Risk Friend : 03 - 2
“นี่คือเรื่องด่วนที่ว่าเหรอ”
ฉันขยับปากถามตามคำสั่งการสุดท้ายที่ยังติดอยู่ในสมองก่อนจะถูกพาขึ้นมานั่งชมวิวทิวเขาอันไกลโพ้นบนดาดฟ้าตึกคณะ
“ใช่…” สุ้มเสียงทุ้มปล่อยชิลจนน่าตกใจ ไอ้อารามลนลานเหมือนมีเรื่องคอขาดบาดตายตอนลากฉันออกมาไม่หลงเหลือสักนิด มันหายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้น “เพื่อนอยากสูดอากาศ ด่วนพอไหม”
ทันทีที่ได้ยินแบบนั้นหัวคิ้วฉันก็ขมวดเข้าหากัน ตวัดตามองเพื่อนสนิทอย่างนึกสงสัย ตอนนี้เขาอยู่ในท่วงท่าสุดแสนสบาย สองมือวาดไปค้ำบนพื้นเก้าอี้ไม้ตัวเดียวกันไว้ข้างหลังเป็นการทรงตัวแล้วลอยหน้าลอยตาชื่นชมธรรมชาติได้แบบ…โคตรน่าหมั่นไส้!
ถึงวันนี้อากาศจะเป็นใจมาก ไม่ร้อนอบอ้าว แถมยังมีลมพัดผ่านตลอดก็เหอะ แต่มันต้องอยากรับอากาศบริสุทธิ์ขนาดนั้นเลยเหรอ?
“แล้วขึ้นมาคนเดียวไม่ได้”
“แล้วเป็นไรถึงขึ้นมากับเพื่อนไม่ได้” เป็นการตอบคำถามด้วยคำถามได้กวนประสาทสุด ๆ มุมปากเขากดยิ้มลึกเหมือนเดวิลในซีรีส์ที่ฉันเคยดูไม่มีผิด “หรืออยากทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่มากกว่า”
“หือ?” ใช่ว่าไม่เข้าใจความหมายของรูปประโยค ฉันรู้ว่าเขากำลังกระแหนะกระแหน และนั่นแหละ...เป็นสิ่งที่คับข้องใจ มันมาเรื่องนี้ได้ยังไง
…มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
แต่ฉันไม่กล้าฟันธงหรอกนะว่ามันคืออะไร ไม่ได้เชี่ยวชาญขนาดนั้น
ขณะที่กำลังหาข้อสันนิษฐานมาหักลบกลบล้างเพื่อจะไม่คิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไปอยู่นั้น ตัวแปรหลักก็ดันเอนกายลงนอนเหยียดยาวแบบไม่บอกกล่าว ฉันตกใจจนแทบช็อกเมื่อจู่ ๆ ตักนุ่มนิ่มของตัวเองก็กลายเป็นหมอนรองหนุนศีรษะให้เขา
“อือ…ลมเย็นจัง”
ดวงตาฉันยังเบิกกว้าง ขณะที่เปลือกตาเขาค่อย ๆ ปิดลง ลำตัวฉันแข็งเกร็งจนไม่กล้าขยับเขยื้อน ในตอนที่อีกคนเขยิบไปเรื่อยคล้ายค้นหาตำแหน่งเหมาะเหม็ง สุดท้ายจบที่เลื่อนแขนกอดอก ขาข้างหนึ่งตั้งฉากพิงกับผนังกำแพงกั้นกันตกด้วยสีหน้าผ่อนคลาย
อย่าไปพูดถึงเรื่องยาก ๆ อย่างควรทำอะไรต่อจากนี้ แม้แต่การหายใจขั้นเบสิก ฉันยังคิดไม่ออกเลย…
ตึก! ตึก! ตึก…
ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบ มีเสียงหนึ่งดังกึกก้องอยู่ในหูและมันห่างไกลคำว่าปกติอยู่มาก ไม่รู้เกิดจากความตื่นตระหนกเพราะไม่ทันตั้งตัว หรือการที่ได้กลับมาใกล้ชิดกันกว่าเดิม
แถมนี่ยังเป็นครั้งแรกที่ฉันได้มีโอกาสมองประเมินเขาอย่างถี่ถ้วน
ใบหน้าหล่อเป็นองค์ประกอบแรกที่ใคร ๆ ก็ต่างพากันหลงใหล คิ้วเข้มพาดเฉียงรับกับดวงตาเฉี่ยวคมได้เป็นอย่างดี ไหนจะไฝเสน่ห์ตรงใต้ตาซ้าย พระเจ้าก็ช่างแต่งแต้มมาได้ถูกจุดจริง ๆ จากที่โดดเด่นอยู่แล้ว ยิ่งโดดเด่นขึ้นไปอีก
เคยเห็นไหมคนที่ทำหน้านิ่งแล้วให้ลุคโคตรแบด แต่พอริมฝีปากเผยเพียงยิ้มบางเท่านั้นแหละ ทุกอย่างกลับดูละมุมไปหมด นั่นจึงเป็นเหตุผลให้ม่านหมอกถูกจัดอยู่ในลิสต์รายชื่อของแรร์อันดับต้น ๆ ประจำโรงเรียนมาโดยตลอด
จำได้ว่าช่วงมอต้นมีรุ่นพี่มาต่อคิวกันยื่นใบสมัครสารพัดตำแหน่งจนแถวยาวเหยียด อารมณ์แบบ...เป็นอะไรก็ได้ ขอแค่ได้อยู่ใกล้ ๆ สุดท้ายเหมือนฉันจะเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ได้สิทธิ์นั้น
แต่ก็เท่านั้น...เพราะสี่ปีที่ผ่านมา ฉันเริ่มไม่มั่นใจแล้วว่าตัวเองยังเป็นคนสำคัญอยู่ไหม
ครืด! ครืด…
สายเรียกเข้าจากเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋ากางเกงของคนนอนปลุกให้เขาลืมตาขึ้น ใบหน้าฉันร้อนผ่าวตอนที่เราสบตา และสัญชาตญาณสั่งให้ฉันต้องเคลื่อนหาจุดโฟกัสใหม่กะทันหัน จนกลายเป็นล่อกแล่กแบบเสียอาการขั้นสุด เคราะห์ซ้ำกรรมซัดยังเพิ่งค้นพบว่ามือข้างหนึ่งของตัวเองวางอยู่เหนือเรือนผมสีเทาเงินนั่นด้วย
ปะ ไปอยู่ตั้งแต่ตอนไหนกัน...
