บทที่ 7 ผนึกที่ถูกทำลาย
“นี่คือเอกสารทั้งหมดที่ท่านต้องจัดการขอรับ”
“...”
'เยอะไปหรือเปล่าวะ' เจ้าชายแห่งแดนมืดมองกองเอกสารตรงหน้าที่เด็กรับใช้ยกมาให้ก่อนที่เขาจะค้อมศีรษะแล้วเดินออกไปเงียบ ๆ ทิ้งให้เจ้าของห้องทำงานนั่งอึ้งไปหลายนาที
สามวันหลังจากกลับบ้าน เซเรียสก็เตรียมข้าวของเครื่องใช้บางส่วนที่จะนำไปใช้ในหอพักโรงเรียนซินเทลล่า อีกสองสัปดาห์ที่นั่นก็จะเปิดเทอม ระหว่างนี้เขาก็ทำหน้าที่ของเจ้าชายโดยการช่วยงานจ้าวปีศาจ งานที่ชายหนุ่มรับผิดชอบ ส่วนใหญ่เป็นงานของกองทัพ วันนี้มีรายงานจากทหารที่ประจำอยู่ในเมืองทางทิศตะวันตก ประเด็นคงไม่พ้นความวุ่นวายจากสัตว์อสูรที่มาระรานชาวเมือง
“ให้ตายสิ” คนพูดถอนหายใจพลางมองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งเห็นวิวทิวทัศน์ได้อย่างชัดเจน เนื่องจากห้องนี้อยู่ชั้นบนสุดของปราสาทกรมกลาโหม
เซเรียสหยิบรายงานฉบับหนึ่งขึ้นมาอ่าน ในนั้นเขียนถึงความวุ่นวายที่พวกสัตว์อสูรก่อขึ้น ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงไม่มีเหตุการณ์แบบนี้แต่เพราะเกิดเรื่องร้าย ๆ เมื่อนานมาแล้ว จึงส่งผลให้มีปัญหาตามมา และการที่สัตว์อสูรออกมาระรานชาวบ้านก็เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว
กึก กึก
อยู่ดี ๆ โต๊ะก็สั่นขึ้นมาเสียอย่างนั้น สังเกตได้จากน้ำชาในถ้วยกระเพื่อมก่อนที่แรงสั่นสะเทือนนั้นจะรุนแรงขึ้น เสียงกรีดร้องของผู้คนดังแว่วมาแต่ไกลทำให้เซเรียสตัดสินใจวิ่งออกไปที่ระเบียง ข้างล่างเต็มไปด้วยผู้คนมากมายที่วิ่งไปวิ่งมาเต็มไปหมด ร่างสูงตัดสินใจทิ้งตัวจากชั้นที่ยี่สิบห้าลงไปยังพื้นเบื้องล่าง วงเวทสีดำปรากฏใต้เท้าชะลอความเร็วในการตก ทันทีที่ปลายเท้าแตะพื้นหญ้า ขาสองข้างก็พาไปยังลานกว้างหน้าตัวปราสาททันที
ครืน...
เกิดเสียงฟ้าร้องดังก้องตามมาด้วยหมู่เมฆบนท้องฟ้าที่แปรปรวนราวกับจะเกิดพายุ คลื่นพลังสีแดงอ่อนถูกซัดมาจากที่ใดไม่ทราบแต่มันผ่านน่านฟ้าเหนือนครหลวงซัลลิแวนชนิดที่คนทั้งเมืองสามารถเห็นได้ชัดเจนไม่ว่าจะอยู่มุมไหนก็ตาม พลันแผ่นดินก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงทำให้ชาวแดนมืดที่กำลังวิ่งไปทั่วต้องล้มลงเพราะทรงตัวไม่ได้ เซเรียสนั่งชันเข่าลงกับพื้นทำให้ตัวเองไม่เซล้มเหมือนคนอื่น ๆ
'นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!' เจ้าชายแห่งแดนมืดสบถในใจพลางมองฝูงนกกาที่บินแตกฮือออกมาจากต้นไม้ใหญ่ ผ่านไปประมาณสองนาที ทุกอย่างจึงกลับมาสู่ความสงบ
“เจ้าชาย...”
