Risk Friend : 03 - 1
Risk Friend : 03
--------------
ฉันยืนสำรวจตัวเองที่สวมเสื้อนักศึกษาเข้ารูปกับกระโปรงทรงเอสั้นเหนือเข่าผ่านกระจกบานใหญ่ในห้องน้ำใต้ตึกบริหารอยู่นานนับนาที ถึงจะเป็นคนมีความมั่นใจแค่ไหน ก็ยังแอบประหม่า อะไรที่ได้ชื่อว่าครั้งแรกย่อมตื่นเต้นเสมอนั่นแหละ
มันดูแปลกตายังไงก็ไม่รู้เนอะ…แต่เอาเถอะ!
“แกสวยมากแล้วเว้ย” ฉันยกสองนิ้วหัวแม่มือให้ตัวเองพร้อมรอยยิ้มต้อนรับชีวิตในรั่วมหา'ลัยอย่างเป็นทางการ จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนควานหาไอโฟนมาพิมพ์ข้อความส่งให้เพื่อนรักที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบกิโล
JJ : กูคิดถึงมึง (08:35)
JJ : กูเหงา (08:35)
JJ : เหมือนจะเป็นซึมเศร้าเลย กูขาดมึงไม่ด้ายยยย (08:36)
Tammy : อย่าเยอะ (08:38)
JJ : ใช่เส้สสสส ใจคนยากนักหยั่งถึง เพียงข้ามคืนก็เปลี่ยนเป็นอื่น (08:38)
Tammy : โอ้ยยยย อีเตี้ย!!! (08:39)
Tammy : กูบล็อกมึงได้นะ เอาจริง (08:39)
Tammy : ไปหาเล่นกับไอ้ดำ ไอ้ด่างหน้า ม. ก่อนไป๊ (08:40)
ไล่เพื่อนไปเล่นกับหมา…?
ฮึก น้ำตาจะไหล ไม่ได้กำลังใจเพิ่ม แถมยังหงอยหนักกว่าเดิมอีก นั่นเลยเป็นสาเหตุให้ฉันรัวสติกเกอร์พี่หมีเศร้าหลายตัวปิดท้าย ขณะก้าวเดินออกมาจากห้องน้ำ
ตอนนี้เหมือนฉันอยู่ท่ามกลางหมู่มวลหงส์ที่พร้อมใจกันโบยบินเพื่อจะไปอยู่สูง ๆ ราวกับอยากหนีอะไรสักอย่างข้างล่าง ซึ่งคาดว่าจะเป็นการไม่ถูกยอมรับ
เซเนเซนท์ จัดเป็นมหาวิทยาลัยเอกชนอันดับต้นของจังหวัด เอ๊ะ! หรือว่าของภาคไปแล้วนะ เออ...นั่นแหละ นอกจากการเรียนการสอนที่เป็นเลิศแล้ว มันขึ้นชื่อเรื่องความหรูหราโอ่อ่า และจากที่ฉันได้เข้ามาสัมผัสจริงจังก็เถียงไม่ออก ทุกตารางนิ้วถูกตกแต่งด้วยวัสดุเกรดพรีเมียมสมกับเป็นมอของพวกลูกท่านหลานเธอจริง ๆ
มิน่าล่ะ… รุ่นพี่ที่รู้จักหลาย ๆ คนถึงพูดเรื่องความเหลื่อมล้ำและสังคมเสื่อม ๆ ในมอแห่งนี้อยู่บ่อย ๆ อารมณ์แบบใครมีเงินมีอำนาจมากก็จะได้ขึ้นไปอยู่บนสุดของห่วงโซ่อาหาร เหยื่อตัวเล็กตัวน้อยที่คล้อยตามก็รอดไป ส่วนพวกที่แอนตี้ก็อาจจะอยู่ยากหน่อย มันเป็นอะไรที่โคตรแย่ แต่ก็แก้ไขไม่ได้ เหมือนเป็นวัฒนธรรมตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น ส่วนหนึ่งพวกเขาคงได้รับการปลูกฝังมาแบบนั้น หรือบางทีก็ขึ้นอยู่กับนิสัยส่วนบุคคล
ไม่รู้สิ! เราไม่สามารถไปตัดสินใครได้
โชคดีที่ป๊ามักจะสอนฉันตลอดว่าให้รู้จักให้ค่าความเป็นคนอย่างเท่าเทียม อย่าทำตัวเป็นผู้ล่า และก็ไม่ควรยอมเป็นเหยื่อ ต้องดูว่าใครโยนอะไรมา เราก็ตอบกลับเขาไปแบบนั้น
ไม่ได้บอกให้ก้าวร้าว แค่อยู่ให้เป็นและรู้จักเรียกร้องสิทธิ์ของตัวเอง
ฉันชอบประโยคนี้ของป๊าที่สุด...
“ฮัลโหลลล!!!”
