บท
ตั้งค่า

บทที่ 6 กลับบ้านที่แดนมืด

ช่วงเช้าตรู่ของวันใหม่ คนจะเดินทางก็สะพายเป้ออกมานอกโรงแรมโดยมีเมเทเลีย เอวิส และเลน่าตามมาส่ง แม้จะไม่เข้าใจว่าทำไมเจ้าตัวถึงรีบกลับนัก แต่พวกเขาเดาว่าอีกฝ่ายอาจจะรีบกลับไปบอกทางบ้านเรื่องสอบเข้าเรียนต่อ เซสหันกลับมาแล้วค้อมศีรษะเล็กน้อยเพื่อขอบคุณทุกคน

“สำหรับทุกเรื่องตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ขอบคุณที่ดูแลมาตลอดนะครับ”

“เดินทางดี ๆ นะ แล้วเจอกันวันเปิดเทอมจ้ะ” หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีขาวอวยพรให้ชายหนุ่มก่อนที่เขาจะพยักหน้ารับแล้วเดินจากมาเงียบ ๆ ท่ามกลางสายหมอกที่ปกคลุมตัวเมือง

ยามเช้าอย่างนี้ไม่ค่อยมีใครออกมาข้างนอก อย่างมากก็คงเป็นเจ้าของร้านค้าตามข้างทางที่เปิดร้านแล้วจัดของก่อนที่ช่วงสาย ๆ จะได้ขายเพราะผู้คนเริ่มออกจากบ้าน คงมีลูกค้าแวะเวียนมาเหมือนทุกวัน เซเรียสที่ตอนนี้สวมฮู้ดคลุมศีรษะก็ถอดแว่นออกเพราะไม่อยากให้มันเกะกะลูกตา เจ้าตัวตรงไปยังที่ตั้งของฐานการเคลื่อนย้ายข้ามมิติซึ่งมีเจ้าหน้าที่ดูแลอยู่สองคน คราวก่อนเขาไม่ไปใช้บริการเพราะต้องจ่ายเงินเยอะจึงเลือกนั่งรถม้าเพื่อประหยัด แต่ตอนนี้จะกลับบ้านแล้ว จ่ายแพงคงไม่เป็นไร

“จะไปที่ไหนล่ะ พ่อหนุ่ม”

“ชายแดนประเทศซิลวาที่ติดกับแดนมืดครับ” เขากล่าวเสียงเรียบขณะยืนมองคนถามใส่พิกัดลงในเครื่องระบุตำแหน่งเพื่อให้วงเวทส่งผู้ใช้บริการไปยังจุดหมายโดยสวัสดิภาพ

“ค่าโดยสารเจ็ดร้อยเหรียญ”

“นี่ครับ” เซเรียสยื่นบัตรเมจิกมันนี่การ์ดให้ เจ้าหน้าที่คนนั้นรับไปวางไว้บนวงเวทที่เป็นฐานสแกนโค้ด จากนั้นเขาจึงคืนบัตรให้

“เรียบร้อยแล้วพ่อหนุ่ม ขึ้นไปยืนบนแท่นศิลาเวทมนตร์ได้เลย”

“ขอบคุณครับ” เจ้าตัวเก็บบัตรขณะเดินไปยืนบนแท่นศิลา เมื่อวงเวทเคลื่อนย้ายข้ามมิติทำงาน เจ้าชายแห่งแดนมืดก็มาโผล่บนแท่นศิลาอีกแห่งซึ่งอยู่ในเมืองใกล้ ๆ กับกำแพงกั้นชายแดน

เซเรียสรีบเดินลงมาเพื่อที่คนอื่นจะได้ใช้บริการต่อ เขาเดินไปตามทางที่ตอนนี้มีคนเดินสวนไปสวนมาอยู่ไม่กี่คน ระหว่างทางผ่านหน้าร้านขนมปังที่เพิ่งอบเสร็จใหม่ ๆ จึงแวะเข้าไปหาอะไรรองท้อง ขนมปังสอดไส้ทะลักน่าอร่อยวางเรียงรายอยู่ตรงหน้าก่อนที่คนขายซึ่งเป็นหญิงวัยกลางคนจะเดินออกมา

“อยากได้ขนมปังแบบไหนล่ะพ่อหนุ่ม”

“ขอขนมปังไส้ดาร์กช็อกโกแลตสองชิ้นครับ”

