ตอนที่ 2
หลายวันต่อมา
“...”
ระหว่างนั่งกินข้าวด้วยอารมณ์เนือยๆ อยู่บนโต๊ะอาหารในห้องโถงบ้าน จู่ๆ เสียงของอินอินก็ดังแทรกขึ้นมา
“วันนี้ก็ไม่ไปโรงเรียนอีกเหรอ” ยัยนั่นถามออกมาด้วยน้ำเสียงประชดมากกว่าเป็นห่วงซะอีก ชิ!
“มีงาน”
“นี่พี่มินมิน เข้าใจนะว่าพ่อแม่พวกเรามีหนี้เยอะ แต่พี่ไม่จำเป็นต้องทำตัวให้ลำบากแบบนี้ก็ได้ ขาดเรียนบ่อยๆ ระวังจะไม่จบเอา”
“อินอิน”
“ที่พูดเนี่ยก็เพราะเป็นห่วงหรอกนะ เอ่อ... แล้วพี่คนนั้นล่ะ ได้ข่าวว่ารวยไม่ใช่เหรอ”
ฉันขมวดคิ้วจ้องหน้าอินอินด้วยแววตาไม่พอใจ “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเธอห๊ะ”
ยัยเด็กแก่แดดนั่นทำหน้าย่นก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้ฉันถึงกับอึ้งไปสามตลบออกมา
“ไหนๆ ก็นอนด้วยกันแล้วพี่ก็ขอเงินเค้ามาใช้หนี้ให้เราหน่อยดิ พ่อกับแม่จะได้กลับมาสักที”
“...” ฉันอ้าปากค้างไปแล้ว
“นี่อินจริงจังนะ”
“ถ้ายังเห็นฉันเป็นพี่อยู่ล่ะก็อย่าพูดแบบนี้อีก”
ปึก!
“เอ้าพี่มินมิน”
ฉันตบโต๊ะอย่างโมโหก่อนจะลุกออกมาด้วยอารมณ์หงุดหงิด บ้าจริง ฉันกำลังพยายามทำใจเรื่องที่เกิดขึ้นวันนั้นอยู่แท้ๆ แต่ยัยอินอินกลับมาสะกิดต่อมบาดแผลภายในใจของฉันให้เลือดซิบอีกจนได้ แง ฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตัวเองจะต้องมาเสียตัวก่อนวัยอันควรแบบนี้ ฮือ
ไม่ได้ๆ ฉันจะมามัวคิดเรื่องที่ทำให้เศร้าใจไปทำไม ฉันสะบัดศีรษะไล่ความอาลัยอาวรณ์กับสิ่งที่เสียไปทิ้ง มุ่งหน้าเดินสู่ป้ายรถเมล์ท่ามกลางอากาศยามเช้าที่ขมุกขมัวไปด้วยไอหมอกและความหนาวเย็นของฤดูหนาว ดูสิ เพราะโมโหยัยอินอินทำให้ฉันลืมหยิบเสื้อแขนยาวออกมาด้วย ข้าวเช้าก็กินไม่อิ่ม ฮึ่ย
ปี๊บๆๆๆ
รถเมล์มาพอดี โชคดีชะมัด ฉันรีบวิ่งขึ้นรถเมล์อย่างรวดเร็ว ก่อนจะมองซ้ายมองขวาเพื่อหาที่นั่ง ขวับ! ขวับ! เสียงหันคอแทบเคล็ด
“อ่าวเจ๊”
“คุโชว์” ฉันแปลกใจเล็กน้อยที่เจอรุ่นน้องอย่างคุโชว์บนรถเมล์ หมอนี่ไม่ใช่คนที่จะขึ้นรถเมล์สักหน่อย
คุโชว์เป็นรุ่นน้องที่โรงเรียนของฉัน และก็เรียนอยู่ห้องเดียวกันกับท็อฟฟี่ประธานนักเรียนสุดแสบนั่น ชิ!
“แต่งตัวแบบนี้จะไปติวหนังสือเหรอ”
“...” หมอนี่มองโลกในแง่ดีชะมัด ปกติแล้วนักเรียนมอหก จะไม่ค่อยไปเรียนกัน ด้วยเหตุผลสองอย่าง หนึ่ง เตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัย กับทำงานพิเศษ ซึ่งฉันเป็นกรณีหลัง แต่ก็นั่นแหละ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะเป็นแบบฉัน ขนาดยัยอินอินที่อยู่ในสภาพหนี้สินท่วมหัวเหมือนกันยัยนั่นก็ยังมีหน้าระริกระรี้ไปโรงเรียนได้เหมือนปกติ ฉันทำใจไม่ได้หรอก อย่างน้อยๆ ก็ต้องหาเงินให้ได้เยอะๆ เอาไว้ก่อน จะได้สบายใจ
เอี๊ยด
กึก!
