Risk Friend : 01 - 2
Special Part : Manmok
ย้อนไปสองชั่วโมงก่อน…
ขาตั้งบิ๊กไบค์คู่ใจถูกเตะลงเมื่อถึงจุดหมาย ผมถอดหมวกกันน็อกวางบนถังน้ำมัน สะบัดหัวเล็กน้อยพลางใช้มือเสยเซทผมสองสามที และปิดท้ายด้วยการตรวจสอบความเรียบร้อยผ่านกระจกข้างอีกนิดหน่อย ก็เป็นอัน...เพอร์เฟกต์!
ไม่ใช่ว่าเนี้ยบอะไรขนาดนั้นหรอกนะ สไตล์การแต่งตัวของผมก็ธรรมดาทั่วไป เพียงแค่มันชินกับการที่ต้องเสริมความมั่นใจก่อนออกสู่สายตาสาธารณชนเท่านั้นเอง
หลังตวัดขาลงมายืนข้างรถ ผมก็กวาดมองไปรอบ ๆ ลานเซิร์ฟสเก็ตขนาดใหญ่ใจกลางเมืองเชียงใหม่ที่เคยเป็นแหล่งรวมตัวของชาวแก๊ง หมายถึงผมกับบรรดาเพื่อนสนิทน่ะ ด้วยความรู้สึกแบบ...ค่อนข้างอธิบายยากเลยแหละ
ไม่รู้เพื่อนจะต้อนรับขับสู้หรือผลักไสไล่ส่ง ซึ่งถ้าเป็นอย่างหลังก็เข้าใจได้นะ คือถ้าห่างกันแล้วยังมีการคอนแท็กต์บ้างมันก็ปกติไง แต่สี่ปีที่ผ่านมาผมทำตัวไม่ต่างจากบุคคลสาบสูญเลย ไม่เคยส่งข่าว ไม่มีอัปเดตโซเชียล แถมยังต้องตัดขาดทุกช่องทางติดต่อเพราะความจำเป็นหลาย ๆ อย่าง
ไม่แปลกหรอกหากเพื่อนจะโกรธ ผมคิดว่ามันสมควรด้วยซ้ำ
ความจริงผมกลับจากนอร์เวย์ได้สองวันแล้ว แต่เพิ่งมีโอกาสปลีกตัวออกมาเปิดหูเปิดตา ก็เลยเลือกสนามเซิร์ฟสเก็ตเป็นที่แรก เพราะคิดว่าอาจได้เจอพวกมันครบทุกคนแบบไม่ต้องวิ่งไปโผล่หน้าเซอร์ไพรส์ตามบ้าน
และก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ
ผมกดยิ้มมุมปากทันทีที่เห็น ไอ้พายุ กำลังกระโดดหมุนบอร์ดร้อยแปดสิบแบบโคตรเทพบนพื้นยกสูง ก่อนหนุ่มแว่นสุดเนิร์ดอย่าง ไอ้ไฟ จะไล่ตามไปติด ๆ ส่วนอีกคนที่ยืนเท้าเอวอยู่ไม่ไกลมันชื่อสายลม และก็...
อ่า ไอ้ตะวัน ผมเห็นมันนั่งหลบมุมพิงแท่นปูนอยู่ขอบสนามฝั่งตรงข้ามนู้น ก็เลยปรี่เข้าไปหาอย่างไม่ลังเล
ผมทิ้งตัวลงนั่งชันเข่าเงียบ ๆ แต่ด้วยความใกล้ระยะเผาขนทำให้คนจดจ่อกับหน้าจอมือถือต้องละสายตามามองอยู่ดี สีหน้างงงวยของมันในตอนแรกพลันเปลี่ยนเป็นตกตะลึงทันควัน เมื่อผมเอียงคอและโบกมือน้อย ๆ เป็นการทักทาย
“ไอ้เหี้ยหมอก!!”