“สักครู่นะ” นางหยิบถุงกระดาษขึ้นมาแล้วใช้ที่คีบ คีบขนมปังไส้ทะลักสองชิ้นใส่ลงไปนั้นก่อนจะส่งให้ลูกค้ารายแรกของวันนี้ “ทั้งหมดยี่สิบเหรียญ แต่อากาศเย็นอย่างนี้ ไม่รับอะไรอุ่น ๆ ไว้ดื่มด้วยเหรอ”

“มีกาแฟเอสเพรสโซ่ไหมครับ”

“มีสิ รอเดี๋ยวนะ” นางรีบเข้าไปหลังร้านเพื่อตักกาแฟใส่แก้วกระดาษแล้วนำมาจัดใส่ถุงที่ใหญ่กว่ารวมกับขนมปังก่อนหน้านี้ด้วย “ทั้งหมดสี่สิบเหรียญนะ พ่อหนุ่ม”

“นี่ครับ” เซเรียสจ่ายเงินแล้วรับของมา ระหว่างเดินไปตามท้องถนน เจ้าตัวก็กินขนมปังสลับการดื่มกาแฟ คุณป้าเจ้าของร้านแถมหลอดดูดมาให้จึงไม่ต้องยกซดให้ลำบาก

ร่างสูงเดินมาถึงสี่แยกก็เลี้ยวซ้ายไปยังเส้นทางใหม่ซึ่งตอนนี้ไม่มีใครเดินผ่านเลย จังหวะนั้นก็มีผู้ชายสองคนเดินมาแถมยังทำท่าตรงมาหาเขาด้วย

“เซส โดโนเวน ใช่ไหม”

“ใช่” เขาหยุดกินพลางจ้องผู้มาใหม่ทั้งสองเขม็ง จิตสังหารจาง ๆ แผ่ออกมาทำให้พวกเขาต้องดึงฮู้ดที่คลุมศีรษะขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้คนถูกทักเห็นหน้าชัด ๆ

“ขออภัยที่เสียมารยาท พวกเราหน่วยองครักษ์ได้รับคำสั่งจากท่านจ้าวให้มารับท่านกลับไป” หนึ่งในสองกล่าวขึ้นจากนั้นก็ค้อมศีรษะให้คนตรงหน้า เซเรียสหยุดแผ่จิตสังหารแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ท่านจ้าวส่งพวกเจ้ามากี่คน”

“ถ้าไม่รวมข้าสองคน ก็ยังมีอีกแปดคนขอรับ” คนตอบชำเลืองมองด้านหลัง หากสังเกตดี ๆ จะพบว่าตามดาดฟ้า หลังคา บนต้นไม้ และสองข้างทางมีคนของแดนมืดประจำที่อยู่

“สงสัยท่านพ่อกลัวว่าข้าจะกลับบ้านไม่ถูก เอาเถอะ เพื่อความสบายใจของท่านล่ะนะ”

“ที่จริงท่านจ้าวอยากให้เจ้าชายเดินทางกลับเอง แต่ท่านหญิงขอไว้น่ะขอรับ” คนที่หนึ่งในสองกล่าวถึงทำให้เซเรียสที่เดินนำหน้าเลิกคิ้วข้างหนึ่ง

“ท่านหญิง?”

“สนมของท่านจ้าวขอรับ หลังจากเจ้าชายเดินทางมาที่แดนมนุษย์ ท่านจ้าวก็รับท่านหญิงผู้นั้นมาเป็นสนม”

“งั้นเหรอ เข้าใจแล้ว” เจ้าชายแห่งแดนมืดไม่คิดจะถามอะไรอีก เขาเดินตรงไปหาพวกองครักษ์ที่เหลือ เมื่อกลับถึงบ้าน เขาก็ตั้งใจว่าจะถามพ่อเกี่ยวกับเรื่องสนมคนนั้น

แล้วแม่ของเขาล่ะ พ่อเอาไปไว้ไหน!

