01 | ความสุขของพ่อ
“อาหารเช้ามาแล้วค่ะ” นับดาวเดินถือโจ๊กออกมาที่ระเบียงหน้าบ้าน ผู้เป็นพ่อกำลังนั่งเหม่อลอยมองออกไปที่ท้องฟ้าอย่างไร้จุดหมาย
“ทานหน่อยนะคะ จะได้มีแรง” เจ้าของใบหน้าหวานยังคงพยายามคะยั้นคะยอผู้เป็นพ่อ
“มีแรง เพื่ออยู่ดูความสำเร็จของพวกมันสินะ” ดร.โจน์ถอนหายใจ ก้มหน้าลงมองถ้วยโจ๊กที่ลูกสาวเพิ่งทำเสร็จใหม่ๆ “พ่อไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกแล้ว”
“พ่อคะ” นับดาวยื่นมือไปกำมือเหี่ยวย่นของคนตรงหน้าอย่างต้องการให้กำลังใจ ตอนนี้ถ้ามีอะไรที่ทำให้พ่อของเธอมีชีวิตอยู่ต่อไป เธอก็พร้อมจะทำ
“มันเกิดอะไรขึ้น พ่อบอกนับได้มั้ย”
“นับจะช่วยพ่อใช่มั้ยลูก”
“ถ้ามีเรื่องอะไรที่นับจะช่วยพ่อได้ นับยินดีทำทุกอย่างค่ะ”
ชีวิตของเธอมีแค่พ่อคนเดียวเท่านั้น ตั้งแต่เกิดมาพ่อพยายามดิ้นรนทำทุกอย่างเพื่อให้เธอได้เรียนหนังสือ ส่วนแม่ของเธอเสียไปตั้งแต่เธอเพิ่งลืมตาดูโลกได้แค่สามวัน
“ไอ้ภวัต! ไอ้เดนนรกนั่น มันโกงที่ดินของพวกเราไป พ่อหลงชื่อกลลวงของมันยอมเอาโฉนดที่ดินและทรัพย์สินทั้งหมดไปลงหุ้นกับมัน” ประโยคเจือกระแสความแค้นและความเจ็บปวด
“เพราะพ่อเห็นว่ามันเป็นธนาคารใหญ่ในประเทศไทย ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายมันจะใช้เล่ห์เหลี่ยมโกงทุกอย่างของเราไป จนพ่อต้องล้มละลาย แม่ของลูกก็ตรอมใจตาย”
นับดาวนิ่งอึ้งไปกับประโยคบอกเล่าของพ่อ ที่ผ่านมาเธอรู้ว่าครอบครัวลำบากมากจนลูกพี่ลูกน้องของพ่อรับเธอเป็นบุตรบุญธรรมและส่งเสียเธอจนเรียนจบ ไม่คิดเลยว่าต้นเหตุจะมาจากเรื่องนี้
“ถ้านายภวัตนั้นเขาโกงที่ดินของเราไป เราพอจะมีอะไรที่เป็นหลักฐานเพื่อไปฟ้องศาลมั้ยคะ”
‘มันต้องมีสักทางสิที่ฉันจะช่วยพ่อได้’
“ไม่มี พ่อมันโง่เองถึงได้เชื่อคำพูดของมันทุกอย่าง”
“แล้วมูลค่าของที่ดินล่ะคะ ราคาเท่าไหร่” ในเมื่อไม่มีหลักฐานอะไรเลย เธอจะซื้อที่ดินผืนนั้นคืนมาให้พ่อของเธอเอง!
“คุณนับจะซื้อที่ดินนั้นคืนให้คุณโจนส์เหรอคะ” พยาบาลพิเศษที่เพิ่งจัดของเสร็จ เดินถือถาดยาเข้ามานั่งลงตรงข้ามนับดาว
“ถ้าเราไม่มีหลักฐานอะไรไปเอาผิดเค้าเลย นับก็อยากจะซื้อที่ดินคืนให้พ่อค่ะ” หญิงสาวตอบไปตามตรง
ความอ่อนโยนของหญิงสาวตรงหน้าทำให้หัวใจของฮันน่าอ่อนยวบ เพราะเธอเป็นเด็กที่น่ารักและกตัญญูรู้คุณ จนฮันน่าอดสงสารกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของหญิงสาวไม่ได้
“สองร้อยล้าน”
“คะ?”