ฉันรีบดึงมือไม่รักดีกลับเข้าหาตัวด้วยความตกใจ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับม่านหมอกล้วงไอโฟนออกมาจับจ้องหน้าจออยู่พักใหญ่ สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นครุ่นคิด ก่อนอำนาจโดยชอบธรรมจะถูกส่งต่อมาที่ฉันแบบไม่ทราบสาเหตุ
“รับให้หน่อยดิ”
“ใคร?” ฉันเหลือบมองแล้วเห็นว่าเป็นเบอร์ไม่ขึ้นชื่อ
“ไม่รู้”
“เอ้า ก็รับเองสิ”
“ใครสักคนในมอเนี่ยแหละ ไอ้ห่าตี๋แม่งแจกเบอร์กูไปทั่ว โทรมาเป็นร้อย ๆ สายแล้ว น่ารำคาญฉิบ” ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าแสดงออกชัดเจนว่าหงุดหงิดจัด ผู้ก่อเหตุเตรียมตัวตายได้เลยสภาพนี้ ส่วนผู้นั้นก็ไม่ใช่ใครที่ไหน
ตี๋ เป็นชื่อลับเฉพาะของ พายุ ไม่ใช่ว่าได้มาเพราะหน้าตี๋หรือมีเชื้อสายจีนอะไรหรอกนะ แต่เป็น ตี๋ ที่มาจาก ตี๋หิด น่ะ
คิดดูเอาเองว่ามันขนาดไหน เพื่อนถึงมอบคำนิยามนี้ให้ตั้งแต่อยู่มอต้น คิดแล้วก็เหนื่อยใจ
“ก็ตัดสายทิ้งไปสิ เดี๋ยวเขาก็เลิกโทร” ถึงจะพูดออกไปอย่างใจเย็น แต่ข้างในมันยุบยิบยังไงก็ไม่รู้ อยากตบกระบาลไอ้พายุจอมวุ่นวายสักป้าบ
“รับเลย แล้วบอกเป็นแฟนกู จะได้เลิกโทร”
“ฮะ…ฮะ”
สติยังไม่กลับเข้าร่างดี ไอโฟนที่ยังสั่นก็ย้ายมาอยู่ในมือเสียแล้ว ฉันกะพริบตามองร่างสูงที่ลุกขึ้นยืนแล้วเดินห่างออกไป เขาล้วงเข้ากระเป๋ากางเกงอีกครั้ง ซึ่งสิ่งที่ติดมือออกมา…
บุหรี่ไฟฟ้า?
ไม่รู้เลยว่าเขาเสพติดของพวกนี้ด้วย แต่เรื่องนั้นไม่ร้ายแรงนักหรอก ขอเคลียร์ที่อยู่ในสายนี่ก่อน
ฉันเลื่อนรับสายแล้วยกขึ้นแนบหู
[ฮัลโหล ม่านหมอกที่อยู่บริหารใช่ปะ]
เสียงหวานขัดหูชะมัด!
“ค่ะ เบอร์หมอก นี่ใครคะ มีธุระอะไรด่วนไหม” ฉันทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเป็นอย่างดี ดูเหมือนจะดีเกินไปด้วยซ้ำ อินเนอร์ไม่รู้มาจากไหน สวมบทบาทเร็วจนฉันยังกลัวตัวเอง
[เออ…คือ ม่านหมอกไม่อยู่เหรอคะ]
“...ฝากไว้ได้นะคะ ถ้ามีเรื่องด่วน หรือถ้าไม่มีธุระสำคัญก็ไม่ต้องโทรมาอีกนะ เขามี แฟน แล้ว”
ชิ!
ฉันแยกเขี้ยวทิ้งท้ายและกดตัดสายแบบเต็มแรง ราวกับอยากให้นิ้วจมหายลงไปในหน้าจอยังไงยังงั้น นี่สินะ…ที่มาของคำว่าจ้างร้อยเล่นล้าน
แต่พอหันไปเห็นว่าเจ้าของเครื่องยืนพิงกำแพงมองมาด้วยรอยยิ้มแปลก ๆ ฉันก็ถึงกับชะงัก เกิดการกระแอมไอทั้งที่ไม่มีอะไรติดคอและปรับสีหน้ากลับมาเป็นปกติโดยเร็ว พยายามเบี่ยงเบนชมนกชมไม้แบบเนียน ๆ
ไม่รู้เลยว่าเขาหันมาตั้งแต่ตอนไหน…
จะเห็นไหมนะ…น่าอายชะมัด!