“ช็อกเพราะความหล่อของกูใช่ไหม”
“ไอ้เวร กูนึกว่าแม่งตายห่าไปแล้ว” มันยกมือขึ้นผลักหัวผมจนไหวเอนไปตามแรงราวกับตุ๊กตาล้มลุกก็ไม่ปาน
“เป็นการต้อนรับที่ไม่เลว” ผมกลั้วหัวเราะ เพราะลึก ๆ ก็แอบรู้สึกดีที่เพื่อนยังมีท่าทีสนิทสนมเหมือนเดิม ก่อนจะได้ยินเสียงไอ้ตะวันแหกปากเรียกกำลังเสริม
“เห่ย ไอ้เหี้ยนั่นมันกลับมาให้พวกมึงยำแล้ววะ”
“…!”
กว่ายี่สิบชีวิตหยุดชะงักและหันมามองผมเป็นตาเดียว แค่แปดตีนยังพอรับไหวนะ แต่ถ้าทั้งสนามคงได้นอนหยอดข้าวต้มไปหลายเดือนแหง ๆ สุดท้ายสถานการณ์ก็กลับเข้าสู่โหมดปกติ ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหันไปสานต่อกิจกรรมของตัวเองต่อ มีแค่ไอ้สามตัวที่ถูกกล่าวถึงก่อนหน้านั่นแหละที่พากันวิ่งหน้าตาตื่นออกมาจากลานกว้าง
“กูไม่คิดว่ามึงจะกลับมาแล้วนะเนี่ย” น้ำเสียงตื่นเต้นปนเหนื่อยหอบของไอ้พายุดังขึ้นหลังจากที่มันหย่อนก้นลงนั่งข้างผม โดยที่ไฟ กับ สายลมยังยืนอยู่ตรงหน้า
“กูต้องกลับมาอยู่แล้วปะ?”
สายตาที่พวกมันมองผมไม่เปลี่ยนไปเลย สายตาผมก็เช่นกัน...
คำว่า เพื่อนไม่เก่า มันเป็นแบบนี้เองสินะ!
จากนั้นเวลาเกือบครึ่งชั่วโมงก็หมดไปกับเรื่องไร้สาระตามประสาผู้ชาย มีทั้งคำสรรเสริญเชิดชูและแจกหมัดมือกันคนละทีสองทีจนพอใจ ก่อนไปจบที่ลานเซิร์ฟสเก็ตตามสเต็ป
…ยอมรับอย่างไม่อายว่าคิดถึงบรรยากาศแบบนี้ฉิบหาย
“มองหาไอ้จ้าวไง๊?” ไอ้ไฟเอ่ยถามหลังเร่งฝีเท้าขึ้นมาขนาบข้างและยกแขนขึ้นพาดต้นคอผม ขณะเดินกลับเข้ามานั่งพักเหนื่อย
มันคงสังเกตเห็นว่าผมชะเง้อมองหาใครบางคนอยู่บ่อยครั้ง
“อือ”
ไอ้จ้าว หรือ จันทร์เจ้า คือน้องสาวฝาแฝดของไอ้ตะวัน เวลาไปไหนมาไหนก็จะติดสอยห้อยตามพี่ชายไปด้วยตลอด จนกลายเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวของกลุ่มไปโดยปริยาย
“มันไม่มาหรอก ตั้งแต่มึงไป กูก็ไม่เห็นมันออกมาเล่นอีกเลย”
“…” ผมเงียบ วูบหนึ่งรู้สึกหวิวโหวงในใจแปลก ๆ
ไม่ต้องเดาเลยคนเนี่ย เธอโกรธผมแน่ ๆ อยู่ที่ว่าจะมากแค่ไหน
“แล้วนี่มึงบอกมันยัง”
“ยัง” เอาอะไรไปบอก...หาวิธีเข้าหาแบบไม่ให้โดนฟาดงวงฟาดงาก่อนเหอะ
“มันคงดีใจนะที่มึงกลับมา กูเห็นมันเช็กอินอยู่ที่โรงเรียนตั้งแต่บ่าย ไม่รู้ป่านนี้กลับรึยัง”
“โรงเรียนเหรอ…”
…
“ไอ้หนู! ไอ้หนู!”