นับดาวหันขวับไปมองหน้าผู้เป็นพ่อด้วยความตกตะลึง มูลค่าตั้งสองร้อยล้าน เธอจะไปหาเงินมาจากไหนกันนะ
“ฮึก พ่อขอโทษนะลูก อึก! ขอโทษที่พ่อมันโง่เอง”
“แต่นับจะทำเพื่อพ่อค่ะ นับเชื่อว่าคนทำดีต้องได้ดี คนทำชั่วมันต้องได้รับผลกรรม”
@สนามบิน ประเทศไทย
ร่างเพียวระหงสวยสง่าเดินเข้ามาภายในสนามบินด้วยความมั่นใจ ผมสีดำขลับถูกมัดรวบเป็นทรงหางม้าแกว่งไกวยามเธอออกแรงเดิน ริมฝีปากอวบอิ่มถูกทาด้วยลิปสติกสีแดงออปติมิสช่วยชูความเซ็กซี่ของดวงหน้าหวานได้เป็นอย่างดี
เมื่อตกลงจะแก้แค้นแทนพ่อ เธอจึงต้องเก็บกระเป๋าเดินทางมายังประเทศไทยทันทีที่เอกสารเรียบร้อย
“คุณนับดาวครับ” ชายร่างหนาสวมชุดสูทสีดำสองคนเดินเข้ามาหาเธอ น่าจะเป็นคนของคุณอาหรือพ่อบุญธรรมส่งมารับเธอนั่นเอง
“คุณกวินให้ผมนำกุญแจรถและซองเอกสารมาให้ครับ”
“ขอบคุณค่ะ” มือเรียวยื่นออกไปรับซองเอกสารและกุญแจรถจากชายตรงหน้า
คนของคุณอาเดินนำทางมาถึงรถบีเอ็มดับเบิ้ลยู แซตโฟร์ สีขาว เขาช่วยยกกระเป๋าเดินทางของเธอใส่ท้ายรถแล้วโค้งคำนับก่อนจะเดินออกไป
“สู้สินับ!” นับดาวให้กำลังใจตัวเองก่อนจะเดินเข้าไปนั่งในตำแหน่งคนขับ แล้วเปิดดูซองเอกสาร
เอกสารข้างในเป็นบัตรประชาชน พาสปอร์ตและเอกสารสำคัญต่างๆ ที่โดนเปลี่ยนชื่อเป็น นับดาว ธนจิรกานต์ นามสกุลของคุณอาที่เธอจะต้องใช้หลังจากนี้
ถัดมาเป็นเอกสารชนะการประมูลงานรีโนเวทสาขาทั้งหมดของธนาคารกิจธาดา คุณอากวินเป็นเจ้าของบริษัทรับออกแบบและตกแต่งภายใน
‘นับจะต้องไปทำงานออกแบบภายในให้กับธนาคารกิจธาดา’
ประโยคของพ่อลอยเข้ามาให้หัว เธอเรียนจบทางด้านนี้โดยตรง ตอนแรกก็ไม่เข้าใจว่าเธอจะเข้าไปเป็นมัณฑนากรให้กับธนาคารกิจธาดาได้อย่างไร แต่ตอนนี้เธอเข้าใจแล้วทุกอย่างถูกเตรียมการมาอย่างดี
“นายภวัต กิจธาดาวงศ์” ริมฝีปากอวบอิ่มอ่านชื่อของคนที่อยู่ในเอกสาร ผู้ชายคนนี้สินะ คนที่ทำร้ายครอบครัวของเธอได้อย่างเลือดเย็น
@ธนาคารกิจธาดา สำนักงานใหญ่
รถเมอร์เซเดส เบนซ์ สีดำถูกขับเข้ามาด้วยความเร็ว เจ้าของรถเปิดประตูลงมาพร้อมกับติดกระดุมชุดสูทสีกรมท่า
เดินเข้ามาภายในบริษัทมีพนักงานยืนรออยู่ทั้งสองข้างทางเพื่อทำความเคารพรองประธานกรรมการบริหารของธนาคารกิจธาดา
“ข้อมูลบัญชีย้อนหลังหนึ่งปีที่คุณโอบต้องการครับ”
ชาญวิทย์ เลขาคนสนิทที่ยืนรออยู่หางแถวรีบเข้าไปรายงานเจ้านายทันทีที่เขาเดินมาถึง
“ได้ข้อมูลมายังไง”
“เงียบที่สุดครับ คุณอนันต์ไม่มีทางทราบ แต่คุณท่าน...”