ภาพรุ่นน้องสามคนนั่งคุยกันอย่างมีความสุขระหว่างทานมื้อเช้าไปด้วยกันทำให้พวกพี่ ๆ ที่นั่งมองอยู่ห่าง ๆ พลอยยิ้มไปด้วยโดยเฉพาะยามที่เห็นเมเทเลียยิ้มสดใส ใครจะไปนึกว่าห้าปีก่อนเธอต้องเจอกับใครบางคนที่ทำให้ตัวเองต้องฝันร้าย เมอร์เดสกับเมอร์เดียสถอนหายใจขณะหันมาจัดการอาหารเช้าตรงหน้าต่อ

“เจ้าเด็กที่ชื่อเซสกลับบ้านแล้วเหรอ” พี่ใหญ่ถามขึ้นพลางใช้มีดหั่นไส้กรอก พี่รองที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามและกำลังเทซอสมะเขือเทศลงบนไข่ดาวฟองใหญ่ก็พยักหน้ารับ

“กลับไปตอนเช้าตรู่น่ะครับ แต่ข้าก็สงสัยนะท่านพี่ ทำไมข้ารู้สึกว่าเจ้าเด็กนั่นท่าทางคุ้น ๆ ยังไงก็ไม่รู้ เรื่องหน้าตา ข้าไม่เคยเห็น แต่ท่าทางนี้มัน...”

“ข้าก็คิดเหมือนเจ้า แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก เอาไว้ว่าง ๆ ค่อยไปถามเมเทเลียละกันว่าไปรู้จักเขาได้ยังไง แล้วหมอนั่นเป็นใครมาจากไหน” เมอร์เดสรู้สึกว่าตัวเองน่าจะเคยเจอเจ้าหนุ่มคนนั้น แต่ในเมื่อนึกไม่ออกก็ไม่รู้จะทำยังไงนอกจากหาเวลาไปถามน้องสาวแทน

“ถ้านึกไม่ออกก็อย่าไปนึกให้ปวดสมองเลยท่านพี่ ดูน้องสาวเรายิ้มดีกว่า กำลังมีความสุขเชียว” เมอร์เดียสเห็นหน้าพี่ชายแล้วก็ไม่อยากเครียดจึงเปลี่ยนเรื่องมาที่น้องสาวแทน

“เมเทเลียโตเป็นสาวแล้ว เรียนอยู่โรงเรียนซินเทลล่าสามปีก็จบออกมา เมื่อถึงตอนนั้นท่านพ่อกับท่านแม่คงจะหาผู้ชายดี ๆ สักคนให้นาง หวังว่าเขาจะดูแลนางได้ดีนะ” สายตาที่เมอร์เดสกับน้องชายมองไปยังน้องสาวคนเล็กนั้นเต็มไปด้วยความรักและห่วงใยตามประสาพี่น้อง

เธอเป็นน้องคนเล็ก ยิ่งเป็นผู้หญิง จึงไม่แปลกที่ทั้งบ้านจะรักและเป็นห่วงมากกว่าใคร เรื่องต่อสู้หรือเอาตัวรอดจากอันตราย แม้ว่าเธอไม่ถนัดแต่ไม่ต้องห่วง พวกพี่ชายจะคอยจัดการเรื่องนั้นให้เอง!

พระราชวังซัลลิแวนแห่งแดนมืดยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ตั้งแต่วันที่เขาเดินทางไปยังแดนมนุษย์ ทุกคนที่อยู่ในสถานที่แห่งนี้รีบพากันค้อมศีรษะทำความเคารพร่างสูงที่เพิ่งกลับมาจากต่างแดนอย่างพร้อมเพรียงด้วยแววตาที่มีทั้งความเคารพและเกรงกลัว

เจ้าชายแห่งแดนมืดกลับมาแล้ว!

'ท่านพ่ออยู่ที่ห้องทำงานสินะ' เซเรียสถามพวกข้ารับใช้ก่อนจะมาหาจ้าวปีศาจแล้ว ตอนนี้เขาเปลี่ยนจากชุดเดินทางมาเป็นชุดสีดำขลิบทองตามฉบับชนชั้นสูง ชายหนุ่มเดินขึ้นไปบนชั้นสี่ของปราสาทหลังใหญ่กลางพระราชวังก่อนจะมุ่งหน้าไปยังห้องสุดทางเดินที่อยู่ส่วนปีกตะวันออก แน่นอนว่าที่นั่นคือห้องทำงานของพ่อเขา