ฝีเท้าผมหยุดชะงักและหันไปตามเสียงเรียก เป็นคุณลุง รปภ. ที่รีบวิ่งเข้ามาดักหน้าไว้ก่อนผมจะดันประตูเล็กเข้าไปในโรงเรียนเก่า
“เข้าไม่ได้แล้ว ประตูปิดแล้ว”
ผมยกข้อมือซ้ายขึ้นมาเพื่อเช็กเวลาและพบว่าตอนนี้มันจะสองทุ่มแล้ว ไม่ใช่แค่ช้าไป...แต่ช้ามาก ไอ้ไฟบอกว่าเธอมาตั้งแต่บ่าย ไม่ใช่กลับไปนานแล้วเหรอ
“ขอโทษครับ” ผมไม่ลืมก้มหัวขอโทษคุณลุงอย่างนอบน้อม ก่อนจะลวงมือถือออกมากดเข้าหน้าแชทไอ้ไฟที่เพิ่งได้มาหมาด ๆ
MM : มึงลองถามไอ้จ้าวหน่อยว่าอยู่ไหน
MM : ไม่ก็ส่ง Contact มา
ระหว่างรอก็คิดว่าจะเดินเลาะดูไปเรื่อย ๆ แต่เบี่ยงปลายเท้าได้เพียงเล็กน้อย...
ปรี๊นนนนน!!!
เสียงแตรรถที่ดังสนั่นจากฝั่งตรงข้ามทำผมสะดุ้ง และมันเรียกความสนใจจากผู้คนละแวกใกล้เคียงได้เป็นอย่างดี แต่ก็เหมือนจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะ ผมยังเห็นรถยนต์วิ่งสวนกันได้ปกติ
นั่นเลยทำให้ผมก้าวต่อไปตามเส้นทางเดิม...
Fi : แชร์โปรไฟล์
Fi : มันไม่รับสายวะ ไม่ตอบด้วย
และถึงผมจะแอดไปตอนนี้ ก็คงเปล่าประโยชน์ ถ้าขนาดไอ้ไฟยังโดนเมิน ผมคงอยู่ไกลสุดลูกหูลูกตา
หรือผมควรจะย้อนกลับไปถามคุณลง รปภ. ดี
จิ๊...ช่างเหอะ พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน
ผมเลี้ยวเข้าร้านขนมหวานชื่อดังที่แม่ชอบ ตั้งใจไว้แต่แรกว่าจะซื้อฝากท่านถึงเอารถมาจอดตรงนี้ เพราะมันไม่ได้ห่างจากโรงเรียนมากนัก โชคดีที่คนไม่เยอะ ผมไถมือถือรอไม่ถึงห้านาทีก็ได้แล้ว
จ่ายเงินเสร็จสรรพผมก็เดินออกมา แต่หลังจากที่ก้าวขึ้นนั่งคร่อมบนมอเตอร์ไซค์และสวมหมวกกันน็อกเรียบร้อย หางตาดันเหลือบไปเห็นบางอย่างวิ่งกระดุกกระดิก ไม่สิ...ไม่ใช่ นั่นคน เธอแค่ตัวเล็ก ขาสั้น ทว่าสับสุดชีวิต ทั้งยังหันซ้ายรีขวาคล้ายกำลังตามหาใครอยู่ ลักษณะของเธอทำให้ผมรู้สึกตงิดใจ
ใช่ไหมนะ...