“ไม่มีข้อมูลไหนในบริษัทที่คุณพ่อไม่รู้ แล้วตอนนี้มันอยู่ไหน” ความไม่พอใจเจืออยู่ในน้ำเสียง เขาไม่ชอบให้ใครมาทำอะไรที่มันสกปรกในที่ของเขา
“ยังอยู่ที่ห้องทำงานของตัวเองครับ” เลขาวัยสี่สิบปีรีบรายงานกลับไป
“ไปห้องทำงานผมก่อน”
โอบก้าวเท้าฉับๆ ไม่เหลียวมองใคร นำเลขาคนสนิทไปที่ห้องทำงาน วันนี้เขามีเรื่องที่ต้องสะสางเยอะแยะไปหมด
เขาเข้ามาทำงานที่นี่ตั้งแต่เรียนจบ ไต่ระดับขึ้นมาเรื่อยๆ จากตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป ถึงจะเป็นลูกชายของคุณภวัตแต่ก็ต้องทำงานพิสูจน์ตัวเองไม่ได้มีอภิสิทธิ์เหนือไปกว่าคนอื่นๆ
จนเมื่อปีที่แล้วพ่อยกตำแหน่งรองประธานกรรมการบริหารให้กับเขา ชายหนุ่มจึงขึ้นเป็นผู้บริหารธนาคารใหญ่ระดับประเทศด้วยอายุสามสิบสี่ปี
“คุณอนันต์!”
ทันทีที่เปิดประตูเข้าไป เขาเจอกับอนันต์หัวหน้าแผนกบัญชีภายในที่กำลังนั่งยองอยู่ตรงหน้าตู้เซฟหลังโต๊ะทำงานของเขา
“เฮือก!”
อนันต์ถึงกับหงายหลังล้มลงกับพื้น คาดไม่ถึงว่าเจ้าของห้องมาเข้ามาเร็วขนาดนี้
“การ์ด!” ขาดคำของชาญวิทย์ การ์ดสองคนรีบวิ่งเข้าไปในห้องเพื่อล๊อกตัวของหัวหน้าแผนกบัญชีภายในเอาไว้
โอบยืนกำหมัดแน่น คดีช่อโกงบริษัทยังไม่เคลียร์นี่ยังกล้าเข้ามาขโมยเอกสารถึงในห้องทำงานของเขาเลยเหรอ
“ใครส่งแกมา” ผู้บริหารหนุ่มพูดพลางเดินเข้าไปหาผู้ร้ายที่โดนการ์ดกดไหล่ทั้งสองข้างให้นั่งลงคุกเข่าต่อหน้าเขา
“มะ...ไม่มี!”
จะไม่มีได้ยังไง ถึงขั้นเข้ามาขโมยเอกสารลับในตู้เซฟของเขา มันต้องทำงานเป็นกระบวนการแน่ ไม่งั้นจะรู้ได้ยังไงว่าตู้เซฟของเขาใส่เอกสารอะไรอยู่
“อย่าให้ผมต้องพูดซ้ำ คุณอนันต์” เสียงทุ่มกดต่ำ สร้างความกดดันให้คนตรงหน้าไม่น้อย
“ผม ก็บอกว่าทำคนเดียวไงวะ!”
ผั๊วะ!
รองเท้าหนังมันวาวถูกยกขึ้นฟาดปากคนตรงหน้าอย่างแรง จนอีกฝ่ายกระเด็นล้มลง
คนโมโหกระตุกยิ้มมุมปาก หยิบผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋าเสื้อสูท นั่งยองลงตรงหน้าอนันต์ที่กำลังมองมาทางเข้าด้วยแววตาปรากฎความอ้อนวอนร้องขอชีวิต
“ผมไม่ชอบทุกอย่างที่มันสกปรก” ขาดคำ ผ้าเช็ดหน้าในมือถูกเช็ดลงบนรองเท้าหนังที่เปื้อนเลือด ผู้บริหารหนุ่มลุกขึ้นยืนเต็มความสูงหนึ่งร้อยแปดสิบแปด เบนสายตาไปมองเลขาคนสนิท
“เอาตัวออกไป” การ์ดพยักหน้ารับคำสั่งของชาญวิทย์ คนที่ถูกหิ้วปีกทั้งสองข้างร้องโวยวาย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้น
“วันนี้คุณโอบมีประชุมกับทีมผู้บริหารเรื่องขยายสาขาใหม่นะครับ” เลขาคนสนิทแจ้งตารางงานในวันนี้ หลังจากเหตุการณ์สงบลง
“อืม” เขาตอบกลับโดยที่สายตายังคงจดจ่ออยู่กับแฟ้มเอกสารตรงหน้า “แล้วเรื่องรีโนเวทสาขาล่ะ”
“พรุ่งนี้บริษัทที่ประมูลงานผ่านจะเข้ามาร่วมการประชุมครับ”