“ท่านพ่อ ข้าเซเรียสนะครับ” ชายหนุ่มเคาะประตูให้คนที่อยู่ด้านในรู้ว่าใครมา ทุกอย่างเงียบสงบไปชั่วขณะจนคนเคาะยังนึกว่าอีกฝ่ายไม่ได้ยิน จังหวะที่กำลังจะเคาะเรียกอีกก็มีเสียงดังขึ้น

“เข้ามา” ทันทีที่เจ้าของห้องอนุญาต คนกลับมาบ้านจึงเปิดประตูเข้าไปด้านในแล้วก็พบกองงานเอกสารจำนวนหนึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะ เซเรียสเห็นใครบางคนสวมชุดสีดำยืนหันหลังเพราะกำลังเปิดดูแฟ้มเอกสารอยู่ตรงหน้าชั้นวาง ผู้มาเยือนปิดประตูให้สนิทแล้วก้าวเข้ามาตรงหน้าโต๊ะทำงาน

“ท่านพ่อ”

“กลับมาจนได้นะ” เจ้าของเสียงหล่อวางแฟ้มงานลงบนโต๊ะก่อนจะหันกลับมาหาลูกชายเพียงคนเดียว เมื่อสองพ่อลูกอยู่ด้วยกันจึงพบว่าอีกฝ่ายมีหน้าตาเหมือนเซเรียส ไม่สิ ต้องบอกว่าคนเป็นลูกหน้าเหมือนพ่อเพียงแต่ว่ารายนั้นดูมีอายุมากกว่าเล็กน้อย ถ้าไม่บอกว่าเป็นพ่อลูกกัน คงนึกว่าเป็นพี่น้องกันแน่ ๆ

ชายหนุ่มผมสีทมิฬซอยยาวประบ่า นัยน์ตาสีแดง ใบหน้าหล่อเหลาเหมือนคนอายุประมาณยี่สิบห้าแต่ความจริงแล้วอายุมากกว่านั้น เมื่อเห็นลูกชายยืนนิ่งอยู่จึงผายมือสองข้างออกอย่างเชื้อเชิญ

“จะไม่เข้ามาหน่อยเหรอ”

“ท่านพ่อ คิดถึง”

“มา ๆ กอดกัน” วาเรียสรับลูกชายที่วิ่งมากอดเหมือนที่เคยทำบ่อย ๆ ในสมัยที่ลูกยังเด็ก ใครจะไปนึกว่าเจ้าชายแห่งแดนมืดก็มีมุมน่ารักแบบนี้ด้วย

อีกหนึ่งเรื่องไม่น่ารู้ก็คือเซเรียสเป็นคนติดพ่อ!

“กลับบ้านสักที รู้ไหมว่าตอนที่เจ้าไม่อยู่ พ่อเกือบจะจมกองงานตายแล้ว” คนบ่นหันมาจัดเรียงเอกสารที่โต๊ะด้วยสีหน้าเหมือนคนอยากจะบ้าให้รู้แล้วรู้รอด เซเรียสกลอกตามองบนจากนั้นก็ก้าวไปดูเอกสารที่เหลือบ้าง

“ทั้งหมดนี่เป็นงานในส่วนของท่านพ่อไม่ใช่เหรอครับ หน้าที่ท่าน ท่านก็ทำสิ จะมาประท้วงอะไรกับข้า”

“ใช่ซี้! เจ้าน่ะมีเทมเพสคอยดูแลงานให้ตอนไปต่างแดน ส่วนพ่อน่ะไม่มี อู้ก็ไม่ได้ หนีเที่ยวก็โดนเจ้าสี่องครักษ์ลากกลับมาตลอด พระเจ้า! อีกหน่อยข้าคงได้แต่งงานกับเอกสารแน่ ให้ตายเถอะ!” วาเรียสทำหน้าเหมือนคนเครียดจัดถึงขนาดกัดเล็บตัวเอง เซเรียสถอนหายใจยาวแล้วเปลี่ยนเรื่องคุยเพราะไม่อยากทำให้อีกฝ่ายประสาทเสียไปมากกว่านี้

“ข้าได้ยินว่าท่านพ่อมีสนม”

“รู้แล้วเหรอ คิดว่าจะบอกเจ้าอยู่พอดี” ท่าทางของเขาเหมือนไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรนัก ผิดกับเจ้าชายแห่งแดนมืดที่อยากตะโกนใส่หน้าจ้าวปีศาจเหลือเกิน

ตอนนี้พ่อเอาแม่ไปไว้ส่วนไหนของหัวใจ!