จ๊ากกกกก
เพราะมัวแต่ละเมอเพ้อพกจนลืมไปว่ากำลังยืนเกร็งน่องขาอยู่บนรถเมล์ ทำให้ฉันเสียหลักตอนรถเบรกแทบจะล้มหน้าจูบพื้นอยู่แล้วถ้าไม่ได้คุโชว์ช่วยจับเอาไว้
“ระวังหน่อยสิเจ๊” หมอนั่นเสียงเขียวใส่ฉัน
“ขอบใจ”
“ว่าแต่เจ๊โอเคหรือเปล่า” จู่ๆ คุโชว์ก็พูดออกมาแบบนั้น ฉันจ้องหน้าเด็กน้อยตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจว่ากำลังพูดถึงเรื่องอะไร
“...”
“ก็เรื่องที่ท็อฟฟี่ให้เจ๊ไปขโมยความลับของโพไซดอนนั่นไง”
“....”
“ไม่มีปัญหาอะไรใช่หรือเปล่า”
“แหม... ไม่ต้องทำมาเป็นห่วงฉันหรอกคุโชว์ นายไม่ใช่เหรอที่เอาสมุดล่ารายชื่อที่มีที่อยู่ฉันไปให้พุดดิ้งน่ะ ยัยนั่นถึงได้พากันยกโขยงไปบุกบ้านฉัน” ฉันกัดคุโชว์ไปทีหนึ่งอย่างเจ็บใจ แล้วก็นึกถึงหน้าของโอเวอร์ขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ ให้ตายสิ นี่มันฝันร้ายชัดๆ
“ก็พุดดิ้งน่ารักนี่นา เห็นแล้วก็อดช่วยไม่ได้”
“หึ!” หมั่นไส้ยัยพุดดิ้งชะมัด ไม่รู้ทำบุญมาด้วยอะไร ถึงได้ทั้งรวย ทั้งสวย แถมยังมีแต่คนรักคนชอบอีก กรี๊ด แล้วฉันล่ะ เป็นคุณหนูบ้านรวยอยู่ดีๆ ต้องมาตกระกำลำบากตระเวนหางานพิเศษทำต้อยๆ อยู่แบบนี้ ชาติที่แล้วไปทำเวรทำกรรมอะไรเอาว้ายยยย
“อะ ถึงป้ายแล้ว ผมลงก่อนนะเจ๊”
“เชิญ”
“ใจร้ายจัง”
“ชิ!” ฉันส่งค้อนให้คุโชว์ทีหนึ่งก่อนที่รถจะจอดให้หมอนั่นลง เฮ้อ ทีนี้ก็เหลือแค่ฉันที่ยืนทรหดอยู่บนรถเมล์คนเดียวไร้ญาติขาดมิตร คนแถวนี้ก็ไม่มีน้ำใจเอาซะเลย ให้เลดี้อย่างฉันยืนโชว์ความแข็งแกร่งของน่องขาอยู่นั่นแหละ จะลุกให้นั่งบ้างน่ะมีม้ายยย~
กริ๊ง~~~~~
ฉันเอื้อมมือไปกดกริ่งเมื่อถึงป้ายลง ฮู้ว~ ได้ลงจากรถเมล์แล้วก็ค่อยยังชั่วขึ้นมาหน่อย ใช้เวลาเดินไม่ถึงสิบนาทีฉันก็มาถึงที่หมาย บ้านหลังใหญ่ของเด็กที่จ้างฉันมาสอนพิเศษ
ปิ๊งป่อง~
รอไม่นานก็มีแม่บ้านวิ่งออกมาเปิดประตู พร้อมกับเอ่ยถามออกมาว่า “มาหาใครคะ”
“มาสอนพิเศษค่ะ”
แม่บ้านทำหน้างง ก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้ฉันงงยิ่งกว่าออกมา “เอ๊ะ... แต่เมื่อกี้มีอาจารย์มาสอนแล้วนะคะ”
“เอ๋... แต่ว่าน้องเค้าติดต่อหนูไว้นะคะป้า”
“คุณชื่ออะไรคะ?”
“มาริต้าค่ะ”
“อ๋อ คุณหนูสั่งเอาไว้ว่าถ้าคุณมาก็บอกให้กลับไปได้เลยค่ะ เพราะคุณหนูเปลี่ยนใจเลือกครูคนใหม่แล้ว”
“...!!!”
