Risk Friend : 02 - 2
“ทำหน้าให้มันเหมือนเต็มใจมาหน่อยดิ”
“…!” ฉันหันไปฉีกยิ้มกว้างเหมือนสดใสมากมายให้เจ้าของคำขอที่เดินล้วงกระเป๋าแจ็กเกตหนังสีดำอยู่ข้างกันแวบหนึ่ง ก่อนปรับเป็นบึ้งตึงดั้งเดิม นั่นเรียกเสียงหัวเราะหึหึในลำคออีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี
จะบอกว่าเต็มใจก็ไม่ถูกเสียทีเดียว เรียกว่าหลงกลอุบายของนายเพื่อนเก่าจอมเจ้าเล่ห์นี่จะดีกว่า เพราะเขามักใช้สายตาและคำพูดที่ทำให้ฉันแพ้ทางอยู่เรื่อย
‘เตี้ย…’
‘ไม่ไป’
‘จันทร์เจ้า…’
‘ก็บอกว่าไม่ไง’
‘เค งั้นกูก็จะรอมึงอยู่นี่แหละ เดี๋ยวคืนนี้นอนกับไอ้ตะวันก็ได้’
‘แล้วทำไมไม่ไปชวนคนอื่น’
‘ก็อยากไปกับมึง ไม่ได้อยากไปกับคนอื่น…’
เฮ้อ…
คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจให้กับความไม่หนักแน่นของตัวเอง ทั้งที่ตั้งปณิธานแนวแน่แล้วแท้ ๆ อุตส่าห์ปฏิเสธซะดิบดี สุดท้ายก็ท่าพลาดให้หน้าหล่อ ๆ เอ๊ย... ไม่ใช่! หน้าละห้อยเหมือนหมาเหงาบวกแววตาออดอ้อนขอความเห็นใจนั่นเสียได้
ต้องเป็นเพราะอากาศร้อนราวกับซ้อมตกนรกของประเทศไทยแน่ ๆ ที่ทำให้น้ำแข็งห่อหุ้มหัวใจฉันละลายเร็วเพียงข้ามคืนเยี่ยงนี้
ม่านหมอกพาฉันมาถึงห้างสรรพสินค้าชื่อดังเมื่อตอนสิบเอ็ดโมงเศษ และลากเข้าโซนเครื่องนอนเป็นอันดับแรก จนป่านนี้ปาเข้าไปเที่ยงกว่าแล้ว
…เรายังอยู่จุดเดิม!
ไม่สิ มีแค่ม่านหมอกที่ยืนนิ่งอยู่จุดเดิม เพราะฉันเดินวนไปร้อยแปดสิบแปดรอบแล้ว กระทั่งไปหยุดใช้มือค้ำขอบรถเข็นพลางชะโงกหน้ามองคนตัวสูงที่เอาแต่ลูบปลายคางทำหน้าเคร่งเครียดคล้ายกำลังเลือกซื้อบ้านสักหลังหรือซูเปอร์คาร์สักคันอะไรเทือก ๆ นั้น
ทั้งที่ความจริงแล้วสิ่งของตรงหน้ามันก็เป็นแค่ผ้าปูที่นอน
“ต้องคิดอะไรเยอะแยะ”
“อยากได้สีดาร์กบลู…”
เสียงหงอย ๆ ของเขา ทำให้ฉันลืมความขุ่นเคืองไปชั่วขณะ ยิ่งแววตาเศร้าสร้อยเจือความผิดหวังเคลื่อนมาสานสบกัน ฉันยิ่งรู้สึกสงสารอย่างบอกไม่ถูก บางคนอาจคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือฉัน แต่…
ไม่ใช่สำหรับม่านหมอก
เขาเป็นบุรุษที่ค่อนข้างเซนซิทีฟกับโทนสี ใช่ว่าเห็นน้ำเงินเข้มแล้วจะถูกใจไปเสียหมด มันต้องเข้มในระดับที่มากพอต่อความชอบด้วย
“สั่งไหม” ฉันลองเสนอทางเลือกที่ดีกว่าการมายืนเพ่งพินิจอยู่นานสองนาน เพราะต่อให้ยืนทั้งวันสีที่มีมันก็ไม่เข้มขึ้นหรอก
“มันนานไง”
ฉันพยักหน้าน้อย ๆ เข้าใจถึงสาเหตุของความลังเล คือใจหนึ่งก็ขี้เกียจรอ แต่ถ้าจะซื้อเลยก็ไม่ใช่สีที่ถูกใจ
…แลใช้ชีวิตลำบากจังเนอะ คุณชาย!