“สนมที่ว่าเป็นใครครับ แล้วท่านแม่ล่ะ ท่านพ่อลืมท่านแม่เซซาเนียของข้าไปแล้วเหรอ” เซเรียสรู้สึกผิดหวังอย่างบอกไม่ถูกเมื่อรู้ว่าวาเรียสไม่สนใจเรื่องแม่แท้ ๆ ของเขา ยิ่งนึกถึงข่าวของเจ้าหญิงแห่งโรซานก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกผิดหวังมากขึ้นไปอีก

“อะไรของเจ้า อยู่ดี ๆ ก็โวยวาย กินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่า” เจ้าบ้านเพนเดลรอนมองลูกชายพลางขมวดคิ้ว จังหวะนั้นหนังสือเล่มหนึ่งก็บินมาโดยล็อกเป้าไปที่ศีรษะก่อนที่ร่างสูงจะยื่นมือไปคว้าโดยไม่หันไปมอง เซเรียสที่เห็นเหตุการณ์จึงมองไปด้านหลังพ่อตัวเอง และพบว่านอกจากพวกเขาแล้วยังมีอีกคนอยู่ในห้องนี้

'ใครวะ' เจ้าตัวมองหญิงสาวสวมชุดกระโปรงยาวสีม่วงดำแล้วมีผ้าลายลูกไม้คลุมศีรษะกับใบหน้าทำให้ไม่รู้ว่าหน้าตาของเธอเป็นแบบไหน

“นี่เจ้าปาหนังสือใส่ข้าเหรอ” วาเรียสมองตำราปกแข็งชนิดที่ปาใส่ใคร คนนั้นหัวแตกได้ทันที ทางด้านร่างบางที่เป็นคนปาของก็เดินมาตีไหล่เจ้าของห้อง เรี่ยวแรงที่ไม่น่าเชื่อว่าเป็นของคนตัวบางอ้อนแอ้นทำเอาไหล่แทบหลุดเลยทีเดียว

“ก็ท่านว่าเซเรียส” เธอเถียงกลับอย่างหงุดหงิด

“ท่านพ่อ ผู้หญิงคนนี้...” เจ้าชายแห่งแดนมืดถามพลางมองผู้มาใหม่ หรือว่าเธอคือสนมที่คนทั้งวังพูดกัน ทางด้านคนถูกถามก็นวดไหล่ตัวเองแล้วค่อยตอบกลับ

“ในนี้ไม่มีใครนอกจากเราสามคน เปิดหน้าให้เขาเห็นเถอะ เขากำลังคิดว่าข้าเป็นพวกหลายใจ” วาเรียสมีท่าทางเหมือนคนอารมณ์เสีย ร่างสูงนั่งลงบนเก้าอี้แล้วจัดการเอกสารต่อโดยไม่คิดจะเข้าไปยุ่ง ส่วนผู้หญิงคนนั้นก็ค่อย ๆ เปิดผ้าลูกไม้ที่ปิดบังใบหน้าออก

“บ้าน่ะ...” เซเรียสไม่สามารถเก็บอาการตกใจไว้ได้ ตอนนี้ในหัวของเขามีคำถามเต็มไปหมด เห็นได้จากปฏิกิริยาที่มองหน้าหญิงสาวสลับกับมองคนนั่งทำงาน

“ตกใจอะไร อยากเจอแม่ไม่ใช่เหรอ นั่นแหละท่านแม่เซซาเนียของเจ้า”

“ก็ตอนนั้น...” ภาพข่าวจากประเทศโรซานไหลย้อนเข้ามาในห้วงความทรงจำ เจ้าหญิงที่หายไปถูกพบและถูกพาตัวกลับไป แต่ทำไมเธอคนนั้นถึงมาอยู่ตรงนี้ได้!