ฉันยืนหน้าชามองแม่บ้านเลื่อนประตูรั้วปิดอย่างทำอะไรไม่ถูก นะนี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆ ถึงเป็นแบบนี้ ไอ้เด็กนั่นมันทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง หน็อย... อยากบุกเข้าไปอาละวาดนัก โธ่เอ๊ย ฮึ่ยยย โมโห
โธ่เฟ้ย เพราะแบบนั้นฉันจึงไม่รู้จะไปไหนนอกจากเดินหน้าแห้งเข้ามาในโรงเรียน เฮ้อ~ อุตส่าห์คิดว่าจะได้เงินก้อนโตค่าสอนพิเศษลูกคุณหนูแล้วนะเนี่ย เซ็งเลย อย่าให้รู้นะว่าใครที่มาชิงตัดหน้าฉันไป จะเอาคืนให้หนักเลย แค้นสั่งสม
“อ้าวเจ๊”
“...!!!” ฉันชะงักเท้ากึกเมื่อเสียงทักของใครบางคนดังขึ้น ก่อนจะรู้สึกกระอักกระอ่วนใจเมื่อสบสายตาเข้ากับผู้ชายอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆ คุโชว์
โอเวอร์!
“...” หมอนั่นมองฉันด้วยสายตานิ่งๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่สิ... ออกจะดูเย็นชาเกินไปหน่อยด้วยซ้ำ เหอะ! คิดว่าฉันอยากให้นายไยดีนักเหรอ สำคัญตัวผิดไปแล้วย่ะ
“ไหนว่ามีติวไง” คุโชว์มันเซ้าซี้อะไรนักหนาเนี่ย
“ไม่ติวแล้ว ขอตัวก่อนนะ” ฉันกำลังจะเดินต่อแต่เสียงของคุโชว์ก็ดังขึ้นมาซะก่อน
“เจ๊ ยังทำงานพิเศษที่ร้านเฮียอยู่หรือเปล่า”
“...” ฉันหันกลับไปมองคุโชว์ด้วยสายตาสงสัยพลางรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ เมื่อสบสายตาเข้ากับโอเวอร์คนที่คุโชว์เรียกว่าเฮีย
“อีกวันสองวันจะมีงานมอเตอร์โชว์ พี่สาวผมกำลังต้องการคนเพิ่ม เจ๊สนเปล่าเงินดีด้วยนา”
“เงินดีเหรอ?” ฉันตาลุกวาว
ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า เมื่อกี้เหมือนเห็นโอเวอร์แก้มกระตุกทีหนึ่งด้วย
“อื้ม” คุโชว์ยิ้มยืนยันคำตอบ
“งั้นขอคิดดูก่อนนะ” ฉันแกล้งทำเป็นเล่นตัวไปงั้นแหละ แต่จริงๆ แล้วในใจกำลังลิงโลดเลยล่ะ หุหุ ต้องรีบโทรหาผู้จัดการคลับสนุกเกอร์เพื่อขอลางานแล้วล่ะ โฮะๆ เงินจ๋าเงิน
เย็นวันนั้น
ขณะที่ฉันกำลังเดินออกจากประตูโรงเรียนเพื่อไปขึ้นรถที่ป้ายรถเมล์ เสียงแตรรถก็ดังไล่หลังมา
ปี๊บ!
“...”
ฉันเหลือบมองรถคันนั้นด้วยสายตาข้องใจเล็กน้อย ก่อนที่กระจกข้างคนขับจะลดลงแล้วเผยให้เห็นใบหน้าของใครบางคนเต็มสองตา แทบอยากจะหายตัวไปจากตรงนี้ให้ตายเถอะ
“จะไปร้านเหรอ” โอเวอร์ยื่นหน้าออกมาพูดด้วย ฉันเหลือบมองหมอนั่นด้วยหางตาก่อนจะตอบไปแบบไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นัก
“อืม”
“ขึ้นมาสิ ฉันกำลังจะไปที่ร้านอยู่พอดี”
“ไม่เป็นไร” จังหวะที่ฉันกำลังจะก้าวเดินหมอนั่นก็ร้องออกมาซะก่อน
“ฉันอยากคุยกับเธอเรื่องวันนั้นด้วย”
“...”
ฉันหยุดกึกแล้วหันกลับไปมองโอเวอร์ด้วยสายตานิ่งๆ
ปึก!!
“มีอะไรก็ว่ามา” ทันทีที่ก้าวเข้ามานั่งในรถฉันก็เปิดฉากสนทนาอย่างไม่รีรอให้เสียเวลา เรื่องนี้ยิ่งจบเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีต่อสภาพจิตใจของฉันด้วย
“อย่าคุยกันในรถเลย ถึงร้านแล้วค่อยคุยกันดีกว่า”
แล้วโอเวอร์ก็ขับรถออกไปอย่างหน้าตาเฉย น่ะ... นี่มันหมายความว่ายังไง~