“แม่!! แหก!!” หมดกัน! คำพูดดี ๆ ของป๊ากระเจิดกระเจิงไปไหนต่อไหนแล้ว “ไอ้บ้าเอ๊ย! กูตกใจหมด”
พอตั้งสติได้ฉันก็หันไปแว้ดใส่ พายุ ไอ้เด็กศิลป์จอมทะเล้นที่ชอบย่องเข้ามาเงียบ ๆ ให้ตกใจเล่นอยู่เรื่อย
“ฮ่าๆๆ หน้าเหวอสัส” คนขี้แกล้งส่งเสียงหัวเราะสะใจ ในตอนที่เอี้ยวหลบกำปั้นของฉันได้แบบฉิวเฉียด ก่อนจะขยับไปหย่อนก้นลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม โดยมี ไฟ หนุ่มแว่นสุดเนิร์ด แห่งนิติศาสตร์ กับ สายลม พ่อคนติสท์แตกประจำสถาปัตย์ ตามมาสมทบด้วย
จากนั้นบรรยากาศแสนสงบเงียบกลางแคนทีนใต้ตึกบริหารที่รวมทั้งสาวจริงและสาวสองไว้กว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ก็แปรเปลี่ยนเป็นครึกครื้นขึ้นทันตา เมื่อเหล่าเฟรชชี่สุดฮอตมานั่งเรียงหน้าสลอน
...เรากลายเป็นจุดสนใจไปโดยปริยาย
ไฟกับลมก็จะนิ่ง ๆ หน่อย ตามสไตล์ แต่มันจะมีอยู่ตัวหนึ่ง ตัวที่ขยันเรียกสาวฉิบหาย เล่นหูเล่นตามั่วซั่ว เสียบหมดไม่สนลูกใคร เหมือนเกิดมาเพื่อเป็นนักล่าเซ็กซ์แล้วก็แหลกสลายตายห่าไป
“พอไม่มีไอ้แตม ก็หงอยเป็นหมาเลยนะ” ประโยคแซวแบบขำ ๆ ของหนุ่มนิติ ทำให้ฉันละจากพายุแล้วไปถลึงตาใส่มันแทน
“อยากโดนหมากัดไหมล่ะ”
เพิ่งถูกไล่มาหมาด ๆ ยังจะซ้ำเติมอีก
“ระวังน้ำลายฟูมปากนะมึง แม่งฉีดยารึยังก็ไม่รู้”
ไม่ใช่แค่สายตาที่ตวัดค้อน กำปั้นก็เหวี่ยงออกไปโดยอัตโนมัติ
ปลั๊ก!
“ก็รอไปฉีดพร้อมมึงนั่นแหละ!”
“จิ๊! ไอ้ห่านี่แม่ง...ตัวเล็กนิดเดียว มือตีนหนักฉิบหาย” พายุยู่หน้าลูบต้นแขนตัวเองป้อย ๆ
“อีกสักทีไหม”
ในสายตาสาวๆ พวกมันอาจเป็นเทพบุตรสุดหล่อ แต่สำหรับฉันที่หอบหมอนหอบผ้าห่มไปนอนกลางวันด้วยกันตั้งแต่อนุบาล รู้ไส้ รู้พุง รู้ไปยันสันดอน สันดาน แค่เห็นเงาหางก็ระบุตัวตนได้แล้ว
ขอยืนยัน นั่งยัน นอนยันไว้ชัดๆ ตรงนี้เลยว่าเนี่ยแหละ...ซาตาน ของแท้
“แล้วไอ้แฝดล่ะ” เอ่ยถามทั้งยังหันซ้ายหันขวามองหา เพราะปกติเวลารวมตัวแบบนี้จะขาดหัวโจกไม่ได้เลย
“ก่อนมาเห็นอยู่กับไอ้หมอกที่รถ”
คำตอบของไฟครอบคลุมจนฉันไม่ต้องถามหาอีกคนให้เสียฟอร์ม และมันเกือบจะดีอยู่แล้วถ้าไม่ติดว่าพายุสอดปากเข้ามา
“ป่านนี้ไปหาหลีหญิงแล้วมั้ง”
รู้เลยว่าหน้าตัวเองตึงกว่าเดิม ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องหงุดหงิดจนเผลอกระแทกเสียงใส่ผู้ชายสามคนตรงหน้าอย่างลืมตัว “เฮอะ! ผู้ชายนี่เหมือนกันหมดจริง ๆ”
“อ้าว อย่าเหมารวมสิครับเพื่อน”
ความจริงคำพูดนี่ควรออกมาจากปากไฟหรือไม่ก็ลมมากกว่านะ
“มึงอะ ตัวดีเลยครับเพื่อน”
...