หญิงสาวเจ้าของเรือนผมสีเขียวน้ำทะเลยาวสยายถึงสะโพก นัยน์ตาสีเดียวกันกับเส้นผม ใบหน้านั้นงดงามราวกับนางฟ้าผู้ใจดี ท่าทางเธอเหมือนคนอายุยี่สิบกว่า ๆ เท่านั้น ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นผู้หญิงที่แต่งงานจนมีลูกแล้ว

“ยี่สิบปีก่อน ครั้งสุดท้ายที่เห็นเจ้า ตอนนั้นเจ้ายังไม่หย่านมเลย วันนี้โตขึ้นมากจนจำแทบไม่ได้” เซซาเนียตรงเข้ามากอดลูกชายด้วยความคิดถึง เซเรียสที่ยังอึ้งอยู่ก็ได้สติ ความรู้สึกคิดถึงและโหยหาทำให้เผลอกอดตอบโดยไม่รู้ตัว แม่ที่เขาอยากเจอมาตลอด ในที่สุดก็ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าแล้ว แต่คงจะดีกว่านี้ถ้าไม่...

“ท่านแม่ ข้าหายใจไม่ออก” คุณแม่กอดลูกชายแน่นเกินไปแล้ว เจ้าตัวจึงพยายามดิ้นเพื่อหาอากาศหายใจแต่หญิงสาวไม่ยอมปล่อยเพราะคิดถึงลูกชายมากแถมยังอยากกอดลูกมากด้วย!

“เซซาเนีย เจ้าจะฆ่าลูกเหรอ เขาหน้าเขียวแล้ว” วาเรียสเดินมาแกะมือหญิงสาวออกก่อนที่เซเรียสจะได้ไปที่ชอบจริง ๆ เจ้าหญิงแห่งโรซานยอมปล่อยมืออย่างไม่เต็มใจ แต่ก็คิดว่าถ้ามีโอกาส เธอจะจับลูกมากอดให้หายคิดถึงแน่

“ท่านพ่อ อธิบายมาเดี๋ยวนี้เลย เรื่องมันเป็นยังไงกันแน่ ข้าจำได้ว่าทางโรซานเจอตัวท่านแม่และพากลับไปแล้วด้วย แต่ทำไมท่านแม่ถึงมาอยู่ที่นี่ แถมยังมาเป็นสนมของท่านอีก” เขาต้องการคำอธิบายโดยเร็วเพราะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ วาเรียสเห็นสีหน้าลูกชายแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้

“ตอนอยู่ที่แดนมนุษย์ เจ้าได้ข่าวว่าประเทศโรซานถูกพายุพัดถล่มไหมล่ะ”

“ได้ยินครับ” เรื่องนั้นใคร ๆ ก็รู้ เมืองหลวงแคนเดียนเสียหายหนักมาก ถึงจะน่าแปลกที่ไม่มีใครเสียชีวิต อีกทั้งยังมีการพูดถึงอีกว่าพายุนั่นอาจไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เซเรียสที่ตอนแรกยังทำหน้างง ๆ อยู่ก็เริ่มเข้าใจอะไรบางอย่าง “ท่านพ่อเป็นคนทำเหรอครับ”

“ก็ไม่ได้อยากถล่มเละหรอกนะ แต่พอดีว่ายี่สิบปีก่อน เจ้าพวกนั้นทำแสบไว้เยอะ ขอระบายความแค้นหน่อยเถอะ ใจดีแค่ไหนแล้วที่ไม่ให้มีใครตาย”

“แต่ข้าได้ยินว่าที่นั่นมีเขตแดนป้องกันปีศาจ ท่านพ่อฝ่าเข้าไปได้เหรอครับ” เวทพวกนั้นเป็นเวทกำจัดปีศาจ แน่นอนว่ามันส่งผลต่อชาวแดนมืดทุกคนไม่เว้นแม้กระทั่งจ้าวปีศาจหรือเจ้าชายแห่งแดนมืด

“ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงทำไม่ได้ แต่ตอนนี้ทำได้แน่” วาเรียสกล่าวเสียงเรียบพลางเลื่อนมือซ้ายไปจับแขนขวาที่เริ่มสั่นขณะจับปากกาเขียนงานอยู่ เซเรียสเห็นว่าแขนข้างนั้นมีผ้าพันแผลพันอยู่แล้วยังมีเลือดไหลซึมออกมาด้วย

“สมัยที่ข้ายังเด็ก ท่านโกหกข้าว่าแค่น้ำร้อนลวก แต่ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่านั่นเป็นบาดแผลจากการทดลองเวทกำจัดปีศาจ ท่านพ่อ ท่านยังไม่เลิกทดลองกับตัวเองอีกเหรอครับ” เขากังวลว่าสักวันมันจะทำให้วาเรียสต้องตาย ทางด้านคนมีอาการบาดเจ็บก็ปล่อยให้เซซาเนียใช้เวทรักษากับเขาก่อนจะตอบลูกชายอย่างอารมณ์ดี