“งั้นก็เอาไปใช้แก้ขัดก่อน”
สีหน้าคนฟังแสดงออกว่าครุ่นคิดหนักกว่าเดิม “งั้น…ช่วยเลือกหน่อยสิ”
“...?” ฉันเลิกคิ้ว ตวัดปลายนิ้วชี้เข้าหาตัวเองอย่างไม่เข้าใจ “กูไม่ได้ไปนอนด้วยไหม”
จังหวะนั้นแขนยาว ๆ ของเพื่อนเก่าก็เอื้อมหยิบชุดผ้าปูสีแดงไวน์ที่ฉันชอบโยนใส่รถเข็นสองชิ้น
“ก็เผื่อได้ไป…”
ฉันใช้เวลาประมวลผลอยู่หลายวินาทีก็ยังไม่เก็ทอยู่ดี…
สุดท้ายต้องชูมือขึ้นดีดนิ้วกลางอากาศเพื่อเรียกสติ ไม่ใช่แค่เขา แต่เป็นเราทั้งคู่
ป๊อก!
“ตื่นค่ะ ไม่ใช่เด็กน้อยเจ็ดแปดขวบกันแล้วเนอะ”
ถ้าเป็นเมื่อสิบปีก่อนน่ะ…ไม่ขัดหรอก เราเข้าออกห้องนอนกันจนแทบจะกลายเป็นพื้นที่ส่วนรวม
“แล้วจะตื่นเต้นอะไร แค่นอน ไม่ได้…” ประโยคถูกทิ้งไว้แค่นั้น คนพูดยกยิ้มมุมปากอย่างกวน ๆ ขณะที่สมองไม่รักดีของฉันก็ช่างสรรหาคำต่าง ๆ นานา มาเติมเต็มให้สมบูรณ์ และก็มีแต่เรื่องดี ๆ ทั้งนั้น
ยังนะ…แค่นั้นยังไม่พอ หัวใจฉันยังเต้นแรงมากขึ้นเมื่อผู้ชายที่ได้ชื่อว่า เพื่อน โน้มหน้าลงมาเทียบข้างหู ก่อนจะ…
ฟู่ววว์
ลมแผ่วเบาจากปากเพศตรงข้าม ทำฉันสะดุ้งเฮือก ขนกายพร้อมใจกันลุกเกรียวตั้งแต่ปลายเท้ายันศีรษะ ก่อนสองมือจะทำหน้าที่เป็นเกราะกำบังโดยอัตโนมัติ ฉันผลักดันร่างเพื่อนชายออกห่าง ขณะที่ตัวเองก็ขยับถอยเช่นกัน ยกมือขึ้นลูบตามใบหูและซอกคอตัวเองซ้ำ ๆ คล้ายอยากไล่ความรู้สึกแปลก ๆ ไปให้พ้น
เป็นไปได้ก็อยากไล่ไอ้เพื่อนบ้านี่ด้วย!