ช่วงบ่ายของวัน…
I have died everyday waiting for you…
ปลายนิ้วชี้ถูกยกขึ้นแตะรูดก้านแอร์พอดเร่งเสียงเพลง A Thousand Years ของ Christina Perri ให้ดังขึ้นเพื่อตัดเสียงรบกวนรอบข้าง ทั้งเปลือกตายังปิดสนิทและฟุบหน้าไปบนเก้าอี้เลคเชอร์โดยมีท่อนแขนขวารองอยู่
ลมเย็น ๆ ของเครื่องปรับอากาศให้ความรู้สึกผ่อนคลายไม่ต่างจากนอนอยู่บนเตียงกว้างในห้องส่วนตัวเลย แตกต่างตรงที่นี่เป็นคลาสเรียนซึ่งอัดแน่นไปด้วยนักศึกษากว่าสิบชีวิต
แต่แล้วการพักผ่อนแสนสบายก็ถูกขัดจังหวะ ฉันขมวดคิ้วพลางหรี่ตาขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่สบอารมณ์ เมื่อเกิดแรงสั่นสะเทือนจากพื้นที่ข้าง ๆ ฉันผงกหัวขึ้นและเบี่ยงหน้าไปทางขวาเล็กน้อย ผู้ชายคนนั้นยิ้มให้ฉันอย่างเป็นมิตร เขารีบขอโทษและอธิบายทั้งที่ฉันยังไม่ทันต่อว่า
“...ขอโทษนะ ที่ทำเธอตื่น พอดีเราเห็นว่าตรงนี้มันเงียบดี”
“...!” ประโยคนั่นทำให้ฉันต้องกวาดมองไปรอบห้องด้วยความงุนงง ก็ไม่เห็นมันวุ่นวายตรงไหน ที่นั่งเงียบ ๆ มีอีกเป็นสิบ
“ไอ้จ้าวห้าวตี้ใช่ไหม”
แต่พอได้ยินชื่อช่องสตรีมเกมของตัวเองก็ตาลุกวาวขึ้นมาทันที อารมณ์ถูกสับเปลี่ยนโหมดโดยพลัน แผ่นหลังที่เอนไปกับโต๊ะเลคเชอร์ในตอนแรกก็ดีดขึ้นมาตั้งตรงด้วยความตื่นเต้น นาน ๆ จะมีคนมาทักแบบนี้สักที คือฉันไม่ได้โดดเด่นในสายนี้ถึงขั้นมีคนรู้จักทั่วบ้านทั่วเมือง
เสียงเพลงดังคลอในหูถูกหยุด แอร์พอดกลายเป็นสิ่งไม่จำเป็นอีกต่อไป ฉันถอดมันเก็บเข้าที่ ขณะเอ่ยถาม
“รู้จักด้วยเหรอ”
“ไม่รู้ได้ไง เราเป็นแฟนคลับตัวยงเลยนะ ไม่พลาดสักสตรีม” น้ำเสียงเขาก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน
“จริงดิ” ฉันยิ้มกว้างขึ้น จากที่นั่งเอียงข้างให้เขา ก็เริ่มหันเข้าหา
“เราชื่อเพชร เป็นน้องพี่ภีมน่ะ”
การแนะนำตัวของ เพชร ทำฉันเซอร์ไพรส์มาก นอกจากจะได้รู้ชื่อแล้ว ยังได้รู้อีกว่าเขาเป็นน้องพี่ภีม ถึงฉันจะรู้จักกับพี่ภีมมานานหลายปี แต่ไม่เคยละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวหรือสืบเสาะไปถึงสำมะโนครัว
“เพิ่งรู้นะว่าพี่ภีมมีน้องด้วย” แถมยังหน้าตาดีระดับหนึ่งเลย
“เราก็เลยรู้จักจันทร์เจ้าไง มีรอบหนึ่งเราเคยเข้าไปแจมในสตรีมเธอด้วย แต่นานแล้วแหละ”
“เหรอ แล้ว...”
“โทษนะ ที่เข้ามาขัดจังหวะ”
เสียงของใครบางคนแทรกขึ้นกลางคัน ส่งผลให้ฉันกับเพชรลากสายตาไปยังต้นเสียงพร้อมกัน เป็นม่านหมอกที่ก้าวเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างหลังเราสองคน วูบหนึ่งฉันเห็นเขาจ้องเพชรแปลก ๆ ก่อนขยับปากพูดต่อ
“พอดีมีธุระด่วนกับยัยเตี้ยนี่นิดหน่อย”
ม่านหมอกคว้าข้อมือฉันให้ลุกขึ้น ส่วนอีกมือเขาหยิบสายกระเป๋าสะพายที่คล้องอยู่กับพนักพิงขึ้นคล้องบ่าตัวเอง และลากจูงฉันออกจากห้องแบบไม่บอกกล่าว
“เดี๋ยวสิหมอก มีเรื่องอะไร”
ผู้กระทำไม่ได้หยุดฟังกันเลย มีแค่เสียงติดฉุนที่ลอยมากับสายลมเท่านั้น
“ตามมาเหอะน่า”
