ตอนที่ 1 หลุมพราง
พลั่ก!!!!
ปึก! ตึก!
“โอ๊ย!”
เสียงฉันหกล้มตกลู่วิ่งดังเป็นสเต็ปราวกับรัวกลอง แงๆ เจ็บ... จุก... ไม่น่าใจลอยนึกถึงเรื่องหดหู่ใจเลยจริงๆ
“ว้าย”
“นี่เธอเป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงนุ่มทุ้มของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น หมอนั่นเข้ามาพยุงฉันออกห่างจากลู่วิ่งอย่างสุภาพบุรุษโดยที่ฉันไม่ต้องเสียแรงเอ่ยปากขอร้องเลยสักแอะ!
อุณหภูมิตรงผิวหน้าฉันร้อนวูบวาบเมื่อเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลสั้นซอยสไลด์รากไทรปัดกันยุ่งเพราะเหงื่อที่ซึมจากการออกกำลังกายยื่นหน้าเข้ามาใกล้ แต่มันก็ทำให้รูปหน้าเรียวยาวของเขามีเสน่ห์เย้ายวนใจมากขึ้นไปอีก เป็นครั้งแรกที่ฉันได้มองหน้าผู้ชายชื่อดังคนนี้ใกล้ๆ แบบนี้
ปลายจมูกคมสันรับกับคิ้วเข้มอย่างเกินบรรยายในความลงตัว ริมฝีปากหยักลึกรูปกระจับกลมกลืนกับดวงตาเรียวโตสีน้ำตาลเข้มคมเฉี่ยวน่าค้นหา เอ้ย! นี่ฉันกำลังเคลิ้มอยู่เหรอเนี่ย!!
ฉันกระพริบตาปริบ รีบไล่ความฟุ้งซ่านออกไปจากสมอง ก่อนจะตั้งสติรับมือกับความหล่อเหลาไม่บันยะบันยังของหมอนั่น ผู้ชายที่ได้ชื่อว่า แฟรงก์ ดาวเด่นของมหาวิทยาลัย Ex หนุ่มฮอตแห่งคณะวิศวกรรมศาสตร์
"มะไม่เป็น โอ๊ย!" ฉันปัดมือเขาออกอย่างตะขิดตะขวางใจเมื่อหมอนั่นแตะลงที่ข้อเท้าของฉันอย่างใจดี ไม่ได้สำออยนะ มันเจ็บจริงอะไรจริง สงสัยว่าข้อเท้าฉันคงจะแพลงเข้าแล้ว งือๆๆ
“ข้อเท้าพลิกหรือเปล่าน่ะ” ในขณะที่ฉันกำลังคลำข้อเท้าอย่างเจ็บปวดเสียงหวานใสของใครอีกคนก็ดังขึ้น ฉันรู้จักเธอ แน่นอนรวมทั้งผู้ชายคนที่ออกตัวช่วยฉันอยู่นี่ด้วย มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่เราสามคนมาออกกำลังกายข้างกัน ทุกอย่างกำลังดำเนินไปตามที่ถูกกำหนด แต่ไม่นึกเลยว่าจะมาพลาดท่าทำขายหน้าต่อหน้าสองคนนี้ โฮๆ อายหน้าแดงเถือกแล้ว!