“ส่งทหารออกไปดูความเรียบร้อยของประชาชนเดี๋ยวนี้!” ร่างสูงหันไปสั่งทหารที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ คนรับคำสั่งค้อมศีรษะแล้วรีบวิ่งออกไป เซเรียสเริ่มคาดเดาสถานการณ์ อยู่ ๆ ก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น ประชาชนคงแตกตื่นแน่ นึกแล้วก็จะไปที่กำแพงวังเพื่อดูว่าข้างนอกเป็นยังไงจนกระทั่งมีทหารจากหน่วยองครักษ์พิทักษ์จ้าวปีศาจสองนายเดินมา
“เจ้าชาย”
“มีอะไร”
“ท่านจ้าวมีคำสั่งเรียกท่านเข้าพบเป็นการด่วนที่คฤหาสน์ของอดีตราชินีขอรับ มีเรื่องด่วนจากท่านวานาเลีย ท่านจ้าวกับเจ้าชายจำเป็นต้องรับทราบ” หนึ่งในสองรายงานพลางค้อมศีรษะ คนฟังขมวดคิ้วสงสัย มันเกิดอะไรขึ้นอีก หรือจะเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อครู่นี้
“เข้าใจแล้ว ข้าจะรีบไป”
“ขอรับ”
“ท่านพ่อ!”
เสียงของลูกชายดังแว่วมาแต่ไกลทำให้ร่างสูงที่เพิ่งออกจากท้องพระโรงหันไปมองทันที เซเรียสวิ่งมาก่อนจะหยุดกะทันหันทำให้เขาสไลด์มาหยุดอยู่ตรงหน้าจ้าวปีศาจ ผู้มาใหม่มีอาการหอบเล็กน้อยก่อนที่เขาจะยืดตัวขึ้นแล้วเปิดประเด็นการสนทนา
“ทหารองครักษ์บอกว่าท่านเรียกข้า”
“เกี่ยวกับแผ่นดินไหวเมื่อครู่น่ะ ที่สำคัญย่าเจ้าส่งข้อความมา นางอยากให้เราไปพบ” วาเรียสหมายถึงอดีตราชินีแห่งแดนมืดซึ่งเป็นย่าแท้ ๆ ของเซเรียส ทางด้านคนวิ่งมาก็ขมวดคิ้วก่อนจะถามกลับ
“ท่านย่ามีเรื่องสำคัญจะบอกพวกเราเหรอครับ”
“ไม่รู้สิ ไปถึงก็คงรู้เอง” กล่าวจบก็หันไปออกคำสั่งกับสี่องครักษ์ เรื่องดินแดนนั้นเรื่องใหญ่แต่เรื่องของใครบางก็สำคัญสำหรับเขาเช่นกัน “กลับไปบอกพวกคุณหญิงให้มาอยู่กับเซซาเนีย เสร็จแล้วก็กลับมาคุมสถานการณ์ อย่าให้ประชาชนแตกตื่นเด็ดขาด”
“ขอรับ” สี่องครักษ์ค้อมศีรษะจากนั้นก็รีบแยกย้ายกันกลับคฤหาสน์เพื่อไปบอกให้ภรรยาตัวเองมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้าหญิงแห่งโรซาน เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจทำให้เธอรู้สึกไม่ดี
“ไปกันเถอะ บางทีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเกี่ยวกับ ‘นาง’ ก็ได้” คนที่วาเรียสกล่าวถึงทำให้เจ้าชายแห่งแดนมืดเลิกคิ้วข้างหนึ่ง พ่อของเขาพูดว่า ‘นาง’ แสดงว่าหมายถึงผู้หญิง หรือว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะมีต้นตอมาจากผู้หญิง!