“พ่อไม่ตายหรอก ทุกครั้งที่ร่างกายฟื้นฟู เวทมันก็ทำอะไรพ่อไม่ได้อีกแล้ว แต่ที่ยังทดลองอยู่เพราะมีเวทบทใหม่ ๆ เกิดขึ้นทุกวัน พ่อก็ต้องทำความรู้จักมัน ก่อนที่มันจะกลายเป็นจุดอ่อน”

“ท่านพ่อพยายามก้าวข้ามขีดจำกัดของปีศาจ...ทำไม?”

“ก็ถ้าไม่ทำ พ่อก็จะไม่แข็งแกร่งพอปกป้องสิ่งสำคัญ ตอนนี้เจ้าอาจจะยังไม่เข้าใจแต่สักวันเจ้าจะเข้าใจ ถ้าเจ้ามีบางสิ่งที่อยากปกป้อง” คำพูดนั้นทำให้คนฟังขมวดคิ้ว สิ่งที่เขาอยากปกป้องก็ใช่ว่าไม่มี แต่ท่าทางอีกฝ่ายพูดเหมือนกับว่ามันมีมากกว่านั้น

“สิ่งที่ข้าอยากปกป้อง นอกจากดินแดนแล้วก็มีพวกท่านนั่นแหละ”

“ก็คงจะใช่ แต่อนาคตอาจมีเพิ่มขึ้นมาอีกก็ได้...ขอบใจนะ เซซาเนีย” วาเรียสหันไปกล่าวขอบคุณหญิงสาวที่ใช้เวทรักษารวมทั้งเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ใหม่ “มือยังเบาเหมือนเดิมนะ เจ้าหญิง”

“ขอบคุณค่ะ” เจ้าของเสียงใสกล่าวสั้น ๆ ด้วยรอยยิ้มก่อนจะยกกล่องยาไปเก็บที่ชั้นวาง

“ว่าแต่คนที่ทางฝ่ายโรซานจับไปเป็นใครเหรอครับ ข้าเห็นภาพในข่าว ดูยังไงก็ท่านแม่ชัด ๆ หรือว่าท่านพ่อส่งตัวปลอมไปแทน” ถ้าเซซาเนียตัวจริงอยู่ที่นี่ คนที่ถูกจับไปก็คงเป็นตัวตายตัวแทน แล้วใครกันที่อาสาไปเป็นตัวแทนของเจ้าหญิงแห่งโรซาน

“ไม่มีใครไปแทนทั้งนั้นแหละ ก็แค่ ‘สิ่งของ’ ที่ย่าเจ้าให้พ่อยืมมาใช้”

“สิ่งของ?” เซเรียสขมวดคิ้วพลางมองพ่อกับแม่ที่หันมายิ้มให้กัน ในใจก็แอบหงุดหงิดนิด ๆ เขาไม่ได้รู้ใจทั้งสองมากขนาดนั้น มีอะไรถึงต้องถาม ในขณะที่วาเรียสกับเซซาเนีย แค่มองตาก็รู้แล้วว่าต่างฝ่ายต่างคิดอะไร

นี่เรียกว่าคนรู้ใจใช่ไหม?

“ท่านแม่มาอยู่ในฐานะสนม จะไม่เป็นไรเหรอครับ ท่านแม่เป็นเจ้าหญิงนะ”

“จริง ๆ ก็ไม่ได้อยากให้เป็นสนม แต่ถ้าทำอะไรเอิกเกริกก็อาจมีคนสงสัยได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้เอาผ้าคลุมหน้าหรอก ว่าแต่เจ้าเถอะ ไม่คิดจะเล่าเรื่องในประเทศซิลวาให้พ่อกับแม่ฟังหน่อยเหรอ ส่งจดหมายมาให้อ่าน มันไม่ค่อยสนุกเท่าไหร่นะ” วาเรียสเล่ามามากพอแล้ว คราวนี้เซเรียสต้องเป็นฝ่ายเล่าบ้าง เจ้าชายแห่งแดนมืดพ่นลมหายใจยาวก่อนจะเริ่มอธิบาย

“หลังจากที่ข้าแอบหลบเข้าชายแดน...”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel