Risk Friend : 01 - 1
Risk Friend : 01
------------------------------
‘นอร์เวย์เลยเหรอ?!’
‘…’
‘ไปไกลขนาดนั้น มึงจะลืมกูไหม’
‘จะลืมได้ไง เพื่อนเตี้ย ๆ ทั้งคน’
‘แน่นะ’
‘อือ กูจะกลับมาหามึงทุกปี... กูสัญญา’
“อีเตี้ย!!!”
เสียงตะโกนเรียกของ แสตมป์ หรือ แตมมี่ เพื่อนสาวในร่างหนุ่มน้อยหน้าหวาน ทำฉันสะดุ้งตื่นจากภวังค์ ภาพเด็กนักเรียนชายหญิงบนอัฒจันทร์ข้างสนามก็สลายวับไปกับตา
และมันคงจะดีกว่านี้หากความทรงจำเลือนหายง่าย ๆ แบบนั้นบ้าง
สี่ปีแล้วสินะ...ที่ไม่เห็นแม้แต่เงาของคนลั่นวาจาสัญญา อย่าว่าแต่กลับมาเลย เมสเซจสักฉบับยังไม่มี พอไปแล้วก็ไปลับ หายวับเข้ากลีบเมฆ ทำตัวเหมือนดั่ง ม่านหมอก สมชื่อ!
เคยคิดว่าเวลาจะช่วยให้ลืม หากแต่ความจริงกลับสวนทาง กลายเป็นยิ่งเติบโต ยิ่งถามหาเหตุผล เมื่อไม่เข้าใจก็ยิ่งคิดย้ำ คิดวน คิดทบทวนมากขึ้นเรื่อย ๆ
สรุป! ไม่มีวันไหนไม่คิดถึง
“เออ ๆ ไปแล้ว”
ฉันรีบตามไปสมทบกับเพื่อนสนิทที่ยืนเท้าเอว ทิ้งสะโพก จิกตารออยู่ตรงประตูทางออก ไม่ใกล้ไม่ไกลยังมีคุณลุง รปภ. กำลังลากรั้วเหล็กเป็นการกดดันฉันด้วยอีกคน
เดิมทีเราแพลนกันไว้ว่าวันนี้จะไปหาหนังสนุก ๆ ดูผ่อนคลายสมองสักหน่อย เพราะช่วงหลายเดือนก่อนมัวแต่วุ่นวายอยู่กับการเตรียมตัวเป็นนักศึกษาจนไม่มีเวลาเที่ยวเล่น ไหงมาโผล่ที่โรงเรียนเก่าได้ก็ไม่รู้ ทีนี้ก็ลากยาวเลย…
ตั้งแต่บ่ายคล้อยจนฟ้ามืดสนิทและเกือบโดนไล่อย่างที่เห็น
“ขอบคุณนะคะลุง” แสตมป์ส่งยิ้มหวานไม่ต่างจากเสียง
ส่วนฉันเหรอ…
“ไว้จ้าวจะแวะมาป่วนใหม่น้า” ห้าวกว่านิสัย ใหญ่กว่าตัวก็เสียงนี่แหละ
จ้าว หรือ จันทร์เจ้า คือชื่อเล่นของฉัน ส่วน อีเตี้ย เป็นสมญานามเฉพาะสำหรับคนสนิทเท่านั้น
“จ้า โชคดีนะเด็ก ๆ” คุณลุงยิ้มแป้น แสดงออกชัดเจนว่าดีใจมากแค่ไหนที่ไม่ต้องเหนื่อยไล่ตามพวกเราตอนปีนกำแพงโดดเรียนอีกแล้ว
หลังไหว้ลาคุณลุงเรียบร้อย เราก็พากันเดินเตร็ดเตร่มาหยุดรอข้ามถนนหน้าโรงเรียน
“ยืนเตี้ยอยู่นั่นแหละ กูหิวจนไส้จะขาด”
“อ้าว…อีนี่! เอาตรงไหนมาเตี้ยก่อน ร้อยห้าสิบแปดคือมาตรฐานหญิงไทยค่า ขนาดกำลังน่ารัก พกพาสะดวก”
“โนว์! กูนี่ค่ะ มาตรฐาน…” แล้วคนสูงกว่าเกือบยี่สิบห้าเซ็นต์ก็สถาปนาตัวเองเป็นมีสทิฟฟานี่ท่านหนึ่ง หยิบมงในจินตนาการมาสวม พร้อมเชิดหน้า ไขว้ขา บิดท่าโพสแบบจริตจะก้านจัดเต็ม ขณะที่ฉันกลอกตามองบนจนเวียนหัวเจียนจะอ้วกอยู่รอมร่อ
ขอดมยาแป๊บ…
หงส์ไทยขวดเขียวถูกยกจ่อรูจมูก สูดเข้าปอดชุ่มฉ่ำได้ไม่เท่าไหร่
“ไอ้หนู! ไอ้หนู!!”