สถานที่ตรงหน้าคือคฤหาสน์ที่สร้างจากหินอ่อนสีรัตติกาลและตั้งอยู่บนภูเขาสูง บริเวณสนามหญ้าด้านหน้าตัวอาคารปรากฏร่างของหญิงสาวผมสีแดงหยักศกยาวสยาย นัยน์ตาสีแดงอ่อน เธอสวมชุดสีแดงดำพลางเดินวนไปวนมาด้วยใบหน้าเคร่งเครียด พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นปีศาจสองตนกำลังสะบัดปีกร่อนลงมาจากท้องฟ้า ชาวแดนมืดคนหนึ่งมีปีกสามคู่ ส่วนอีกคนมีปีกสองคู่ แน่นอนว่าเธอรู้จักพวกเขา
“วาเรียส เซเรียส มาจนได้นะ” เธอกล่าวขึ้นเมื่อสองพ่อลูกรีบตรงมาหาเธอก่อนจะพร้อมใจค้อมศีรษะเล็กน้อยเพื่อทำความเคารพ
“ท่านย่าวานาเลีย”
“ว่าไงหลานรัก ได้ยินว่าไปที่แดนมนุษย์ เห็นอะไรใหม่ ๆ เยอะแยะเลยสินะ” วานาเลีย เพนเดลรอน เดินมากอดหลานชายสุดที่รักอย่างคิดถึงตามประสาคุณย่าที่ไม่ได้เจอหลานมานาน ถ้าไม่บอกว่าเป็นย่ากับหลานคงนึกว่าเป็นพี่สาวกับน้องชายแน่ ๆ
“แม่ มันเกิดอะไรขึ้น คลื่นพลังที่ซัดออกมาตอนแผ่นดินไหวคงไม่ใช่...”
“อย่างที่เจ้าคิด” หญิงสาวผละออกจากหลานชายแล้วหันมาเปิดประเด็นคุยเรื่องสำคัญ “คาเรียสไปดูสถานที่ผนึกแล้ว ดูเหมือนว่า ‘นาง’ จะทำลายผนึกออกมาได้”
“เวรเอ๊ย” จ้าวปีศาจสบถเบา ๆ ในขณะที่คนใกล้ตัวก็มองย่ากับพ่อสลับไปมาทั้งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยคำถาม เขาอยากได้คำอธิบายว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“ท่านพ่อ ท่านย่า นี่มันเรื่องอะไรกันครับ”
“จำได้ไหมที่พ่อเคยเล่าให้ฟังว่าทำไมบ้านเราถึงมีปัญหาเรื่องภัยธรรมชาติ สภาพอากาศแปรปรวน และทรัพยากรเริ่มหมดไป” วาเรียสหันมาถามลูกชายกลับคืน เซเรียสเงียบไปชั่วขณะเพราะกำลังเค้นความรู้ในสมองจนกระทั่งนึกอะไรออก
“ท่านหมายถึง ‘เทซิน่า’ เหรอครับ”
“นางทำลายผนึกของปู่เจ้ากับสี่องครักษ์รุ่นก่อน แต่ท่าทางนางคงจะเสียพลังไปมากระหว่างทำลายผนึก ตอนนี้คงหนีไปที่ไหนสักแห่งกับข้ารับใช้” วานาเลียคาดเดาสถานการณ์ และเธอคิดว่าตัวเองควรจะพาสองพ่อลูกเดินทางไปยังที่เกิดเหตุได้แล้ว
“ไปกันเถอะเซเรียส ไปดูให้เห็นสถานที่ผนึกกัน” วาเรียสหันมาเรียกลูกชายที่นิ่งเงียบ เซเรียสพยักหน้าก่อนจะเรียกปีกสองคู่ออกมาแล้วเหินฟ้าตามทั้งสองไป และนั่นเป็นครั้งแรกที่เจ้าตัวเห็นว่าปีกของคุณย่าไม่เหมือนกับชาวแดนมืด เพราะมันเป็นผ้าคลุมที่สยายออกคล้ายปีกผีเสื้อขนาดใหญ่มากกว่า
แต่ถ้ามันบินได้ก็ไม่เป็นไร
สถานที่ที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือพื้นที่แห้งแล้งทุรกันดาร บนฟ้ามีเมฆดำปกคลุมคล้ายกับฝนจะตก สายลมร้อนที่พัดมาทำให้เจ้าชายแห่งแดนมืดก้มมองภาพเบื้องล่างอย่างแปลกใจ ไม่นึกมาก่อนว่าในแดนมืดจะสถานที่แบบนี้ด้วย ชายหนุ่มสะบัดปีกบินตามพ่อกับย่าร่อนลงไปบนชะง่อนผาที่ยื่นออกมาจากปากทางเข้าถ้ำขนาดใหญ่ พอเห็นสภาพตรงหน้าก็ขมวดคิ้ว
