหลมแต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์มาดูถูกฉันแบบนี้ ฉันพยายามนับหนึ่งถึงสิบในใจ... เตือนไม่ให้ตัวเองเผลอตบหน้าผู้ชายตรงหน้า ฮึ่ย
“กลับไปกับฉัน” โอเวอร์ขึ้นเสียง แววตาเฉียบขาด โชคดีที่เสียงเพลงในงานดังมากจึงไม่มีใครได้ยินสิ่งที่เราทั้งคู่คุยกัน แต่พฤติกรรมดุดันของโอเวอร์ที่กระชากฉันออกมาจากงานก็ทำให้หลายคนจับตามองด้วยความตกใจระคนสงสัยปนอยากรู้อยากเห็น บ้าชะมัด ถ้าฉันโดนหักเงินค่าแรงเพราะนายล่ะก็ฉันหักคอนายแน่โอเวอร์
“ทำไมฉันต้องเชื่อฟังนายด้วย เลิกวุ่นวายสักทีฉันจะกลับไปทำงาน”
“นี่” ฉันจะหันหลังกลับเข้าไปในงานหมอนั่นก็กระชากต้นแขนของฉันให้หันกลับมาเผชิญหน้า โอเวอร์ขบกรามแน่นกัดฟันพูดออกมาอย่างพยายามอดกลั้นอารมณ์โกรธ และฉันก็ไม่เข้าใจว่าเขาจะมาโกรธฉันทำไม “จะกลับไปดีๆ หรือจะให้ใช้กำลัง” โอเวอร์เอ่ยเสียงขุ่น ฉันชะงักก่อนจะตีสีหน้าเลิ่กลั่กอย่างทำอะไรไม่ถูก
“อย่ามาบ้านะ ฉันทำงานอยู่ไม่เห็นหรือไง”
“ถ้าอยากทำงานขายเนื้อขายตัวแบบนี้ทำไมไม่บอกฉันล่ะ ไหนๆ เธอกับฉันก็ลึกซึ้งกันขนาดนั้นแล้วหนิ อีกสักครั้งสองครั้งจะเป็นไรไป ฉันจ่ายให้เองอยากได้เท่าไหร่ก็บอกมา”
กรี๊ดดดดดด ฉันกรีดร้องในใจ จ้องหน้าผู้ชายตรงหน้าด้วยความรู้สึกเกลียดชังมากถึงมากที่สุดจนไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ แค่ฉันไม่เส้นอารมณ์ขาดผึง ยกมือขึ้นตบหน้าเขาก็นับว่าใจเย็นแค่ไหนแล้ว
“รุ่นพี่” ก่อนที่ฉันจะทนไม่ไหวกระโจนเข้าข่วนหน้าโอเวอร์เสียงของคุโชว์ก็ดังขึ้น เขาเดินยิ้มอารมณ์ดีเข้ามาทักทายโอเวอร์อย่างไม่รู้สถานการณ์ในตอนนี้ ฉันเบือนหน้าหลบไปอีกทางอย่างพยายามสงบสติอารมณ์
“มาจริงๆ ด้วยแฮะ ตอนแรกนึกว่าเฮียแค่พูดเล่น”
“แกทำอะไร” โอเวอร์เสียงแข็งกลับไป
“อะไร? ทำไมเฮียทำหน้าตาน่ากลัวอย่างนี้ล่ะ ผมใจไม่ดีเลยนะ”
ฉันหันกลับมามองสองคนนั้น คุโชว์แกล้งเอามือขึ้นจับหน้าอกเหมือนคนขวัญอ่อน แต่ท่าทางขี้เล่นของเขาก็ช่วยทำให้ฉันใจเย็นลงมาก ผิดกับโอเวอร์หมอนั่นไม่เคยทำให้ฉันรู้สึกดีเลยสักครั้ง เจอกันแต่ละทีก็มีแต่เรื่องให้ปวดใจ
“แกกล้าแนะนำงานห่วยแตกแบบนี้ให้รุ่นพี่ของแกได้ยังไง”
