จุดที่ 4 จุดเริ่มต้นที่...อีตุ๊ด
เขาเดินจากไปแล้วและฉันก็กลับมานั่งเรียนเหมือนเดิม เหตุการณ์ทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาวะปกติแต่สิ่งหนึ่งที่ไม่ปกติเลยคือใจของฉันเอง
‘ตั้งใจเรียน...เฮียไปก่อนนะ’
ประโยคนี้วนเวียนอยู่ในหัวซ้ำไปมา เหมือนเสียงเพลงที่ถูกเปิดซ้ำๆอยู่ในหัว ไม่สามารถห้ามตัวเองไม่ให้ริมฝีปากคลี่ยิ้มออกมาได้เลยอดใจไม่ไหวจริง ๆ
คนบ้าอะไรน่ารักฉิบหายวายวอด ถึงแม้จะรับรู้เล็ก ๆ ว่าการเเทนตัวเองว่าเฮียของเขาจะเเฝงไปด้วยท่าทีล้อเลียนอยู่หน่อย ๆ ก็ตาม
คนฉลาดแบบเฮียไม่แปลกหรอกถ้าจะจับไต๋ฉันได้ และป่านนี้ก็คงรู้อะไรไปบ้างแล้ว
อายตัวเองอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่มีอะไรมาฉุดรั้งความเขินตอนนี้ได้หรอกนะ
“หุบยิ้มได้ละชะนี หน้าบานเป็นกระด้งละนั่น กูถามอะไรก็ไม่ยอมบอกนั่งยิ้มอยู่ได้”
เสียงอีตุ๊ดบ่นขึ้น สงสัยเพราะรำคาญท่าทางฉันตอนนี้ล่ะมั้ง ทำไงได้อะคนมันมีความสุขจะให้นั่งร้องไห้เหรอ
ไม่ได้!
“ปล่อยให้กูมีความสุขบ้าง”
หันไปตอบตุ๊ดพร้อมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“กูล่ะเบื่อมึง อีชะนีขี้มโน”
วันนี้ใครด่าอะไรก็จะไม่สน และไม่โกรธเพราะวันนี้ข้าวมีความสุขมากกกกกกกกกกกก
ความจริงอยากลากเสียงก.ไก่ให้ยาวถึงอ.เบตง ที่จังหวัดยะลาแต่เกรงใจเลยต้องหยุดไว้แค่นี้
พร้อมกับหันไปยิ้มอ่อนให้ตุ๊ดอย่างไม่สะทกสะท้านอีกครั้ง
“ขอกูมโนวันหนึ่ง มึงตั้งใจเรียนไปนะวันนี้กูคงเรียนไม่รู้เรื่อง”
ถึงแม้ว่าเฮียเลจะบอกให้กูตั้งใจเรียนก็ตาม //// คำพูดนี้ถูกตอบในใจของฉันให้รับรู้เพียงแค่ตัวฉันคนเดียว ไม่รู้ทำไมถึงหวงคำพูดนี้ของเฮียมากเลยไม่อยากจะเอาไปป่าวประกาศบอกให้ใครรู้แต่อยากเก็บไว้ในใจคนเดียว และที่สำคัญไม่อยากให้เฮียไปพูดแบบนี้กับคนอื่นด้วย...
แต่ก็ไม่รู้อะเนอะ คนแบบเฮียคนที่เพอร์เฟคขนาดนั้นเขาอาจจะทำแบบนี้กับใครไปทั่วก็ได้ พอคิดถึงเหตุผลข้อนี้ก็ทำเอาริมฝีปากซึ่งเคยคลี่ยิ้มหุบลงทันทีพร้อมกับใจที่เริ่มเฉาลงหน่อย ๆ จากที่เมื่อกี้เบ่งบานจนแทบจะแตกอยู่รอมร่อ
ฉันลืมคิดไปเลยว่าตอนนี้เราก็ยังเป็นแค่คนแปลกหน้าต่อกันอยู่ดี
16.02 น.
หลังจากที่อิ่มหนำสำราญกับก๋วยเตี๋ยวน้ำตกเนื้อเปื่อยเน้น ๆ เจ้าประจำกันเสร็จแล้ว ทั้งฉันและอีตุ๊ดก็เดินเอื่อยเฉื่อยออกจากจากโรงอาหารคณะมาอย่างสบายอารมณ์
ที่จริงวันนี้มีนัดประชุมกับรุ่นพี่สาขาตอนสี่โมงครึ่งแต่เนื่องจากตึกคณะอยู่ตรงข้ามกับโรงอาหารพอดีและเวลาก็เหลืออีกหลายนาที เราทั้งสองคนเลยไม่ได้รีบร้อนเท่าไหร่เดินชมนกชมไม้ได้ชิวเว่อร์วังมาก โดยเฉพาะอีตุ๊ดที่ดูจะชอบใจกับการเดินช้าดั่งนางเอกเอ็มวีนี้มากมายขนาดไหน
วิวที่มันดูเนี่ยไม่ใช่นกใช่ไม้หรอกนะ แต่เป็นผู้ชายของคณะเราซึ่งเดินขวักไขว่กันให้ควักตอนนี้ต่างหาก
ปกติคนก็ไม่ได้พลุกพล่านแบบวันนี้หรอก แต่คงเป็นเพราะหลาย ๆ สาขานัดคุยเรื่องงานครบรอบ 49 ปีของคณะเรา คนเลยดูเยอะเป็นพิเศษและที่สำคัญคณะเราน่ะ...
ขอบอกไว้เลยว่างานดีเยอะมากกกก
ผู้ชายเซอร์ ๆ ติสท์ ๆ ผู้ชายรักดนตรี ผู้ชายสะพายกีตาร์ โอ้ยยยยยย เต็มไปหม้ด ไม่เว้นแม้กระทั่งฉันที่เป็นผู้หญิงยังมีกีตาร์สะพายหลังเลย แต่ละคนจะมีเครื่องดนตรีที่ถนัดเป็นของตัวเองแล้วแต่ว่าจะเลือกลงสายไหนน่ะนะ
ส่วนสาขาที่ฉันเรียนเป็นสาขาดนตรีเชิงพาณิชย์ ก็จะเรียนทุกอย่างเกี่ยวกับดนตรีนั่นแหละ ตั้งแต่การฝึกร้อง การแต่งเนื้อร้อง หรือการเล่นเครื่องดนตรี เรียกว่าเรียนครอบคลุมมากแถมจบมาก็ยังสามารถทำงานได้แทบจะทุกรูปแบบในสายงานวงการดนตรี
ที่สำคัญ เฮียเลเองก็เรียนสาขานี้เหมือนกัน เฮียเขาอยู่ปี 4 ส่วนฉันอยู่ปี 2 อย่างที่เคยบอกไว้
นี่ก็เกือบจะสองปีแล้วล่ะที่แอบรักเขา ถ้าถามว่าหลงรักเฮียตอนไหนก็คงจะเป็นวันแรกของการปฐมนิเทศ…
“อีข้าว มึงดูคนนั้นงานดีมากสะโพกทรงแอปเปิ้ลที่กูตามหาาา”
ไม่ทันจะได้คิดอะไรกับตัวเองได้นาน เสียงอีตุ๊ดก็ดังมารบกวนโสตประสาทซีกขวาของฉันให้หลุดออกจากการย้อนอดีตและก็ต้องมาเพลียกับความบ้ากามของมัน อีตุ๊ดมันชอบผู้ชายก้นสวยใครมีสะโพกทรงแอปเปิ้ลนี่มันจะมองตามตาแทบไม่กระพริบเลยล่ะ มองซะจนผู้ชายที่โดนมองเขารู้ตัวอะ
บางคนนี่ถึงกับจะมาต่อยเบ้าตามันก็หลายครั้ง แต่อีนี่มันก็ยังไม่หลาบจำ
“มึงอย่าโจ่งแจ้งสิอีตุ๊ดอยากตาช้ำอีกรึไงฮะ รู้จักไหมคำว่าแอบมองแบบไม่ให้เขารู้ตัวน่ะ”
เอ่ยปากสั่งสอนอีตุ๊ดไปยาวเหยียดจนมันหันมาตวัดสายตามองฉันด้วยสายตาน่าหมั่นไส้ อะไรอีกล่ะ
สอนนิดสอนหน่อยทำมาเป็นตวัดสายตา แล้วพอตาเขียวช้ำมาก็มาร้องไห้โอดครวญ
“กูไม่ได้เป็นพวกใจเสาะแบบมึง มองคือต้องมองให้เขารู้ไปเลย มัวแต่แอบเมื่อไหร่กูจะได้กิน”
นอกจากจะไม่เชื่อมันยังเถียงฉันอีก เชอะ
ถึงฉันจะแอบมองแต่วันนี้เขาก็มองฉันกลับแล้วล่ะวะ
“โดนต่อยเบ้าตามามึงไม่ต้องมาเรียกหากูนะอีแมน”
“ชิส์ ทำเป็นงอนอีชะนี”
ฉันเอ่ยออกไปน้ำเสียงสะบัด แล้วเดินนำหน้ามันเข้าตึกคณะที่ตอนนี้เริ่มมีทั้งเพื่อน พี่ และน้องร่วมสาขาทยอยมากันบ้างแล้ว และสายตาฉันมันก็ดันแอบสอดส่องหาใครบางคนก่อนจะพบว่าเขามาถึงแล้วเหมือนกัน
ตอนนี้กำลังยืนพิงเสาคุยอะไรอยู่กับกลุ่มเพื่อนของเฮียอยู่สีหน้าดูเคร่งเครียดเอาเรื่องเหมือนกันไม่รู้จะมีปัญหาอะไรรึเปล่า แต่ฉันก็ได้แค่แอบมองนั่นแหละจะไปช่วยอะไรเขาได้...