'ถ้ำถล่ม?' เขาเห็นเศษหินกระจายอยู่ตามปากทางเข้าถ้ำ เมื่อเดินตามทั้งสองเข้าไปด้านในก็พบว่าทางเข้านั้นแคบมาก คงเพราะไม่นานมานี้เกิดแผ่นดินไหว ทำให้เพดานถ้ำถล่มลงมา ทางเดินจึงคับแคบลงไปอีก ด้านในสุดของถ้ำเป็นโถงขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยเศษคริสตัลสีโลหิตกระจายเกลื่อนพื้น ตรงกลางโถงมีผนึกที่แตกแล้วตั้งอยู่
“ผนึกถูกทำลายจริง ๆ ด้วย” วานาเลียมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างหนักใจ ใกล้ ๆ กับผนึกนั้นมีร่างโปร่งแสงของใครบางคนยืนอยู่ “คาเรียส”
“มีกลิ่นอายเวทตกค้างอยู่ นางกับข้ารับใช้คงหนีไปได้ไม่นาน แต่ก็เร็วพอที่เราจะตามไม่ทัน”
“ท่านปู่?” เซเรียสจำได้ว่านั่นคือวิญญาณของอดีตจ้าวปีศาจที่สิ้นไปเมื่อนานมาแล้ว คาเรียสหันมามองหลานชายก่อนจะหายแวบจากตรงนั้นมาอยู่ตรงหน้าคนทัก
“กลับมาจากแดนมนุษย์แล้วเหรอ”
“ครับ”
“ให้ตายเถอะ ยายป้านั่นหนีไปได้ ทุกสิ่งที่เราทำมาสูญเปล่าหมดก็วันนี้แหละ” วาเรียสไม่สนใจบรรยากาศปู่กับหลานครอบครัวสุขสันต์ ร่างสูงนั่งชันเข่าแล้วหยิบเศษคริสตัลขึ้นมา ในใจก็นึกถึงความทรงจำหนึ่งที่เป็นสาเหตุให้แดนมืดสูญเสียจ้าวปีศาจและญาติพี่น้องทุกคน
สงครามระหว่างแดนมืดกับอดีตนางฟ้าผู้สาปดินแดน!
“แล้วเราต้องทำอะไรบ้างครับ” เซเรียสคิดว่าตัวเองควรจะมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา ทว่าปู่ ย่า และพ่อต่างพร้อมใจกันส่ายหน้า
“เจ้าจะไปเรียนที่แดนมนุษย์ไม่ใช่เหรอ การหาประสบการณ์ก็เป็นเรื่องดีนะ ย่าคิดว่าเจ้าน่าจะสนใจเรื่องนั้นมากกว่า ส่วนเรื่องเทซิน่า พวกเราจะจัดการเอง” วานาเลียตรงมาลูบศีรษะหลานชายที่ตอนนี้ตัวสูงกว่าเธอแล้ว เซเรียสขมวดคิ้วเพราะไม่เต็มใจทำตามที่อีกฝ่ายบอก
“แต่เรื่องนี้ข้ารู้สึกว่าข้าต้องช่วยด้วย”
“ไม่เป็นไรหรอก นี่มันเรื่องของผู้ใหญ่ เจ้าเป็นเด็กรุ่นใหม่ ไปหาประสบการณ์ในต่างแดนเถอะ ถ้ามีอะไรที่ต้องให้เจ้าช่วย ปู่จะให้พ่อเจ้าเรียกเจ้ากลับมาละกัน” คาเรียสไม่อยากให้หลานชายเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย เพราะเรื่องทั้งหมดมันเกี่ยวกับเขา วานาเลีย และวาเรียสต่างหาก
“แต่ว่า...”
“เจ้าเด็กดื้อ อีกไม่นาน โรงเรียนซินเทลล่าก็จะเปิดเทอมแล้ว ไปเรียนหนังสือ หาเพื่อน เข้าสังคม และทำกิจกรรมร่วมกับคนอื่นดีกว่า อยู่บ้านมากไปเดี๋ยวก็ไม่มีเพื่อนหรอก” วาเรียสเดินมาตบบ่าลูกชายด้วยรอยยิ้ม เซเรียสมองหน้าพ่อก่อนกวาดสายตาไปมองปู่กับย่าด้วย เขาจะยอมกลับไปที่แดนมนุษย์ก็ได้ แต่ก็ไม่ลืมแถมท้าย
“ถ้ามีอะไรที่พวกท่านรับมือไม่ไหว พวกท่านต้องเรียกข้ามาช่วยนะ”
“...ก็ได้”
สุดท้ายก็ต้องรับปาก
“กรี๊ด!”