เจ้าของน้ำเสียงหวานใสและรูปหน้าเรียวสวยจับตาจับใจไม่แพ้เสียงของเธอนั่นชื่อหวาย เป็นคนดังระดับท็อปของมหาวิทยาลัยทั้งๆ ที่ไม่ใช่ดาวคณะแท้ๆ แต่กลับได้รับเลือกให้เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ข้ามหน้าข้ามตาคนหล่อสวยไปหลายคน มีดีกรีเยอะซะขนาดนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ฉันจะรู้จักเธอทั้งๆที่ไม่ใช่ดารานางแบบ และผู้ชายที่เสนอหน้าช่วยฉันอยู่ตอนนี้ก็คือแฟรงก์ ผู้ชายของหวาย!! ทำไมนะ... ยัยนี่มีอะไรดีนักหนาทำไมถึงมีแต่คนสนอกสนใจ ไม่เว้นแม้กระทั่งศิลปินดังมีระดับอย่างชิน
“โห แดงเถือกเลยลุกไหวไหม” หมอนั่นพูด
ก็เห็นอยู่ว่าเท้ามันแพลงจะไหวได้ไงเล่า... ฉันเองก็ทำได้แค่คิดต่อในใจไม่กล้าพูดออกไป เพราะได้ข่าวมาว่าระดับขีดอารมณ์ของหมอนี่ค่อนข้างจะต่ำ มันเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงชอบออกกำลังกาย เพราะต้องการสร้างความอดทนให้ตัวเองยังไงล่ะ! อะ... อย่าสงสัยว่าทำไมฉันถึงรู้ ก็ไปสืบประวัติมาน่ะสิ! ไม่งั้นคงไม่ได้มาวิ่งออกกำลังกายอยู่ข้างๆ เขาแบบนี้หรอก
เห็นหงิมๆ แบบนี้ก็รู้จักวางแผนนะจะบอกให้ แผนอะไรน่ะเหรอ... อุบไว้ก่อนแล้วจะบอกทีหลัง หุหุ
ฟึบ!!!!
"ว้าย!" ฉันเบิกตาโตร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อจู่ๆ แฟรงก์ก็ช้อนร่างฉันขึ้นอุ้มอย่างไม่บอกกล่าว นี่มันเกินกว่าที่ฉันคาดคิดซะอีก!! หมอนี่... ไม่นะ ฉันอยากใกล้ชิดสนิทกับเขาก็จริงแต่แบบนี้มัน... ฉันตั้งตัวไม่ท้านนนน
"มีของอะไรหรือเปล่า" เสียงเขาเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าฉันทำหน้าเจิ่นๆ และขัดขืนอยู่ในที
“ค่ะ อยู่ในล็อกเกอร์” ตอบไปแบบช่วยไม่ได้
“ฝากด้วยนะหวาย”
"...."
คนถูกวานทำหน้าอึ้งไปชั่วขณะก่อนจะปรับสีหน้ากลับเป็นปกติแล้วพยักหน้ารับเดินปึงปังไปหยิบกระเป๋าฉันที่ล็อกเกอร์แล้วรีบตามเราสองคนมาห่างๆ ฉันขมวดคิ้ว... รู้สึกไม่ค่อยดียังไงไม่รู้แฮะ ฉันดูออกว่ายัยนั่นไม่ชอบใจที่ต้องมาทำอะไรให้ฉันแบบนี้ แต่ว่า... แบบนี้มันอาจจะดีก็ได้กับคนที่อยากเห็นหวายเดือดร้อนใจ
ฉันถูกแฟรงก์อุ้มมาที่ห้องพยาบาลอย่างนุ่มนวลโดยมีหน้าบูดบึ้งของหวายเดินตามหลังมาต้อยๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ายัยนั่นกำลังไม่พอใจฉัน
“อ้าวนี่ ฉันขอตัวก่อน ดูแลกันให้ดีๆ ล่ะ”
“จะไปแล้วเหรอ?” แฟรงก์มองหน้าหวาย ทำท่าจะลุกเดินตามไป ฉันรีบคว้ามือของหมอนั่นเอาไว้อย่างไม่ทันคิด ทำให้เขาหันกลับมามองหน้าฉันแววตาแปลกใจ เช่นเดียวกับหวายที่มองหน้าฉันกับแฟรงก์สลับกันด้วยแววตามึนงง
“คือว่า...” ฉันเบือนสายตาหลบพูดเสียงอ้อมแอ้ม “ช่วยอยู่เป็นเพื่อนฉันก่อนได้ไหม”
แฟรงก์ละสายตาจากฉันหันกลับไปมองหน้าหวายอย่างลำบากใจ ฉันรู้อยู่แล้วล่ะว่ายังไงเขาก็ไม่มีทางเลือกฉัน ยังไงซะหวายก็ต้องมาก่อนอยู่แล้ว อะใช่! ฉันลืมบอกไปว่าแฟรงก์กับหวายกำลังคบกันอยู่ ถึงจะไม่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการจากเจ้าตัวแต่การกระทำของทั้งสองที่ชอบไปไหนมาไหนด้วยกันมันก็ฟ้องโทนโท่ว่าต้องกำลังกิ๊กกันชัวร์!
