04 | ช่วงเวลาดีๆ
นับดาวกลับมาทำงานได้ปกติ วันนี้เธอเลือกที่จะไปจอดรถข้างหลังบริษัทเหมือนเดิม แต่ที่แปลกคือไม่มีรถจอดอยู่ตรงนี้เลยสักคัน อาจจะเป็นเพราะเพิ่งมีคนกระโดดตึกตายลงมาตรงนี้
ภวัตยืนล่วงกระเป๋ากางเกงเหม่อมองพื้นถนนตรงที่เกิดเหตุสลดเมื่อสองวันก่อน
‘ช่วยพี่อีกสักครั้งเถอะนะภวัต’
‘ผมช่วยพี่มาเยอะแล้ว ถ้าพี่บริหารต่อไม่ได้ผมจะส่งลูกชายไปช่วย’
ตัวเขาเองไม่ได้ต้องการให้เรื่องทุกอย่างมันจบลงแบบนี้เลย ทั้งที่เขาอยากช่วยประคับประคองบริษัทท่องเที่ยวนั่นไว้แท้ๆ
‘ภวัต! เพราะแกคนเดียว ฮือๆ แกตั้งใจจะยึดบริษัทของเรา’
เขาหลับตาลงช้าๆ ก่อนจะตัดสินใจหันหลังออกมาทำให้เผชิญหน้ากับเจ้าของดวงหน้าหวานละมุนซึ่งทำให้เขาหวนนึกถึงลูกสาวสุดที่รักทุกครั้ง
“สวัสดีค่ะคุณภวัต” พนมมือขึ้นไหว้ตามมารยาท ตอนนี้เธอเริ่มรู้สึกชินกับการต้องยกมือไหว้ทักทายตามขนบธรรมเนียมของประเทศไทยเสียแล้ว
“สวัสดีครับคุณนับดาว”
“ทำไมมายืนอยู่ตรงนี้ล่ะคะ” หญิงสาวเอ่ยถามพลางปรายตามองไปที่เกิดเหตุ
“ผมนึกถึงรุ่นพี่ที่เสียชีวิตตรงนี้น่ะครับ คุณคงได้ข่าวมาบ้าง”
“สาเหตุก็คงเป็นเพราะ...ธุรกิจใช่มั้ยคะ”
ภวัตไม่ตอบ เลือกที่จะหันหลังกลับไปมองตรงร่องรอยที่เกิดเหตุอีกครั้ง
“การสร้างธุรกิจว่ายากแล้ว แต่การจะประคับประคองให้อยู่รอดมันยากยิ่งกว่า คุณภวัตนี่เก่งมากเลยนะคะที่สร้างเคแบงก์ให้ยิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้” แม้จะเป็นการเอ่ยชม แต่แววตากับไม่ได้แสดงออกแบบนั้นเลย มันกลับดูเหมือนกำลังถูกดูเหยียดหยามเสียมากกว่า
“ตอนแรกก็เหนื่อยหน่อยครับ แต่ถ้าเป้าหมายของเราชัดเจนความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม” สายตายังคงเหม่อมองออกไปอย่างไร้จุดหมาย
“แม้จะต้องแลกมาด้วยเลือดเนื้อหรือน้ำตาของใครอีกหลายคนเหรอคะ” น้ำเสียงเจือความไม่พอใจจนคู่สนทนาสังเกตได้ ภวัตหันกลับมามองหน้านับดาวอีกครั้ง
“ดิฉันหมายถึงพนักงานที่นี่คงจะทุ่มเทแรงกายแรงใจในการช่วยกันทำงานไม่น้อยเลย”
“ทุกอย่างมันขับเคลื่อนด้วยเงินครับ คนที่ได้รับผลประโยชน์ก็พร้อมที่จะทำงานแลกมันมา”
“พอมีเรื่องของผลประโยชน์เข้ามา ก็อาจจะทำให้ใครบางคนหน้ามืดตามัวไปด้วยใช่มั้ยคะ”
“ที่สำคัญคือความรอบคอบ ถ้าเรารอบคอบเราจะไม่มีวันเสียผลประโยชน์อะไรให้ใครฟรีๆ”
“แล้วถ้าเราพลาดหรือโดนหักหลังไปแล้ว คุณภวัตคิดว่าเราควรจะตอบแทนคนแบบนั้นยังไง มันถึงจะสาสมคะ”
“เท่าไหร่ก็เท่ากัน”
“นั่นสินะคะ เราเสียไปเท่าไหร่เขาก็ต้องชดใช้ให้เราเท่ากัน” ร่างบางก้าวขาเข้าไปเผชิญหน้ากับภวัตใกล้กว่าเดิม ก่อนจะส่งรอยยิ้มที่อีกฝ่ายก็คาดเดาไม่ถูกว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
“ขอบคุณคุณภวัตมากเลยนะคะ ที่เสียสละเวลามาคุยกับฉัน”