“อ๊าก!”
“ช่วยด้วย!”
เสียงกรีดร้องฟังไม่ได้ศัพท์ดังแว่วมาจากที่ใดไม่ทราบ ทว่าเขามองอะไรไม่เห็นเลยนอกจากความมืดมิด เสียงนั้นค่อย ๆ ดังขึ้นจนกระทั่งรู้สึกเหมือนกับว่ามันดังอยู่รอบตัวนี่เอง แต่ทำไมเขาถึงมองไม่เห็น
“งานที่ข้าสั่ง เรียบร้อยดีไหม”
“เรียบร้อยดีครับ นักฆ่าที่เราส่งไปสังหารพวกนั้นหมดแล้ว” สิ้นคำถามของเจ้าของเสียงหวาน ก็มีเสียงของชายหนุ่มที่เขาไม่รู้จักตอบกลับมา
“หาต่อไป ใครเป็น ‘คนของเอเดน’ ต้องสังหารให้หมด อย่าให้เหลือแม้แต่คนเดียว!”
“ครับ นายหญิง” หลังจากนั้นก็มีเสียงกรีดร้องดังแว่วมาอีก ตามมาด้วยเสียงเหมือนของมีคมตวัดลงบนอะไรสักอย่างก่อนที่เสียงร้องจะหายไป พลันเสียงฝีเท้าอีกหลายคู่ก็ดังแว่วมาพร้อมเสียงกรีดร้องที่ค่อย ๆ ดังขึ้นอีกจนกระทั่งมันดังเหมือนอยู่ข้างหู
“กรี๊ด!!!”
“อ๊าก!!!”
“!!!” เจ้าตัวสะดุ้งตื่นจากความฝันก่อนจะลุกขึ้นมานั่งถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วเบนสายตาออกไปมองนอกหน้าต่าง ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนแต่น่าแปลกที่ท้องฟ้าไม่มีหมู่ดาวปรากฏให้เห็น ตั้งแต่เกิดแผ่นดินไหวเมื่อสามวันก่อน หลาย ๆ คนก็กังวลไปหมด เพราะกลัวว่านั่นจะเป็นลางร้าย
'ฝันบ้าบออะไรวะ!' เซเรียสสบถในใจจากนั้นจึงก้าวลงจากเตียงนอนใหญ่โดยไม่ลืมหยิบเสื้อคลุมมาสวม แดนมืดเป็นดินแดนที่มีอากาศเย็น จึงไม่แปลกที่ตอนกลางคืนจะหนาวมาก
ร่างสูงเปิดประตูกระจกแล้วเดินออกมาที่ระเบียงหลังห้อง นัยน์ตาสีแดงทอดมองทิวทัศน์ของบ้านเรือนประชาชนซึ่งตอนนี้หลาย ๆ บ้านดับไฟจากตะเกียงเวทมนตร์กันแล้ว
“ไอ้ความฝันนั่นมันอะไรกันวะ” เจ้าชายแห่งแดนมืดยกมือกุมหน้า ทำไมเขาถึงฝันแปลก ๆ ขึ้นมาทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยเป็นแบบนี้ โดยเฉพาะเสียงของชายหญิงคู่นั้น ถ้าให้เดาฝ่ายหญิงน่าจะเป็นเจ้านาย ส่วนฝ่ายชายเป็นข้ารับใช้
แล้วสองคนนั้นสังหารใคร?