“นั่นสิแฟรงก์ ใจคอนายจะปล่อยให้ผู้หญิงที่กำลังเจ็บอยู่คนเดียวได้ลงคอเหรอ?”
เอะ... ฉันรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นรอยยิ้มขำของยัยนั่นแทนที่จะเป็นอาการหึงหวงหรือไม่พอใจ
“หวายนี่เธอ”
“อยู่ดูแล... เอ่อเธอชื่ออะไรนะ?”
“เบส” ฉันบอกชื่อตัวเองออกไป
“นั่นแหละ นายอยู่เป็นเพื่อนเบสแล้วกัน และก็อย่าลืมเรื่องที่เราคุยกันเมื่อกี้ล่ะ ฉันไปนะ”
“หวาย”
ร่างบางเดินออกไปอย่างไม่ลังเล ฉันมองตามอย่างไม่เข้าใจสักนิด จะมีผู้หญิงสักกี่คนที่ใจกว้างยอมให้แฟนตัวเองไปดูแลผู้หญิงอื่นแบบนี้ หรือว่าเธอ... เห็นฉันเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาที่ยังไงก็ไม่มีทางทำให้แฟรงก์หวั่นไหวได้ หึ! ถ้าเป็นแบบนั้นก็บอกได้คำเดียวว่า เธอมั่นมาก!
หลายวันผ่านไป
“เฮ้ดูนี่สิ... ‘มือที่สามระหว่างแฟรงก์กับหวาย เธอเป็นใครกัน?’” เสียงเจนนี่เพื่อนสนิทของฉันดังขึ้นขณะอ่านวารสารประจำเดือนของมหาวิทยาลัย ก่อนที่น้ำเสียงจะเปลี่ยนเป็นแหลมสูงแล้วดังขึ้นอีกหน
“นี่มัน! อย่าบอกนะว่าเป็นเธอ!!!”
เจนนี่เอาวารสารหน้าที่เป็นข่าวกับแฟรงก์มาทาบกับหน้าฉันแล้วเพ่งมองคนในรูปสลับกับฉันไปมา ก่อนที่ฉันจะรำคาญแล้วปัดวารสารนั่นออกไป
“พอเถอะน่า นั่นฉันเอง” ฉันเฉลยให้ในที่สุด เจนนี่มัวทำอะไรไร้สาระอยู่ได้
“หา!!!”
“ชู่ววววว” ยัยบ้า! ร้องหาซะเสียงดังเชียว คนหันมามองกันหมดแล้ว ฉันรีบเอานิ้วจ่อปากทำสัญญาณเตือนให้ยัยนั่นรู้ตัวว่าตกใจออกนอกหน้านอกตาเกินไปแล้ว ยัยเจนนี่จึงรีบห่อไหล่ลงอย่างอายๆ ก่อนจะปรับสีหน้าเจื่อนๆ นั่นให้กลับเป็นปกติแล้วเขย่าแขนฉันแรงๆ ให้ตายสิ!
“เบส! เป็นเธอได้ยังไง บอกมานะเธอแอบไปกุ๊กกิ๊กกับนายแฟรงก์นั่นตอนไหน ทำไมฉันไม่เห็นรู้เรื่อง!!”
ฉันถอนหายใจยืดยาวพลางกลอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย ก่อนจะหันไปมองหน้าเพื่อนรักแล้วพูดออกไปตามตรง!
“งั้นก็รู้ไว้ซะ ว่าฉันจะเริ่มกุ๊กกิ๊กกับหมอนั่นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป!” พูดจบฉันก็ผลุดลุกขึ้นและกำลังจะเดินออกมาเสียงของเจนนี่ก็ร้องขัดขึ้นมาก่อน
“แล้วนั่นเธอจะไปไหน ที่บอกว่ากำลังจะกุ๊กกิ๊กหมายความว่ายังไง เขาจีบเธอเหรอ?”
“เฮ้อ...” ฉันหันกลับไปมองหน้ายัยนั่นอีกครั้ง “...มีแฟนสวยออกขนาดนั้นจะมาจีบฉันทำไมล่ะ? ฉันจะไปฟิตเนสอยากไปด้วยไหมล่ะ?”