“ได้เวลาประชุมแล้ว วันนี้ผมคงต้องขอตัวก่อน” ภวัตก้มลงมองนาฬิกาข้อมือก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาตอบ “คุยกับคุณนับดาวสนุกดี ไว้มีโอกาสเราค่อยคุยกันใหม่”
“สวัสดีค่ะ” นับดาวยกมือไหว้อีกครั้ง
ภวัตยกมือรับไหว้แล้วเดินตรงเข้าไปในบริษัท ร่างบางระหงยืนมองภาพนั้นจนเขาเดินไปลับสายตา
“เท่าไหร่ เท่ากัน”
นับดาวเดินเข้ามาภายในบริษัท เธอกดโทรศัพท์สายตรงหาผู้เป็นพ่อและเลือกที่จะพูดภาษาเบทาเคียเพราะมั่นใจว่าไม่มีใครที่นี่ฟังออกอย่างแน่นอน
“นับเจอมันแล้วค่ะพ่อ”
“นับระวังตัวด้วยนะลูก ถ้ามันรู้ว่านับเป็นลูกพ่อมันต้องไม่ปล่อยนับเอาไว้แน่”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ พวกมันเข้าใจว่านับเป็นลูกสาวของคุณอากวิน”
“แล้วนับคิดไว้หรือยังว่าจะเริ่มต้นยังไง”
“…” ใบหน้าของผู้ชายที่ช่วยเธอเอาไว้ในลิฟท์ลอยเข้ามา คงจะต้องเริ่มต้นจากการตีสนิทลูกชายคนเดียวของเขา
‘อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้คุณภวัตประสบความสำเร็จคะ’
‘ครอบครัวผมครับ ก็คือภรรยาและลูกครับ’
“นับ นับได้ยินหรือเปล่า” เสียงจากปลายสายเรียกสติของหญิงสาวกลับมาอีกครั้ง
“ได้ยินค่ะพ่อ”
โอบยืนคุยงานกับพนักงานอยู่ที่ชั้นล่างหันไปเห็นร่างบางระหงกลับมาทำงาน ตั้งใจจะเดินเข้าไปทักทายแต่เพราะเธอกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ เขาจึงเลือกที่จะเดินตามเงียบๆ
“พ่อไม่ต้องห่วงนะคะ พวกมันทำเรื่องชั่วช้ากับเราไว้เท่าไหร่ นับจะทำให้มันเจ็บเท่ากัน”
“มีอะไรโทรหาพ่อนะนับ”
“ได้ค่ะ บาย”
นับดาวหยุดเดิน ก้มลงกดวางสายโทรศัพท์ก่อนจะสังเกตได้ว่าเธอเดินคุยโทรศัพท์เพลินจนเลยทางขึ้นห้องทำงานเสียแล้ว
“อุ้ย!” ทันทีที่หันหลังกลับก็ปะทะเข้ากับแผงอกของคนข้างหน้า โอบรีบยื่นมือไปช่วยประคองไว้เมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะล้มลง
“ขอโทษครับ”
“ขอโทษค่ะ เอ่อ...ฉันไม่ทันระวัง” นับดาวพูดพร้อมกลับมายืนปกติ โอบจึงปล่อยมือของเขาออกจากร่างบาง
“คุณโอบตามฉันมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะเนี้ย”
“สักพักแล้วครับ แต่ว่าเห็นคุณคุยโทรศัพท์อยู่ ผมก็เลยไม่อยากกวน”
สักพักแล้ว! ให้ตายเถอะนี่เธอไม่ระมัดระวังตัวเองเลยนะนับดาว
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ได้ยินสิคะว่าฉันพูดถึงคุณว่าอะไรบ้าง” ลองเชิงชายหนุ่มตรงหน้า เธอเจอเขาที่เบคาเทียแต่ก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะฟังภาษาเบคาเทียออกหรือเปล่า
แม้ประเทศเบคาเทียจะมีภาษาเป็นของตัวเอง แต่ภาษาสากลที่ใช้ในประเทศจะเป็นภาษาอังกฤษเสียส่วนใหญ่ สำหรับเธอพ่อสอนให้พูดภาษาไทยด้วยอีกหนึ่งภาษาเพราะพ่อบอกว่าแม่ของเธอเป็นคนไทย
“พูดเรื่องอะไรเหรอครับ พอดีคุณไม่ได้พูดภาษาอังกฤษ”
“ฉันล้อเล่นน่ะค่ะ” พูดปนขำ เพื่อให้ดูเป็นการล้อเล่นที่สมจริง “ฉันคุยธุระกับเพื่อนอยู่ค่ะ”
“ผมรบกวนหรือเปล่าครับ”
“ไม่ค่ะ เอ่อแล้วคุณโอบพอจะมีเวลาว่างหรือเปล่าคะ นับอยากจะขอนัดทานข้าวเพื่อเป็นการขอบคุณเรื่องวันนั้น” พูดพลางยกมือเกี่ยวผมไปเหน็บหลังหู ว่ากันว่าจะช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้หญิงสาวมากขึ้น
“บ่ายนี้ผมมีประชุมน่ะครับ” นับดาวหน้าเสียไปเล็กน้อยเมื่อโดนปฏิเสธซึ่งๆ หน้า แต่ก็กลับมาส่งยิ้มให้อีกครั้งเมื่อได้ยินประโยคถัดมา “แต่ว่าตอนเย็นว่าง”
“ถ้าอย่างนั้นเป็นมื้อเย็นก็ได้ค่ะ”
“ได้ครับ”
“แล้วเจอกันนะคะ”
นับดาวเดินเลี่ยงออกไป โอบยืนมองร่างบางระหงเดินออกไปจนลับสายตา ก่อนจะหยิบโทรศัพท์กดหาใครบางคน
“บรู๊ก ฉันมีเรื่องคนที่เบคาเทียอยากให้นายช่วยสืบหน่อย”
“ใคร”
“นับดาว ธนจิรกานต์”
เมื่อถึงเวลาเลิกงานนับดาวปิดหน้าจอโน้ตบุ๊คลงและเก็บของอื่นๆ ใส่กระเป๋า
“คุณนับ จะกลับแล้วเหรอครับ” เอื้อเดินเข้ามาที่โต๊ะทำงาน ถึงเขาจะได้รับมอบหมายให้ดูแลความเรียบร้อยของโปรเจคนี้ แต่ในเวลาทำงานเขาก็ไม่ได้เข้ามารบกวนเธอ
“ใช่ค่ะ คุณเอื้อมาอะไรด่วนหรือเปล่าคะ หรือว่าจะให้นับส่งความคืบ...” เปิดโน้ตบุ๊คขึ้นอีกครั้ง เอื้อจึงรีบเอ่ยห้าม เขาไม่ได้มาเพื่อตามงานกับเธอ
“เปล่าครับๆ คือ ผม...”
“คุณเอื้อมีอะไรเหรอคะ” เมื่อเห็นว่าเอื้อไม่ยอมพูดจุดประสงค์ของตัวเองออกมาเสียที เธอจึงถามย้ำอีกครั้ง
“ผมจะชวนคุณนับไปทานข้าวเย็นด้วยกันน่ะครับ”
“ในโอกาสอะไรคะ” คำถามที่ยิงกลับมาตรงๆ ทำเอาร่างสูงถึงกับสะอึก เขาไม่ได้เตรียมเหตุผลเอาไว้ อีกอย่างเวลาชวนสาวไปกินข้าวพวกหล่อนก็มักจะตอบรับเสมอ
นับดาวไม่เหมือนผู้หญิงคนไหนที่เขาเคยเจอ
“แสดงความยินดี ที่ได้ทำงานร่วมกันครับ”
“ขอบคุณนะคะ” ผุดยิ้มหวานจนปรากฏรอยบุ๋มที่ข้างแก้ม “แต่วันนี้ฉันมีนัดแล้วค่ะ ไว้เป็นโอกาสหน้านะคะคุณเอื้อ”
“อะ...อ่อ ยินดีครับ”
“งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ” นับดาวส่งยิ้มให้เอื้ออีกครั้งแล้วเดินออกมาจากห้องทำงาน
“ทำไมถึงได้สวยขนาดนี้นะ” เอื้อพูดพร้อมยืนลูบเบาๆ ที่อกข้างซ้ายราวกับต้องการปลอบใจหัวใจของตัวเองที่กำลังเต้นอย่างหนัก
“ดาดฟ้าเหรอ” ริมฝีปากอวบอิ่มพึมพำเบาๆ เมื่อได้รับข้อความจากโอบให้ไปเจอกันที่ดาดฟ้า
นับดาวแวะเข้าห้องน้ำเพื่อเช็คความเรียบร้อยของตัวเอง ก่อนจะหยิบลิปสติกสีแดงคู่ใจขึ้นทาบนปากอวบอิ่ม จัดทรงผมให้เข้าที่เข้าท่า
“ไปได้แล้วนับดาว” เธอพูดกับตัวเองในกระจกแล้วตัดสินใจเดินไปยังดาดฟ้า
“มาม่า” นับดาวอุทานพลางทำหน้าฉงน เขาชวนเธอขึ้นมากินมาม่าด้วยกันที่ดาดฟ้าบริษัทเนี้ยนะ
“ครับ ผมไม่ค่อยมีโอกาสได้กินอะไรแบบนี้หรอกครับ แม่ของผมท่านจะบอกว่ามันไม่มีประโยชน์” โอบพูดพลางยื่นถ้วยมาม่าคัพที่ใส่น้ำร้อนเอาไว้เรียบร้อยแล้วให้นับดาว
คนทำหน้าสงสัยยอมยื่นมือไปรับก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ข้างๆ เขา ช่วงเวลาหกโมงพระอาทิตย์กำลังจะตก ทำให้อากาศด้านบนไม่ร้อนอย่างที่เธอคิดไว้ ถือว่าบรรยากาศตอนนี้กำลังดีเลยล่ะ
“อย่างคุณโอบ อาหารแต่ละมื้อบนโต๊ะคงจะมีแต่ของเลิศรส จานกับข้าววางเรียงรายสักห้าหกอย่าง จะกินไม่หมดก็ไม่เป็นไรใช่มั้ยคะ” นับดาวยิ้มขัน อาหารแต่ละมื้อของคนรวยแบบเขาไม่น่าจะทำให้ต้องโหยหาการกินมาม่าคัพจนต้องแอบขึ้นมาที่ดาดฟ้า
“ก็ถูกครับ แต่บางทีชีวิตเราก็อาจจะแค่ต้องการอะไรที่เรียบง่าย” เขาตอบพลางส่งยิ้มให้เธอ
“คุณนับเป็นคนไทย แต่ไปเรียนที่เบคาเทียเหรอครับ” คำถามง่ายๆ แต่กลับทำให้คนที่ถูกถามชะงักเล็กน้อย
“ฉันเป็นลูกครึ่งไทยเบคาเทียค่ะ”
“คุณนับพูดไทยชัดมากเลยนะครับ อยู่ที่นู้นก็ต้องพูดภาษาไทยด้วยเหรอครับ”
“ค่ะ พ่ออยากให้ฉันพูดภาษาไทยเพราะท่านคิดถึงแม่น่ะคะ” นับดาวพูดพลางคิดถึงผู้เป็นพ่อ เหตุผลที่ท่านอยากให้เธอพูดภาษาไทยได้เพราะคิดถึงสำเนียงภาษาไทยของแม่
“เราคุยเรื่องอื่นกันดีกว่าค่ะ” ร่างบางพูดพลางก้มลงตักเส้นมาม่าเข้าปาก ท่าทางการกินของเธอทำให้โอบอดคิดถึงน้องสาวที่น่ารักของเขาไม่ได้ เราเคยแอบขึ้นมากินมาม่าด้วยกันที่นี่
“ฉันเลยไม่ได้เลี้ยงขอบคุณคุณโอบเลยนะคะ” หญิงสาวพูดขึ้นในขณะที่โอบกำลังเดินลงมาส่งเธอที่รถ
“เท่าที่คุณให้ผมก็มากเกินพอแล้วครับ”
“ฉันให้เหรอคะ” นับดาวหันกลับไปถามเพื่อความแน่ใจ เธอแค่มาแอบกินมาม่าเองนะ
“ก็...ช่วงเวลาดีๆ ไงครับ” โอบมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยแววตาสื่อความหมาย “ภาพลักษณ์ของผมจะไปกินมาม่าให้พนักงานคนอื่นเห็นก็คงจะไม่ได้ ผมไม่มีเพื่อนขึ้นมาแอบกินมาม่าด้วยกันนานแล้ว ขอบคุณมากนะครับ”
“เช่นกันค่ะ” ดวงตาคู่สวยมองไปยังนัยน์ตาสุขุมอย่างต้องการค้นหาบางอย่าง เธอไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร เวลาที่อยู่ใกล้เขาเธอกลับรู้สึกถึงความสบายใจ
“คุณนับครับ เอ่อ...ผมหวังว่าเราสองคนจะมีช่วงเวลาดีๆ ด้วยกันแบบนี้อีก”
“ฉันก็หวังแบบนั้นค่ะ”
“ขับรถกลับดีๆ นะครับ”
ทั้งคู่เดินมาจนถึงรถของนับดาวที่จอดอยู่คันเดียว ร่างบางส่งยิ้มให้อีกฝ่ายก่อนจะเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถของตัวเอง
“ช่วงเวลาดีๆ” เธอส่ายหัวเพื่อไล่ความคิดแปลกๆ ในสมองก่อนจะขับรถกลับบ้านของตัวเอง
----------------------
ยอมในความฉลาดและใจเย็นของคุณโอบ
แล้วดูเขาพาสาวมาเดตครั้งแรกด้วยการแอบมานั่งกินมาม่าที่ดาดฟ้า เอ็นดู
