02 | ยินดีที่ได้รู้จัก
นับดาวเดินทางเข้าไปที่สำนักงานใหญ่ของธนาคารกิจธาดาพร้อมกับกวิน วันนี้เขาแค่เข้ามาแนะนำนับดาวให้กับกรรมการบริหารของที่นี่ หลังจากนี้นับดาวจะเข้ามาคุยงานเองทั้งหมด
“ตื่นเต้นมั้ย” กวินหันมาถามหลานสาวเมื่อเห็นว่าเธอเงียบตั้งแต่เดินเข้ามาในบริษัท
“นิดหน่อยค่ะ” รอยยิ้มบางๆ ปรากฎขึ้นบนดวงหน้าหวาน
“สวัสดีครับคุณกวิน”
“อ้าว สวัสดีครับคุณเอื้อ ผมกำลังจะเข้าไปหาพอดีเลย”
เอื้อ กิจธาดาวงศ์ หลานชายของภวัต ที่มีความสามารถเข้าตาจึงได้มาทำงานในบริษัทในเครือกิจธาดาวงศ์ด้วยอายุยี่สิบหกปี นับดาวทวนข้อมูลตามเอกสารที่เธอได้มาเมื่อวาน
“นี่นับดาวครับ ลูกสาวคนเล็กของผม” กวินไม่ได้แนะนำว่าเธอเป็นบุตรบุญธรรม ที่ผ่านมาเขาจะแนะนำว่าเธอเป็นบุตรสาวคนเล็กเสมอเพราะเขารักเธอเหมือนลูกสาวคนหนึ่งจริงๆ
“ส่วนนี่คุณเอื้อ เป็นคนดูแลความเรียบร้อยของโครงการที่เราจะรีโนเวททั้งหมด”
“สวัสดีครับคุณนับดาว” สวย สวยมาก สวยเหมือนนางฟ้าเลย เอื้อแทบจะอยากยกมือขยี้ตาตัวเองอีกครั้งว่าผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคือมนุษย์จริงๆ ไม่ใช่นางฟ้าที่ตกลงมาจากสวรรค์
“สวัสดีค่ะคุณเอื้อ” ส่งรอยยิ้มละมุนไปเพื่อทักทายคนตรงหน้า เธอยกมือไหว้อย่างเก้ๆ กังๆ ถึงจะไม่ถนัดแต่ก็พอจะรู้มารยาทของประเทศไทยบ้าง
ดวงตาคมจ้องมองนับดาวไม่วางตาจนผู้เป็นอาต้องประแอมไอเพื่อเรียกสติชายหนุ่มตรงหน้า
“อะ...อ่อ อีกสิบห้านาทีจะเริ่มประชุมกับกรรมการบริหารทั้งหมดครับ งั้นผมเชิญไปรอที่ห้องรับรองดีกว่าครับ”
ร่างสูงโปร่งเดินนำทางไปยังห้องรับรอง กวินหันมองหน้านับดาวด้วยสายตาล้อเลียน แต่เธอก็เลือกทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“เชิญครับ” เอื้อเปิดประตูเชิญกวินและนับดาวเข้าไปในห้องประชุมเมื่อถึงเวลา นับดาวชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาที่เธอเพิ่งช่วยเขาจากการโดนยิงไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ตอนนี้กลับมานั่งอยู่ในตำแหน่งขวามือของภวัต
‘คุณโอบ! ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่’
โอบหันหน้ามามองแขกที่เข้ามาใหม่ก็ชะงักไปเล็กน้อยเช่นกัน ก่อนใบหน้าหล่อเหลาจะอมยิ้มบางๆ ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยเชื่อเรื่องของพรหมลิขิต จะปักใจเชื่อก็คราวนี้แหละ นี่กามเทพส่งตรงมาจากเบคาเทียเลยหรือนี้
“งั้นเราเริ่มการประชุมได้เลย” ภวัตเอ่ยหลังจากเห็นสมาชิกในห้องประชุมอยู่กันพร้อมหน้าแล้ว