ยัยเจนนี่เลิกคิ้วอย่างพยายามเข้าใจประโยคแรกที่ฉันพูดออกไปก่อนจะส่ายหน้าพรืดหลังถูกชวนไปฟิตเนส หึ! ฉันแอบยิ้มในใจ รู้อยู่แล้วว่ายัยนี่ไม่ชอบออกกำลัง
“งั้น... ไปล่ะนะ” ฉันโบกมือลาเพื่อนด้วยรอยยิ้มก่อนจะหันกลับมามุ่งหน้าเดินสู่ฟิตเนสด้วยหัวใจที่เต้นโครมครามและหนักอึ้งในคราวเดียวกัน ...เมื่อนึกว่าจะต้องไปเจอหน้าใครบางคน
เสียงลมหายใจสลับกับเสียงขยับร่างกายอย่างคล่องแคล่วบนลู่วิ่งของผู้ชายคนหนึ่งดึงดูดสายตาของใครหลายคนเวลาเดินผ่าน โดยเฉพาะบรรดาสาวๆ ที่จำต้องเหลียวมองอย่างน้อยก็หนึ่งครั้งเพื่อชื่นชมหุ่นที่สุดแสนเพอร์เฟคนั่น ไม่เว้นแม้กระทั่งฉัน... แต่อย่างน้อยฉันก็ไม่ได้ตกอยู่ภายใต้มนตร์เสน่ห์เย้ายวนตาของร่างกายนั่นอย่างที่ผู้หญิงคนอื่นเป็น
“อ้าว...” เสียงทุ้มดังขึ้นพร้อมกับร่างกายที่ขยับช้าลงเรื่อยๆ จนกลายเป็นหยุดนิ่ง เจ้าของเสียงหันมามองหน้าฉันก่อนจะเอ่ยทักทายอีกครั้ง
“ว่าไง มาออกกำลังกายเหรอ” เขาส่งยิ้มมาให้ ฉันประหม่าเล็กน้อยเมื่อสายตาหลายคู่เริ่มจับตามองเพียงเพราะหมอนั่นหันมาคุยด้วย นายจะฮอตไปไหนเนี่ยแฟรงก์!
“อ่อ อืม...” ฉันเดินเข้ามาหาเขาพลางยิ้มเจื่อน “แต่พอดีว่าเครื่องออกกำลังกายเต็มน่ะ” ตอบไปตามความจริง
“อะ... ใช้ต่อก็ได้นะ ฉันกำลังจะเปลี่ยนไปเล่นอย่างอื่นพอดี”
“เอะ?”
“มาสิ” หมอนั่นไม่สนใจอาการงุนงงที่แกล้งทำของฉัน ก่อนจะลงจากลู่วิ่งแล้วหยิบผ้าขนหนูที่ไหล่ขึ้นซับเหงื่อ ส่งยิ้มมาให้แล้วเดินออกไปทันที
เอ่อ... ฉันได้แต่มองตามอย่างไม่รู้จะพูดยังไงดี ก็ฉันไม่ได้อยากจะมาออกกำลังกายตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่นา เอาไงดี... เฮ้อ!! ไหนๆ ก็มาแล้วขึ้นวิ่งหน่อยแล้วกันจะได้ไม่ผิดสังเกต ระหว่างนั้นค่อยคิดหาวิธีตีสนิทกับหมอนี่ ว่าแล้วฉันก็ขึ้นมายืนบนลู่วิ่งก่อนจะเริ่มเปิดเครื่องโดยเซตไปที่ระดับต่ำสุด
“...ว่าแต่ขาหายแล้วเหรอ?”
“เอ้ย!!” ตกใจหมดเลย!
“ตกใจเหรอ? ฮ่าๆ ขวัญอ่อนจังเลยนะ” เขาหัวเราะเบาๆ แต่ทำไมฉันถึงต้องหน้าร้อนผ่าวด้วยล่ะ หละหล่อเกินไปแล้ว!!!