ตัดอกตัดใจเลิกหันไปมองเขาก่อนที่ทั้งฉันและอีแมนจะเดินเข้าไปนั่งรวมกับเพื่อน ๆ และพูดคุยเกี่ยวกับกิจกรรมที่จะจัดกันในงาน
สักพักก็ถึงเวลานัดหมาย พวกพี่ปี 4 ที่เป็นเฮดหลักจึงเรียกให้พวกเราไปนั่งรวมตัวกัน ก่อนพี่โบโบ้หนุ่มสายเซอร์ผู้รักในการทำกิจกรรมยิ่งชีพ ประธานรุ่นปี 4 จะเอ่ยทักทายพวกเราขึ้นจนทำให้เสียงคุยกันระงมเซ็งแซ่ก่อนหน้าเงียบลงโดยมิได้นัดหมาย
“สวัสดีน้อง ๆ ทุกคนวันนี้ก็คงรู้กันว่าพี่เรียกพวกเรามาทำไม พี่จะไม่อ้อมค้อมแล้วกันนะเพราะอ้อมทีไรแล้วมันไกลทุกทีเพราะฉะนั้นเราเข้าเรื่องเลยแล้วกันนะครับ”
ลั่น !
ให้กับมุกกาก ๆ ของพี่เเกไปหนึ่งดอก หัวเราะแห้งเพื่อเป็นขวัญกำลังใจในการพัฒนาสกิลในการเล่นมุกต่อไปในอนาคตถึงแม้ทุกคนจะรู้อยู่เต็มอกก็ตามว่าพี่แกคงมาไกลสุดได้แค่นี้...
ถ้าตัดเรื่องเทพแห่งมุกกากของพี่แกไป แกก็คงดูดีไม่น้อยไม่น่าทำร้ายตัวเองเล้ย
แต่ทำไงได้ความสุขพี่เขาเราต้องสนับสนุนหน่อยทุกคนย่อมมีความฝันถึงแม้ฝันนั้นจะทำให้เราแป๊กแค่ไหนก็ตาม..
“อย่างที่รู้ว่าอีกสองอาทิตย์จะมีงานครบรอบของคณะเราซึ่งสาขาของเราก็ได้รับมอบหมายให้ดูเเลเกี่ยวกับเรื่องการเเสดงในวันงาน จะแบ่งเป็น 3 ช่วงคือ การเเสดงเปิดงานช่วงเช้า แล้วก็กิจกรรมประกวดร้องเพลงในช่วงบ่าย หลังจากนั้นก็จะเป็นงานเลี้ยงตอนกลางคืนซึ่งช่วงนี้แหละสำคัญและต้องขอความช่วยเหลือจากน้อง ๆ หน่อย”
พี่เเกหยุดพูดไปหลังจากที่คุยเป็นการเป็นงานอยู่สักพัก ก่อนจะส่งยิ้มมาให้พวกเราที่ตั้งใจฟัง
“พี่อยากจะได้น้อง ๆ เสียงเพราะ ๆ สัก 3 คนมาร้องสลับเปลี่ยนกับไอ้เล เอ้ย! พูดผิด ทะเลเพื่อนของพี่ในวันงานหน่อยจะให้เพื่อนพี่มันร้องคนเดียวก็เห็นใจเสียงมันอย่างที่รู้ ๆ ว่ามันงานเยอะ เลยอยากจะขอคนช่วยหน่อย มีใครจะอาสาบ้างไหมครับ”
พรึบ!!!!