“คิดมาก ปวดหัวเปล่า ๆ ไปนอนดีกว่า” สุดท้ายเจ้าตัวก็กลับเข้าห้องและไปนอนตามเดิม ก่อนจะหลับสนิทอย่างรวดเร็วราวกับไม่มีอะไรมากวนใจอีก
ช่วงเช้าวันต่อมา สภาพอากาศไม่แจ่มใสเหมือนทุกวัน ผืนฟ้าเต็มไปด้วยหมู่เมฆมืดครึ้มอีกทั้งยังมีลมพัดแรง อากาศก็เย็นลงมากยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้คนที่อาศัยอยู่บนภูเขาสูง ป่านนี้ที่นั่นคงมีหิมะตกไปแล้ว เซเรียสแต่งกายในชุดสีดำขลิบทองตามฉบับเจ้าชายปีศาจแต่สวมผ้าคลุมขนสัตว์ป้องกันอากาศหนาว เขาเดินมาที่ห้องอาหารก่อนที่เด็กรับใช้จะเปิดประตูให้เขาเข้าไป
“ท่านพ่อ อรุณสวัสดิ์ครับ” เจ้าตัวทักทายคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะยาวซึ่งวันนี้สวมผ้าคลุมขนสัตว์เช่นกัน วาเรียสปิดปากหาวนอนพลางพยักหน้ารับเล็กน้อย
“อรุณสวัสดิ์ ลูกชาย”
“วันนี้สภาพอากาศไม่ดีเลยนะครับ” เซเรียสเดินมานั่งทางขวามือซึ่งเป็นที่นั่งประจำเวลามากินข้าวกับพ่อทุกมื้อ “ท่านแม่ล่ะครับ ไม่มากินข้าวด้วยกันเหรอ”
“มาสิ เดินมาโน่นแล้ว” วาเรียสบุ้ยใบ้ไปทางร่างบางที่สวมชุดกระโปรงยาวหนา ๆ แต่ยังมีผ้าลูกไม้คลุมศีรษะและใบหน้าอยู่เช่นเดิม เซซาเนียเข้ามาทางประตูเล็กซึ่งอยู่หลังผ้าม่านก่อนจะนั่งเก้าอี้ทางซ้ายมือซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเซเรียส
“ท่านแม่ อรุณสวัสดิ์ครับ”
“อรุณสวัสดิ์จ้ะ” เจ้าหญิงแห่งโรซานเลิกผ้าลูกไม้ขึ้นเปิดหน้าเพราะตอนนี้อยู่ในห้องกันสามคนจึงไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาเห็น
ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ เรื่องจัดการอาหารแต่ละมื้อก็เป็นฝีมือเธอทั้งนั้น แน่นอนว่าอร่อยเหาะไปเลย ขนาดเซเรียสที่ไม่ชอบกินผักยังไม่เขี่ยมะระทิ้งไว้ข้างจานเหมือนในสมัยเด็กเลย
“ที่แดนมนุษย์มีข่าวไม่ดีแต่เช้าเลย”
“ทำไมเหรอครับ” คนถามชำเลืองมองหนังสือพิมพ์ที่วาเรียสวางไว้บนโต๊ะวางของทางด้านหลัง เขาเห็นแวบ ๆ ว่ามันเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง
“เมื่อคืนนี้มีชายหญิงห้าคนถูกฆ่าตาย แต่ละคนไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย แถมอยู่คนละหมู่บ้านด้วย แต่ดันมาตายในเวลาไล่เลี่ยกัน สภาพเหมือนถูกของมีคมฟัน สันนิษฐานว่าคนร้ายเป็นคนเดียวกัน ตอนนี้เจ้าหน้าที่คงกำลังตามจับคนร้ายอยู่ล่ะนะ” สิ่งที่ชายหนุ่มเล่าออกมาทำให้ลูกชายชะงักเมื่อนึกถึงความฝันเมื่อคืน ปฏิกิริยานั้น เซซาเนียสังเกตเห็นจึงถามด้วยความเป็นห่วง
“เซเรียส มีอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีครับท่านแม่ แค่...อาหารอร่อยมาก” เขาเลือกที่จะไม่บอกความจริงกับเจ้าหญิงแห่งโรซานและจ้าวปีศาจที่นั่งฟังอยู่ เขายังไม่แน่ใจว่าความฝันกับเหตุการณ์ในข่าวเกี่ยวข้องกันหรือไม่ แต่ตราบใดที่ยังไม่มีอะไรส่งผลต่อแดนมืดและครอบครัว เซเรียสก็ยังไม่อยากเก็บเรื่องนั้นไปคิดให้ปวดสมอง
บางทีคงไม่มีอะไร คิดมากไปได้!