“ก็นายเล่นโผล่มาแบบนี้จะไม่ให้ตกใจได้ไงล่ะ” ฉันส่งค้อนให้เขาไปหนึ่งที ก่อนจะเพ่งมองหน้าปัดเครื่องออกกำลังกายจนจะส่องทะลุเข้าไปถึงแผงวงจรข้างในแล้ว
“อะๆ ฉันผิดเอง” หมอนั่นพูดกลั้วหัวเราะก่อนจะถามย้ำมาอีกที ไอ้หย๋า ทำไมหัวใจฉันถึงสั่นเร่าๆ เป็นเจ้าเข้าแบบนี้เนี่ย อย่าบอกนะว่าฉันกำลังหวั่นไหว ไม่น๊า ไม่จริ๊ง! “แล้วนี่หายดีแล้วใช่ไหม? ขาน่ะ”
“อ๋อ อื้มดีขึ้นมากแล้วล่ะ”
“ฮึๆ อย่าลื่นล้มขาแพลงอีกล่ะขี้เกียจแบก”
“ไม่หรอกน่า” ฉันจะบอกว่ามันจะลื่นล้มอีกรอบก็เพราะเขินนายนี่แหละ แว้ก! ไม่นะ นี่ฉันคิดอะไรไปเนี่ย ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตัวเองจะมีภูมิคุ้มกันผู้ชายหน้าตาดีบกพร่อง กรี๊ดๆ อยากจะตะโกนออกมาให้สุดเสียง นี่ฉันกำลังเสวนาอยู่กับผู้ชายพันธุ์หล่อแห่งมหาวิทยาลัย Ex อยู่น่ะ มันไม่แปลกหรอกที่จะหวั่นไหวน่ะ ใช่ไหม? (พยายามหาเหตุผลเข้าข้างตัวเองเต็มที่)
แฟรงก์ยิ้มกวนพลางส่ายหน้า ขณะที่เขากำลังจะเดินผละออกห่างฉันก็นึกอะไรขึ้นได้ จึงรีบฉวยโอกาสนี้ตีสนิทซะเลย!
“เออแฟรงก์”
“หือ?” หมอนั่นชะงักแล้วหันกลับมามองหน้าฉันพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้นอย่างเป็นคำถาม ฉันจึงยิ้มบางๆ ตอบกลับ พูดสิ่งที่นึกอยู่ในใจออกมา
“คือเย็นนี้ว่างไหม?”
“ฮึ?” คราวนี้สีหน้าของแฟรงก์เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน เล่นเอาซะฉันหน้าซีดพูดอะไรไม่ออก ก็แววตาหมอนั่นมันกรุ้มกริ่มจนฉันแทบอยากจะกลืนคำพูดก่อนหน้านี้กลับลงไปน่ะสิ โธ่เอ้ย! หมอนั่นต้องคิดว่าฉันอ่อยแน่ๆ
“แฮร่~” ฉันยิ้มแห้งก่อนจะทำใจกล้าพูดต่อไปให้จบ ไหนๆ ก็มาไกลซะขนาดนี้แล้ว “อยากเลี้ยงขอบคุณที่ช่วยไว้คราวก่อนน่ะ” ด้วยความสัตย์จริงฉันไม่ได้คิดไม่ซื่อกับเขาเลยนะ ไม่เลยสักกะติ๊ด!
แววตากรุ้มกริ่มแฝงความขี้เล่นก่อนหน้านี้พลันหายวับไปกับตา “ไม่เป็นไร ฉันไม่ได้คิดมาก” เขาทำท่าว่าจะเดินหนี เล่นเอาฉันใจแป้ว อะไรกันผู้ชายคนนี้ปฏิเสธผู้หญิงได้หน้าตาเฉย หน็อยๆ รู้ไหมว่ากว่าฉันจะรวบรวมความกล้าพูดกับนายได้แบบนี้ฉันต้องพยายามขนาดไหน!!
“เดี๋ยวสิแฟรงก์!”
“...???” หมอนั่นหันกลับมาพร้อมกับสีหน้าเป็นคำถาม ทว่าแววตาราบเรียบกว่าทุกครั้ง
“ถ้านายไม่คิดมากก็ไม่เห็นต้องปฏิเสธเลยนี่ ฉันบริสุทธิ์ใจนะ”
“...”