ผมหันมองจนสุดทาง ก่อนตัดสินใจถอดหมวกวางคืนที่เดิมและเดินตามไปโดยทิ้งระยะห่างพอสมควร ไอ้ครั้นจะปรี่เข้าไปฉุดให้เธอหยุดแบบกะทันหันก็ใช่เรื่อง เกิดผิดพลาดขึ้นมา ไม่ใช่แค่หน้าแหกนะ กลัวจะโดนข้อหาโจรปล้นสวาทพ่วงด้วยน่ะสิ
สักพักการเคลื่อนไหวของเธอก็เหมือนจะช้าลงจนหยุดนิ่งและทรุดตัวลงนั่งหย่องย่อในที่สุด ไหล่บางไหวขึ้นลงจากการหอบหายใจอย่างหนัก
และพอผมได้ใกล้เธอมากขึ้น ความมั่นใจก็เพิ่มขึ้นด้วย ผมก้าวไปหยุดยืนตรงหน้า แล้วยื่นมือไปให้ในตอนที่เพื่อนเก่าคนโปรดทำท่าจะลุกยืน
“ตามหากูอยู่รึเปล่า”
เสียงของผมทำคนฟังก็ชะงักไปชั่วขณะ ก่อนใบหน้าสวยที่เต็มไปด้วยคราบเหงื่อจะค่อย ๆ เงยขึ้นจนกระทั่งสายตาเราสอดประสานกัน ร่างกึ่งนั่งกึ่งยืนทรุดลงไปกองกับพื้นอย่างคนหมดแรงเลยคราวนี้
ด้วยความตกใจ ผมลดความสูงให้เสมอกันและเลื่อนแขนไปประคองหลังคนตัวเล็กไว้ตามสัญชาตญาณ แต่เชื่อไหมว่าเหตุการณ์ต่อมามันน่าตกใจกว่าเป็นร้อยเท่า
“ฮือ…ฮือ” อยู่ ๆ ยัยเตี้ยของผมก็ปล่อยโฮออกมาราวกับเขื่อนแตก
“เห่ย ร้องทำไมเนี่ย” ผมกระซิบดุ เพราะตอนนี้คนผ่านไปผ่านมาเริ่มหันมาสนใจเราแล้ว คาดว่าอีกไม่นานต้องมีคนโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจแน่
แต่ไม่เพียงไม่หยุด ยังร้องหนักกว่าเดิมด้วย...
“ฮ้ากกกกก...”
“นี่มึงคิดถึงกูขนาดนี้เลยเหรอเตี้ย”
“ฮึ…” เด็กขี้แยส่ายช้า ๆ แทนคำตอบ “…ฮึก กูปวดขา”
“ปวดขา?!”
“…” หลังมือเล็กถูกยกขึ้นมาปาดน้ำตาลวก ๆ ขณะที่ก้มมองแต่พื้นซีเมนต์
“ร้องยังกับพี่มึงตาย โตขนาดนี้แล้วยังร้องเป็นเด็กอยู่ได้” ผมว่าแบบไม่จริงจัง พลางเอื้อมมือไปเกลี่ยปอยผมที่ตกลงมาปิดหน้าเธอขึ้นทัดหลังหูด้วยความเอ็นดู
จะผ่านไปกี่ปี จันทร์เจ้า ก็ไม่โตขึ้นเลย สาวน้อยที่ดูภายนอกเหมือนจะเข้มแข็ง กับคนอื่นนี่เก่งสุด ๆ สู้ขาดใจ หลังชนฝา ยังไงก็ไม่ถอย แต่เมื่อไหร่ที่อยู่กับผม เธอจะกลายเป็นผู้หญิงแบบเต็มหนึ่งพันเปอร์เซ็นต์ ทั้งอ่อนแอ บอบบาง แลดูตัวเล็กตัวน้อยขึ้นมาทันที
ในทางกลับกันมันก็ยิ่งทำให้ผมตัวใหญ่ขึ้นทุกครั้งที่อยู่กับเธอ...
และผมคิดว่าความสัมพันธ์ที่จะทำให้เราอยู่กันแบบนี้ได้ตลอดไปก็คือ...เพื่อน
“ไม่ต้องมาพูดเลย ฮึก ก็เพราะมึงนั่นแหละ ถ้ามาเร็วกว่านี้ กูก็ไม่ต้องวิ่งแบบนี้ไหม” น้ำเสียงที่ห้าวอยู่แล้ว ยิ่งแหบแห้งหนักเข้าไปอีกเมื่อติดก้อนสะอื้น และถึงประโยคที่สื่อออกมาจะไม่ชัดเจนนัก แต่ผมก็มั่นใจว่า ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่วิ่งจนร่างแทบพังนี่หรอก
“ขอโทษ...” ถึงมันจะดูสิ้นคิด แต่ก็...ต้องพูด
“ไม่ ฮึก กูไม่ให้อภัย”