“ไอ้หมอก! ไอ้บ้า! เล่นไร ไม่รู้เรื่อง”
“...หึ!” คนถูกด่า หาได้รู้สึกรู้สา ไม่มีคำว่าสำนึกอยู่ในสารระบบเขาเลยสักนิด แถมยังจุดยิ้มพึงพอใจแล้วเข็นรถไปยังโซนอื่นต่อ มีแต่ฉันเนี่ยแหละ ยังจมอยู่กับการกระทำบ้า ๆ แบบนั้นอย่างหาทางออกไม่เจอ
…
หลังซื้อของเสร็จเรียบร้อย เจ้ามือใหญ่ก็พาฉันมาวนหาร้านอาหารตามที่ตกลงกันไว้ แต่เผอิญวันนี้ฉันไม่ค่อยอยากกินชาบูเท่าไหร่ ก็เลยขอเดินดูเรื่อย ๆ ก่อน
“เออ…” อยู่ ๆ ม่านหมอกก็โพล่งออกมาอย่างเพิ่งนึกขึ้นได้ เขาเอี้ยวมามองกัน “ได้ข่าวว่าเรียนบริหาร ลงเอกอะไรอะ”
“ทำไมต้องอยากรู้”
“และทำไมต้องตึงใส่”
“ไม่ใช่เรื่อง!”
เขาถอนหายใจยาว แล้วก้มหน้าพึมพำกับตัวเอง แต่จงใจให้ฉันได้ยินทุกคำ “เฮ้อ…หายโกรธได้แล้วมั้ง เพื่อนอะไรงอนนานขนาดนี้”
“ไม่ได้งอน แต่ไม่อยากคุยด้วย”
“อ๋อเรอะ นึกว่าจะบอกว่าไม่ได้เป็นเพื่อน”
“ทะลึ่ง! ไม่ใช่เพื่อนเล่น”
“งั้นเปลี่ยนเป็นเล่นเพื่อนแทนไหม”
ฉันชะงักกับประโยคนั่น แบบเขาสวนกลับมาเร็วเกินไปจนตั้งรับไม่ทัน สุดท้ายทำได้แค่ใช้กำลังกลบเกลื่อน และเล็งตำแหน่งที่เหมาะสมต่อการรับกำปั้นเป็นแถว ๆ บ่ากว้าง
“เปลี่ยนไปเยอะจังเลยนะ” อดไม่ได้ที่จะค่อนขอด ดูเหมือนสังคมเมืองนอกจะละลายพฤติกรรมหงิม ๆ ขี้อายของเขาไปจนหมดสิ้น ม่านหมอกคนนี้ดูมีความมั่นใจมากขึ้น แถมยังแอบเจ้าเล่ห์และร้ายกาจในบางมุม
หากแต่ฉันไม่ได้รู้สึกหวาดกลัว กลับกันมันยิ่งดึงดูดให้เขาน่าค้นหามากขึ้น
แต่แล้วความคิดฉันก็ถูกขัดจังหวะ เพราะอยู่ ๆ คู่สนทนาก็ดันหยุดเดินและหันกลับมาใช้สายตาไล่ประเมินรูปร่างกันอย่างอุกอาจ “แต่มึง...ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ”
“สวยเหมือนเดิม?” ฉันเชิดหน้าสะบัดผมด้วยความมั่นใจ ก่อนทุกอย่างจะดับวูบจนร่างแทบทรุดด้วยประโยคต่อมา
“เตี้ยเหมือนเดิม”
“ไอ้หมาหมอก!” ฝ่ามือถูกง้างขึ้นกลางอากาศ หวังจะสั่งสอนคนปากไม่ดีสักหนึ่งป้าบใหญ่ แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับคว้าข้อมือฉันไว้ได้
หมับ!
แรงดึงรั้งจากคนที่แข็งแรงกว่าทำฉันถลาเข้าหาเขาอย่างเลี่ยงไม่ได้ เป็นอีกครั้งที่หัวใจฉันเหมือนจะหลุดออกมาแดดิ้นอยู่ข้างนอก
นี่มันบุคคลอันตรายชัด ๆ
“…เลิกซะนะ ไอ้นิสัยเอะอะก็ตบ เอะอะก็ตีเนี่ย ถือว่ากูเตือนแล้ว”
ถึงจะประหม่าแค่ไหนก็ต้องเชิดหน้าสู้ “ทำไม จะตีคืนเหรอ”
“ไม่ กูโตพอที่จะทำอย่างอื่นได้แล้ว”