น้ำเสียงตื่นตระหนกของคุณลุง รปภ. เรียกให้เราเคลื่อนสายตาไปยังเส้นทางเดิมที่เพิ่งจากมาอีกครั้ง
“เข้าไม่ได้แล้ว ประตูปิดแล้ว”
ดีนะ…ไม่ขานรับ คุณลุงไม่ได้คุยกับพวกเรา แต่กำลังร้องห้ามใครบางคนอยู่ตรงช่องประตูเล็ก ซึ่งห่างจากจุดที่พวกเรายืนประมาณสิบก้าว
ฉันย่นคิ้วมองแผ่นหลังกว้างของชายร่างสูงในชุดลำลองเสื้อยืดสีกรมกับกางเกงยีนส์ผ้าดิบแบรนด์ดัง และผมทรงแมสวูล์ฟสีเทาเงินที่โคตรโดดเด่น ขนาดไม่เห็นหน้าฉันยังคิดว่าเขาต้องดูดีแน่ ๆ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่ทำสีนี้แล้วจะรอดนะ แบบ…มันต้องกัด ต้องฟอกหลายรอบมาก ถ้าไม่เอาใจใส่เส้นผมจริงจัง คือพังยับ
แต่เท่าที่ดูผมเขาไม่เสียเยอะ ทั้งยังมีความมันเงาระดับหนึ่งถือว่าใช้ได้เลย
“สีผมนางแซ่บเนอะ” เสียงชื่นชมจากคนข้าง ๆ บ่งบอกให้รู้ว่าความคิดเราตรงกัน
“อือ”
“ถ้ากูทำบ้างจะรอดไหมวะ”
ฉันเหล่มองคนขอความเห็นแวบหนึ่ง “เอาเรื่องจริงหรือตอแหล”
“เออ! กูไม่ทำละ” พอได้ยินแบบนั้น เพื่อนรักก็ปาค้อนใส่ฉันทันควัน เป็นอันเข้าใจตรงกัน เมื่อไหร่ที่มีการยื่นทางเลือกแปลว่าความจริงมันต้องโหดร้ายมาก ๆ
และบทสนทนาก็จบลงด้วยการที่ฉันถูกลากจูงไปยังอีกฝั่งของถนน ระหว่างนั้นฉันยังเผลอเหลียวมองเขาหลายต่อหลายครั้ง
…กระทั่งกายกำยำเบี่ยงตัวหันข้างและแสตมป์ก็พาฉันมาถึงจุดหมายพอดี
“เดี๋ยว!” ฝีเท้าฉันชะงักกึก ได้เห็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของใบหน้าคมคาย แรงดันในกายก็เพิ่มขึ้นจนแทบหลุดควบคุม
เหมือนมาก…เหมือนยังกับคนเดียวกัน
การตัดสินใจเกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ ฉันบิดข้อมือออกจากการจับกุมของเพื่อนและตั้งใจจะวิ่งตามเขาไป แต่ขยับได้ไม่ถึงสองก้าว…
ปรี๊นนนน!!!!
“อร๊ายยย อีจ้าว!”
“อยากตายรึไง!!!”
“...!” จังหวะคืนสติคือจังหวะที่ถูกกระชากขึ้นมายืนบนฟุตบาท ฉันเบิกตามองมอเตอร์ไซค์คันใหญ่แล่นฉิวผ่านหน้าด้วยความตกใจ บางทีการโดนเฉี่ยวชนอาจไม่น่ากลัวเท่าแววตาเกรี้ยวกราดของคนขับก็ได้
ฉันกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่แล้วพยายามหายใจให้เป็นระเบียบเพื่อบรรเทาความตื่นตระหนก วินาทีต่อมาก็โดนแสตมป์ก็รั้งให้หันไปสบตา
“อีบ้า! มึงอยากเหลือแต่ชื่อรึไง เป็นบ้าอะไร อยู่ ๆ ก็วิ่งออกไปแบบนั้น”
จะว่าไม่สำนึกก็ได้…
ฉันละเลยความเป็นห่วงของเพื่อน และยังจดจ่ออยู่กับมองหาผู้ชายที่ละม้ายคล้ายเพื่อนเก่าคนนั้น
“…เขาหายไปไหนแล้ว”
“โอ๊ย…กูจะบ้า” คนฟังถึงกับกุมขมับ “สติค่ะหญิง มึงจะแรดแค่ไหน มึงก็ต้องแรดอย่างมีสตินะ มึงจะวิ่งไปหาผู้ชายแบบไม่คิดชีวิตแบบนี้ไม่ได้”
“มึงรอกูอยู่นี่แป๊บหนึ่งนะ”
“เอ้า! เดี๋ยว อีเตี้ย…”
เหมือนประโยคที่เพื่อนพูดไม่เข้าหูเลยสักนิด ฉันพาตัวเองข้ามถนนกลับมาที่เดิมอย่างปลอดภัยจนได้ ถึงความหวังจะริบหรี่ แต่ยังเชื่อในเซนส์ของตัวเอง
ฉันสับขาสั้น ๆ ไปตามทางแบบไร้จุดหมาย ต้องเจอสิ! คนเราจะหายตัวไปในอากาศได้ยังไงกัน มันเป็นไปไม่ได้...
แฮ่ก ๆ ๆ
จำไม่ได้แล้วว่าออกกำลังกายหนัก ๆ ครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ แจ้งเตือนการเต้นของหัวใจที่เกินขีดจำกัดบนหน้าปัดสมาร์ทวอทช์ทำให้ต้องหยุดพัก สองมือค้ำยันบนเข่าด้วยอาการเหนื่อยหอบจนลิ้นห้อย
บ้าเอ๊ย! ฉันทรุดตัวลงนั่งหย่องย่อหมดสภาพ ไม่รู้เลยว่าวิ่งมานานแค่ไหน แต่รู้ว่าไกลมากพอสมควร และมันสมควรพอได้แล้วรึเปล่า...
เฮ้อ...ฉันถอนหายใจยาวทิ้งท้าย คงถึงเวลาที่ต้องเลิกหวังลม ๆ แล้ง ๆ แล้วจริง ๆ
แต่ในตอนที่กำลังจะยืดตัวลุกขึ้นกลับมีมือของใครบางคนยื่นเข้ามา...
“ตามหากูอยู่รึเปล่า”