โอเวอร์โวยวายพลางปรายตามองการแต่งกายของฉันอีกครั้งด้วยสายตาเหยียดหยัน
“เฮ้ย ทำไมล่ะ ผมว่าเจ๊น่ารักดีออก เหมือนน้องเหมียวเจ้าเสน่ห์เลย หรือเฮียว่าไม่ใช่” คำพูดของคุโชว์ทำให้ฉันไหวตัวด้วยความรู้สึกอาย น้องเหมียวเจ้าเสน่ห์เหรอ เหอะ ฉันเริ่มจะเกลียดขี้หน้านายขึ้นมาบ้างแล้วล่ะคุโชว์
“ฉันจะพายัยนี่กลับ” พูดจบโอเวอร์ก็เอื้อมมือมาจับข้อมือฉันแล้วกระชากให้เดินตามหลังไปอย่างเอาแต่ใจ
“โอเวอร์ปล่อยนะ”
“เฮ้ยเฮีย ทำแบบนี้ไม่ได้นะ เฮีย”
“โอเวอร์ปล่อยฉัน นี่นายหยุดบ้าได้แล้ว ว้าย”
ฉันร้องลั่นด้วยความตกใจเมื่อโอเวอร์กระตุกแขนแรงๆ หนึ่งทีทำให้ฉันถลาขึ้นมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา แววตาของโอเวอร์แข็งกร้าวและน่ากลัวจนฉันไม่กล้าสบตา
“อยากเป็นน้องเหมียวเจ้าเสน่ห์มากใช่ไหม”
“...” เขาพูดอะไรน่ะ ฉันไม่เข้าใจ
“ฉันจัดให้เธอเอง”
ฉันเบิกตากว้างด้วยความตกใจ แต่ก่อนที่จะได้เอ่ยถามอะไรออกไปโอเวอร์ก็กระชากฉันมาที่รถพร้อมกับผลักฉันเข้ามาข้างในอย่างแรง ก่อนจะก้มลงประกบริมฝีปากลงมาที่ริมฝีปากของฉันอย่างรวดเร็ว ความนุ่มนิ่มอุ่นวาบที่แผ่ซ่านไปทั้งเรียวปากทำฉันชะงักงัน เหมือนเวลาได้หยุดหมุน สรรพเสียงรอบข้างเงียบสงัด ราวกับมีแค่ฉันกับเขาเท่านั้นอยู่บนโลก
“อื้อ” ฉันเบิกตากว้าง ใช้สองมือผลักไหล่โอเวอร์ออกห่างทันทีเมื่อรู้สึกได้ถึงน้ำหนักบนริมฝีปากที่กดทับลงมาและพยายามจะล่วงล้ำริมฝีปากเข้ามาข้างใน ถึงตอนนี้ฉันเริ่มได้สติและต่อต้าน ทว่าโอเวอร์กลับรั้งต้นคอฉันเอาไว้แน่น เบียดร่างกายเข้ามากักขังฉันเอาไว้กับเบาะจนไม่สามารถขยับร่างกายได้ ฉันบีบไหล่แข็งแกร่งของเขาแน่น พยายามเบือนหน้าหลบและถอยหนีเท่าที่จะทำได้ แต่โอเวอร์ก็ไล่ต้อนฉันจนหมดหนทางหลบหลีกจากริมฝีปากอุ่นร้อนของเขา หมอนั่นไม่รีรอที่จะบดขยี้ริมฝีปากของฉันแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียวราวกับกำลังพิสูจน์บางสิ่ง
...และเมื่อเขาจูบฉันจนหนำใจแล้วถึงได้ถอนริมฝีปากออกไป จ้องหน้าฉันนิ่ง
“ถ้าเธอคิดหนีฉันขย้ำเธอแน่” โอเวอร์ชี้หน้าขู่ฉันเสียงแข็งก่อนจะอ้อมไปขึ้นอีกฝั่งด้วยท่าทางนิ่งขรึม