“อืม”
“แล้วก็...เรื่องคุณนับดาว คนที่ช่วยคุณโอบไว้” ประโยคของชาญวิทย์ทำให้คนที่ก้มหน้าก้มตาเซ็นเอกสารอยู่ชะงัก ก่อนจะเงยหน้ามองอีกฝ่าย “ผมพยายามหาข้อมูลแล้วนะครับ ทราบเพียงแค่เธอเป็นเด็กกำพร้าที่ได้รับการอุปการะโดยนักธุรกิจในไทยครับ”
ในไทยเหรอ? ทั้งที่เธอเรียนจบที่ประเทศเบคาเทียเลยนะ แต่จะว่าไปชื่อจริงของเธอก็เหมือนกับคนไทยมากกว่าเบคาเทียเสียอีก
“ผมให้คุณสืบเรื่องนี้ด้วยเหรอ”
“เปล่าครับ” ผุดรอยยิ้มบางๆ พลางมองหน้าเจ้านายหนุ่ม “คือผมไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนที่ทำให้คุณโอบ...ยิ้มได้เมื่อพูดถึงน่ะครับ ผมก็เลยหาข้อมูลเผื่อไว้ เผื่อว่าคุณโอบต้องการข้อมูลของเธอครับ”
“หึๆ” เขาหัวเราะหึๆ จนไหล่เขย่าอยู่ครู่สั้นๆ “คุณนี่ละเอียดรอบคอบเสมอเลยนะ”
ชาญวิทย์ยิ้มพลางโค้งคำนับรับคำชมจากเจ้านาย
Rrrr Rrrr
สายเรียกเข้า ‘คุณอาวิน’
“สวัสดีค่ะคุณอา” เสียงหวานเอ่ยรับโทรศัพท์พลางทิ้งตัวลงนั่งที่โซฟาห้องนั่งเล่น
“ขอโทษนะที่อาไม่ได้ไปรับด้วยตัวเอง” ปลายสายรีบขอโทษด้วยความรู้สึกผิด วันนี้เขามีธุระต้องจัดการจนไม่ได้ไปรับหลานสาวที่ไม่ได้เจอกันมาเกือบสิบปี
กวิน ธนจิรกานต์ เป็นพี่น้องร่วมสาบานกับดร.โจนส์และเป็นคนที่ส่งเสียค่าเล่าเรียนทั้งหมดให้กับนับดาว
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณอาต้องไปธุระกับพี่ภานี่คะ”
ภริตา ธนจิรกานต์ ลูกสาวเพียงคนเดียวของกวิน เธอเป็นพี่สาวที่น่ารักและใจดีเสมอในสายตาของนับดาว
“แล้วบ้านเป็นยังไงบ้าง โอเคมั้ย”
“โอเคค่ะคุณอา ขอบคุณมากนะคะที่เป็นธุระจัดการทุกอย่างให้”
“ก็เราทำตามที่ตกลงกันไว้ไง นับเรียนจบด้านนี้เพื่อมาช่วยอา”
“แล้วเราจะเข้าไปทำงานกันวันไหนคะ”
เธอไม่รู้ว่ากวินรู้เรื่องจุดประสงค์ที่แท้จริงของการมาประเทศไทยมากน้อยแค่ไหน ไม่รู้ว่าพ่อเล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณอาฟังหรือเปล่า เธอจึงเลือกไม่พูดถึงครอบครัวกิจธาดาวงศ์
“พรุ่งนี้ เราจะต้องเข้าร่วมประชุมกับผู้บริหารทั้งหมดของที่นั่น”
วันพรุ่งนี้สินะ เธอไม่ได้วางแผนมาเลยว่าจะต้องเริ่มการแก้แค้นนี้ยังไง สิ่งเดียวที่รู้คือพวกมันจะต้องได้รับความเจ็บปวดเหมือนที่พ่อเธอได้รับมาตลอดยี่สิบกว่าปี
“งั้นอาไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของเราแล้ว พรุ่งนี้เจอกันที่บริษัทนะ”
“ขอบคุณค่ะคุณอา” นับดาวกดวางสายก่อนจะมองออกไปทางหน้าต่างห้องนอน
‘สิ่งเดียวที่จะช่วยพ่อได้ นับต้องทำให้พ่อมีความสุขในบั้นปลายชีวิตนะ’
‘ได้ค่ะ นับต้องทำไงพ่อถึงจะมีความสุขคะ’
‘ความย่อยยับของครอบครัวพวกมัน คือความสุขของพ่อ’
--------------------
ถึงจะเป็นนิยายดราม่าแต่ก็จะหาฉากกุ๊กกิ๊กมาให้กระชุ่มกระชวยหัวใจนะคะ