ไม่รู้ว่าบรรดาผู้หญิงในสาขาเราแม่งมันเตรียมซ้อมยกมือกันมาจากบ้านรึไง ถึงพร้อมใจกันยกมือทันทีหลังจากที่พี่โบ้แกขออาสาร้องเพลงแบบนั้น ซึ่งต้นสายปลายเหตุก็คงหนีไม่พ้นเฮียเลอีกเช่นเคย
“เพื่อนหนูร้องเพลงเพราะมากค่ะพี่โบ้ เอาเพื่อนหนูไปเลยค่ะเอาไปเลย”
แต่เหนือสิ่งอื่นใดความบรรลัยจะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าอีตุ๊ดมันจะไม่พิเรนทร์ยกแขนฉันขึ้นอีกคนท่ามกลางแขนของผู้หญิงอีกนับสี่สิบกว่าชีวิต พร้อมกับเอ่ยออกไปเสียงดังจนทุกคนต้องหันมาสนใจที่พวกเราสองคน ไม่เว้นแม่กระทั่งเฮียเลที่ยังคงยืนพิงเสาต้นเดิมและตอนนี้สายตาของเขากำลังจับจ้องมายังเหตุการณ์ตรงนี้
“มะ..เอ่อ ไม่เอานะคะหนูทำไม่ได้หรอก”
ฉันรีบปฏิเสธแก้ตัวไปทันที ก่อนจะพยายามเอาแขนตัวเองลงติดอยู่ที่อีแมนเนี่ยแหละดื้อรั้นไม่ยอมปล่อย มิหนำซ้ำยังหันมากระซิบกระซาบแผนชั่วร้ายที่มันคิดขึ้นมาอย่างรวดเร็วให้ฉันฟังอีก
“อีข้าวมึงอย่าตัดโอกาสตัวเองเชียวนะ นี่แหละทางที่มึงจะได้ใกล้ชิดเฮียเลเพราะฉะนั้นห้ามขัดกูปล่อยกูจัดการ โอเค้”
พอกระซิบกับฉันเสร็จมันก็ยอมปล่อยมือฉันลงและหันไปแก้ต่างให้รุ่นพี่ได้ฟัง
“อีข้าว เอ้ย! เพื่อนหนูมันเป็นคนถ่อมตัวค่ะพี่แต่ที่จริงเสียงมันใสและเพราะมากถ้าพวกพี่ได้ฟังต้องชอบมากแน่เลยค่ะ หนูคอนเฟิร์ม”
ตุ๊ด! มึงจะอวยกูเกินไปแล้วนะ พอเงยหน้าขึ้นหันมามองสายตาแต่ละคนนี่คือมีแต่ความหมั่นไส้อะ ฉิบหายละตุ๊ดมึงหาเรื่องเดือดร้อนทำคนอื่นเกลียดขี้หน้ากูอีกแล้วว
“น้องกูร้องเพราะจริงเว้ย กูยืนยันให้อีกคนเคยฟังเเล้ว”
และสักพักเสียงของพี่ โซ่ พี่เทคปี 4 ของฉันก็ดังขึ้นสนับสนุนอีแมนขึ้นอีกแรง
โอยยย
ตาย ๆ ๆ ข้าวตายแน่ พี่โซ่เงียบเหมือนเมื่อกี้ก็ดีแล้วค่ะ ตามเกมอีแมนมันทำม้าย
“โหวว คนอย่างไอ้โซ่ถึงกลับกล้ายืนยันชักจะอยากได้ยินเสียงน้องแล้วสิครับ”
ด้วยความที่พี่โซ่เป็นหนึ่งในเฮดว้าก นั่นจึงทำให้พี่โบ้ตื่นเต้นใหญ่ซ้ำยังหันมายิ้มชั่วร้ายส่งมาทางฉันอีกด้วย
“ให้มันร้องให้ฟังตอนนี้ได้เลยค่ะ เพื่อนหนูพร้อมแล้ว”
และนั่นไม่ใช่เสียงใคร อีตุ๊ดขี้เสือกคนเดิมเพิ่มเติมคือกูอยากถีบมันพร้อมกับหลังแหวนใส่อีกสักสิบรอบ
พูดอย่างกับมึงจะร้องเอง หันมามองหน้าเพื่อนก่อนไหมว่าเพื่อนพร้อมรึเปล่ากับเเรงกดดันที่มองมาตอนนี้
รู้สึกสายตาของพวกเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ผู้หญิงจะไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่เลย...
โว้ยยย...
แกล้งเป็นลมจะรอดไหมวะ
"เร็วครับน้อง ลุกขึ้นมาร้องให้พวกพี่ฟังหน่อย"
เสียงกดดันถูกเอ่ยขึ้นและฉันก็เลือกอะไรไม่ได้ นอกจากต้องลุกขึ้นยืนและเดินกะเผลกออกไปข้างหน้าอย่างช่วยไม่ได้