การประชุมครั้งนี้เป็นการอธิบายสโคปงานที่ทางธนาคารอยากจะได้ สีประจำของธนาคารข้อจำกัดแต่ๆ ที่ไม่อยากให้พลาด
นับดาวจดรายละเอียดของการทำงานทั้งหมด ถึงเธอจะมาที่นี่เพื่อจุดประสงค์อื่นแต่สำหรับงานนี้ เธอก็ไม่อยากทำให้บริษัทของกวินต้องได้รับความเสียหายเหมือนกัน
“วันนี้ขอบคุณทุกคนมากครับ” สมาชิกในห้องประชุมทยอยเดินออกไป เหลือก็เพียงตัวแทนจากบริษัทตกแต่งภายในที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม
“คุณลุงครับ นี่คุณกวินเจ้าของบริษัทกวินดีไซน์ครับ” เอื้อรับหน้าที่ในการแนะนำทั้งสองฝ่ายให้รู้จักกัน
“สวัสดีครับ เป็นเกียรติมากเลยนะครับที่วันนี้คุณกวินเข้ามาประชุมงานเอง” มือหนาที่มีริ้วรอยยื่นไปข้างหน้าเพื่อแสดงความยินดีที่ได้รู้จัก
“ผมไม่อยากปล่อยให้ลูกสาวคนเล็กต้องมาทำงานคนเดียวในวันแรกน่ะครับ” กวินโอบไหล่นับดาวเบาๆ พลางกล่าวแนะนำเธอ “นับดาว ลูกสาวคนเล็กของผมครับ เรียนจบอินทีเรีย ดีไซน์จากเบคาเทียครับ”
ภวัตยืนนิ่งไปทันทีเมื่อเห็นหน้าของหญิงสาวชัดๆ ตอนประชุมเขาไม่ทันได้สังเกตุเพราะกำลังจดจ่อกับการทำงาน
“อิงฟ้า” เสียงทุ่มพึมพำ นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มฉายแววความโศกเศร้าขึ้นมาอย่างชัดเจน
‘อิงฟ้าเหรอ ใครกัน’
“สวัสดีค่ะ คุณภวัต” นับดาวเอ่ยทักทายศัตรูของผู้เป็นพ่อด้วยแววตาแข็งกร้าว จนทำให้คนที่ยืนอึ้งอยู่ได้สติ
“สวัสดี ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณนับดาว” เขารู้สึกถูกชะตากับเด็กผู้หญิงคนนี้เหลือเกิน อาจจะเป็นเพราะเธอหน้าเหมือนกับลูกสาวของเขา
“สบายดีนะคะคุณโอบ” เมื่อเสียงหวานเอ่ยทักทายอย่างคนที่เคยรู้จัก ส่งผลให้ริมฝีปากอิ่มน้ำยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
“สบายดีครับ คุณนับดาวสบายดีนะครับ”
“สบายดีค่ะ”
เอื้อยืนมองการทักทายของทั้งสองคนอยู่เงียบๆ เขาไม่เคยเห็นลูกพี่ลูกน้องของเขามองผู้หญิงคนไหนด้วยสายตาแบบนี้มาก่อนหรือจะมีอะไรพิเศษนะ
“งั้นวันนี้ผมคงต้องขอตัวก่อนนะครับ” กวินเบนหน้าหานับดาวที่ยังยืนมองโอบอย่างไม่วางตา พลางเอ่ยเรียกอีกครั้ง “นับ”
“คะ...อ่อ สวัสดีค่ะ”
‘นี่ฉันเผลอมองหน้าเขานานขนาดนี้เลยเหรอเนี้ย’
กล่าวลากันอีกสองสามประโยคกวินก็พานับดาวออกไปจากบริษัท
“คุณชาญ...” โอบหันไปมองหน้าเลขาคนสนิท แต่ยังไม่ทันออกคำสั่งเลขาของเขาก็ตอบรับกลับมาก่อน ช่างเป็นเลขาที่รู้ใจเขาไปเสียทุกเรื่องจริงๆ
“ผมสืบให้ครับ”
ลูกสาวคนเล็กเหรอ นักธุรกิจชาวไทยอย่างเขาทำไมถึงไปรับอุปการะบุตรบุญธรรมไกลถึงประเทศเบคาเทียนะ
@คฤหาส์กิจธาดาวงศ์
“วันนี้มีอะไรดีๆ เหรอคะ คุณถึงได้ดูอารมณ์ดีจัง” คุณหญิงมนทิราเอ่ยถามผู้เป็นสามี ที่กำลังนั่งยกยิ้มอยู่ในตำแหน่งประธานของโต๊ะอาหารมื้อเย็นวันนี้
ภวัตหันไปมองหน้าภรรยา ระบายยิ้มออกมาอีกครั้ง ดวงตาสีน้ำตาลอมเทาของสาวน้อยคนนั้นช่างเหมือนกับภรรยาของเขาเสียเหลือเกิน
"ผมเจอผู้หญิงคนนึง เธอหน้าเหมือนอิงฟ้ามากๆ”
“จริงเหรอคะ” น้ำเสียงระคนความตกใจ ดวงตากลมเบิกกว้าง
ถึงแม้จะอายุอานามห้าสิบปีแล้ว แต่คุณหญิงมนทิราก็ยังดูแลตัวเองได้ดี ท่าทางตื่นเต้นราวกับสาววัยรุ่นทำให้ผู้เป็นสามีรู้สึกเอ็นดูไม่น้อย
“จริงครับแม่ ตอนผมเจอเธอครั้งแรกก็อึ้งอยู่นาน” โอบเสริมขึ้น เขานึกถึงเหตุการณ์ที่เจอเธอครั้งแรก พลางระบายยิ้มออกมา
“นั่นสิ พ่อเห็นเธอทักทายโอบ เคยรู้จักกันมาก่อนเหรอลูก”
“ผมเจอเธอตอนที่ไปธุระเรื่องโครงการใหม่กับบรู๊กครับ”
“ที่เบคาเทียเหรอลูก” ผู้เป็นแม่เอ่ยถามขึ้นบ้าง
“ใช่ครับ”
“แล้วเธอมาทำอะไรที่บริษัทเราคะ ฉันอยากเจอเธอจังเลยค่ะ” โอบมองอาการตื่นเต้น ดีใจของผู้เป็นแม่อยู่เงียบๆ
กว่าแม่ของเขาจะผ่านช่วงเวลาเลวร้ายนั่นมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย คงจะคิดถึงน้องสาวของเขาอยู่ไม่น้อย
“เธอเป็นมัณฑนากร ออกแบบภายในของสาขาทั้งหมดให้เราน่ะ” ภวัตตอบพลางตักอาหารใส่จานของภรรยา
มนทิรายกยิ้มให้ผู้เป็นสามีก่อนจะตักอาหารใส่จานของเขาอย่างเอาอกเอาใจบ้าง
โอบมองภาพตรงหน้าพลางระบายยิ้ม ความสุขของเขาคือการได้เห็นครอบครัวมีความสุข เขาจะไม่ยอมให้ใครหรืออะไรมีทำลายความสุขของครอบครัวเขาได้เด็ดขาด
“นับเข้าไปทำงานในบริษัทแล้วนะคะพ่อ” เมื่อกลับถึงบ้านหญิงสาวรีบกดโทรศัพท์รายงานผู้เป็นพ่อทันที
“นับต้องระวังตัวด้วยนะลูก ไอ้ภวัตมันเลวมาก” เสียงอาฆาตแค้นดังมาจากปลายสาย เธอรู้ว่ามันเป็นประโยคของความห่วงใย ถึงจะต้องส่งเธอมาอยู่ที่ประเทศไทยแต่พ่อก็คงเป็นห่วงเธอไม่น้อย
“พ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ นับจะทำให้พวกมันไม่มีความสุขยิ่งกว่าที่มันเคยทำไว้กับเรา”
“เก่งมากนับ พ่อจะรอดูความย่อยยับของพวกมัน” คำชมที่นานๆ จะหลุดออกมาจากปากผู้เป็นพ่อทำให้นับดาวระบายยิ้มบางๆ นี่คงจะเป็นสิ่งเดียวที่เธอจะสามารถตอบแทนพ่อได้
“คุณพ่อทานข้าว ทานยาหรือยังคะ”
“เรียบร้อยแล้ว”
“นับขอคุยกับป้าฮันน่าหน่อยนะคะ”
“ได้สิ”
ดร.โจนส์ยื่นโทรศัพท์มือถือให้กับพยาบาลพิเศษ ส่วนตัวเขาก็นั่งมองท้องฟ้าพลางเหยียดยิ้มด้วยความสะใจ อีกไม่นานความแค้นทั้งหมดของเขาจะได้เวลาเอาคืนแล้ว
นับดาวเวียนไปจอดรถที่ลานจอดรถข้างหลังอาคาร วันนี้เธอสวมชุดเดรสสีน้ำเงินขับให้ผิวขาวนวลตายิ่งเด่นขึ้น ระหว่างทางเดินเข้าอาคารพนักงานต่างหันมองเธอด้วยความสนใจ
‘ใครอะแก พนักงานใหม่เหรอ’
‘เมื่อวานเห็นเดินอยู่กับคุณเอื้อนะ’
‘หัวหน้าแผนกไหนหรือเปล่า’
หญิงสาวไม่ได้สนใจเสียงเจื้อยแจ้วที่ดังตามมา แต่กับหยุดชะงักเพราะเหตุการณ์ตรงหน้า
“ช่วยพี่อีกสักครั้งเถอะนะภวัต” ผู้ชายคนหนึ่งดูจากรูปร่างหน้าตาแล้วน่าจะอายุอานามเกือบหกสิบปี กำลังคุกเข่าขอร้องภวัต
นับดาวเดินไปแอบข้างเสาเพื่อลอบมองสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้มาคุกเข่าร้องห่มร้องไห้อยู่แบบนี้นะ
“ผมช่วยพี่มาเยอะแล้ว ถ้าพี่บริหารต่อไม่ได้ผมจะส่งลูกชายไปช่วย” ภวัตยืนล้วงกระเป๋ากางเกง เบนหน้าหันไปทางอื่น
“ไม่! บริษัทนี้พี่เป็นคนสร้างมาเองกับมือ พี่ไม่ยอมให้ใครเข้าไปบริหารงานแทนทั้งนั้น” ผู้ชายคนนั้นปล่อยแขนทั้งสองข้างออกจากขาของภวัต พลางทิ้งตัวนั่งลงร้องไห้
“ถ้าพี่ไม่รับข้อเสนอของผม ผมก็ช่วยพี่ไม่ได้จริงๆ” ภวัตเลือกที่จะหันหลังให้กับคนที่ร้องไห้ฟูมฟายอยู่ตรงหน้า
รุ่นพี่ของเขาคนนี้ทำธุรกิจเกี่ยวกับการการท่องเที่ยว มากู้หนี้ยืมสินที่ธนาคารของเขาหลายต่อหลายครั้ง แต่ทุกครั้งเงินที่กู้ไปก็เสียเปล่าเพราะรุ่นพี่คนนี้ติดการพนัน ไม่ได้นำเงินเข้าไปพัฒนาบริษัทอย่างที่เคยพูดเอาไว้
“พี่ลองทบทวนข้อเสนอของผมดีๆ ผมมีธุระ ขอตัวก่อน”
“ภวัต! ฮึก ภวัตตต!”
ภวัตหันหลังเดินออกไป ทิ้งให้อีกฝ่ายนั่งคุกเข่าฟูมฟายอยู่อย่างคนเสียสติ
นับดาวเดินออกมาจากเสา จ้องมองไปยังแผ่นหลังของประธานกรรมการบริหารธนาคารกิจธาดาอย่างโกรธแค้น เขานี่มันใจดำอำมหิตอย่างที่พ่อของเธอบอกไว้จริงๆ
“ภวัตต!” เบนหน้ากลับมามองผู้ชายคนนั้นด้วยความสงสารจับใจ มือทั้งสองข้างกำแน่นจนเผลอจิกเล็บเข้ากับเนื้อของตัวเองอย่างลืมตัว
“คุณนับดาวสวัสดีครับ” เอื้อเอ่ยทักมัณฑนากรสาวเมื่อเธอเดินเข้ามาภายในบริษัท
“สวัสดีค่ะคุณเอื้อ” นับดาวระบายยิ้มหวานให้คนตรงหน้า คงได้เวลาเริ่มแผนการทำลายของครอบครัวของพวกมันสักที คุณเอื้อคนนี้ดูแล้วน่าจะเป็นแหล่งข้อมูลชั้นเยี่ยมของเธอ
“อะ...เอ่อ กาแฟครับ” จู่ๆ หน้าของเขาก็รู้สึกเห่อร้อนขึ้นมา เพียงแค่มองรอยยิ้มของนางฟ้าตรงหน้า แกจะมาอ่อนหัดแบบนี้ไม่ได้นะไอ้เอื้อ!
“ขอบคุณค่ะ” นับดาวยอมรับน้ำใจของเขา
เอื้อเดินนำหญิงสาวไปที่ห้องทำงาน จริงๆ เธอสามารถทำงานที่ไหนก็ได้ แต่เพราะจุดประสงค์ของการมาที่นี่คือการแก้แค้น เธอจึงขอเข้ามาทำงานในบริษัทของเขา เพื่อให้เธอเดินเข้าออกที่นี่ได้โดยไม่มีใครสงสัย
-----------------------
เอ๊ะ? เรื่องมันเป็นยังไงกันนะ
