บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 5 เอาล่ะ เปิดตัวให้ดี…งานนี้ต้องหาแฟนให้ได้

◇◇◇

“เอาล่ะ เปิดตัวให้ดี…งานนี้ต้องหาแฟนให้ได้"

◇◇◇

ณ บริเวณด้านหน้าปราสาทประจำเมืองอวาลอน

ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเช้าที่แสนอบอุ่น หลังจากที่ผมถูกสาวใช้จำนวนมากปลุกให้ตื่นจากห้วงความฝันอันแสนหวาน จากนั้นผมก็ถูกพวกเธอจับอาบน้ำและแต่งตัวอยู่นานกว่า 2 ชั่วโมง ตั้งแต่สภาพที่ผมยังเป็นซอมบี้หัวยุ่ง จนตอนนี้ผมถูกจับยัดลงไปในชุดประจำตำแหน่งของผมอย่างชุดจอมเวทศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งผมเองก็เพิ่งรู้ว่าตำแหน่งจอมเวทศักดิ์สิทธิ์มีชุดประจำตำแหน่งด้วย

และทันทีที่ผมแต่งตัวเสร็จสาวใช้ก็พามายืนอยู่หน้ากระจกเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยอีกครั้ง และนั่นทำให้ผมเห็นเงาสะท้อนของตัวเองในกระจก ซึ่งในตอนนี้ผมกำลังสวมใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสแล๊คสีขาว รองเท้าสีขาวและผ้าคลุมสีขาว โดยตัวชุดถูกออกแบบให้มีสีขาวโอโม่และประดับด้วยแถบสีทองสะท้อนแสงสลับกันอย่างลงตัวและดูหรูหรา โดยเฉพาะผ้าคลุมที่เน้นแถบสีทองสะท้อนแสงเป็นพิเศษ

และหลังจากที่ผมได้เห็นชุดที่ตัวเองกำลังสวมใส่อยู่ มันก็ทำให้ผมต้องยกมือขึ้นมากุมขมับ เนื่องจากเอฟเฟคการสะท้อนแสงทั้งจากสีขาวโอโม่และแถบสีทองจากชุด 'ผมสาบานว่าผมจะใส่ชุดนี้เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย!!! เพราะมองยังไงมันก็เป็นชุดหางเครื่องชัดๆ!!!'

และผมไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าสาวใช้เหล่านี้ทนมองมาที่ผมได้ยังไงโดยที่พวกเขาไม่แสบตาและตาบอดไปซะก่อน เพราะขนาดผมยังทนมองตัวเองในกระจกได้ไม่ถึง 5 วินาทีเลยด้วยซ้ำ

ท้ายที่สุดเพื่อป้องกันไม่ให้ผมตาบอด ผมจึงตัดสินใจใช้เวทมนตร์ปากกาศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งและวาดแว่นตากันแดดสุดเท่ออกมาสวมใส่ เพราะถ้าหากว่าผมไม่ใส่แว่นตากันแดดรับรองได้ว่าตาของผมคงบอดก่อนที่ผมจะหาแฟนได้อย่างแน่นอน เอาเป็นว่าถ้าไปถึงเมืองหลวงแล้วจะใช้เวทมนตร์ปากกาศักิ์สิทธิ์วาดชุดใหม่ออกมาใส่ละกัน

จากนั้นสาวใช้ก็พาผมเดินมาที่หน้าปราสาท และนั่นทำให้ผมได้เจอกับพี่เอริคสุดหล่อที่กำลังยืนรอและส่งยิ้มหวานมาให้ผม

“อรุณสวัสดิ์ครับพี่เอริค” ผมยิ้มกว้างและทักทายพี่เอริค

“โอ้โห...ทำไมวันนี้น้องชายของพี่หล่อเหลาและเท่อย่างนี้” พี่เอริคพูดพร้อมกับมองมาที่แว่นตากันแดดสุดเท่ของผมด้วยแววตาเป็นประกายปนสงสัยเพราะเขาไม่เคยเห็นแว่นตากันแดดมาก่อน

“วันนี้พี่เอริคของน้องก็หล่อเหลาจนละลายหัวใจน้องไปหมดแล้วครับ หล่อๆ อย่างนี้ระวังสาวๆ ในวังจะดักตีหัวแล้วลากเข้าห้องนะครับ” ผมชมพี่เอริคกลับและอดไม่ได้ที่จะแซวที่เอริคด้วย

ในวันนี้พี่เอริคสวมใส่ชุดอัศวินศักดิ์สิทธิ์เต็มยศ ซึ่งชุดที่เขาสวมใส่อยู่ในตอนนี้มันก็ดูหรูหรา อลังการดาวล้านดวงและสะท้อนแสงไม่ต่างไปจากชุดจอมเวทศักดิ์สิทธิ์ของผมเลย และนั่นทำเอาผมถึงกับกุมขมับให้กับรสนิยมในการออกแบบชุดของคนในโลกใบนี้

แต่ถึงอย่างนั้นก็ว่าไม่ได้เมื่อพี่เอริคได้สวมใส่ชุดอัศวินศักดิ์สิทธิ์เต็มยศ มันก็ทำให้เขาดูหล่อเหลาและน่าเร้าใจมากยิ่งขึ้น สังเกตได้จากปฏิกิริยาของสาวใช้ที่ยืนดูอยู่โดยรอบกำลังแสดงท่าทางเขินอายออกมาอย่างหนักเมื่อได้มองพี่เอริค

'อย่างว่าคนมันหล่อใส่อะไรก็ดูหล่อ แต่ว่าถ้าไม่ใส่อะไรเลยจะดีกว่านะว่าไหม' ผมคิดในใจพร้อมกับยิ้มให้กับพี่เอริค

“น้องก็ชมพี่เกินไป” พี่เอริคเขินจนหน้าแดง จากนั้นเขาก็ยกมือขึ้นมาถูจมูกเพื่อแก้เขิน

“เอ่อ…พี่ครับ ว่าแต่พี่ไม่แสบตาบ้างเหรอ เวลาที่มองมาที่ผมและชุดของตัวเอง ขนาดผมมองดูตัวเองในกระจกยังตาแทบบอด” ผมเดินเข้าไปกระซิบที่ข้างหูของพี่เอริคเบาๆ

“ฮ่าๆๆ” และเมื่อพี่เอริคได้ยินสิ่งที่ผมกระซิบ เขาก็หัวเราะเสียงดังทันที

“พี่ก็ว่าชุดประจำตำแหน่งของพวกเราสองคนมันก็ เอ่อ…ค่อนข้างที่จะแสบตาไปหน่อยนั่นแหละ” พี่เอริคก้มหน้าลงมากระซิบที่ข้างหูของผมเบาๆ เช่นกัน ทำเอาคนที่หัวใจยังไม่แข็งแรงพอถึงกับหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง

‘หึ ถ้าไม่ใช่พี่ล่ะก็ ผมนี่แหละจะดักตีหัวลากเข้าห้องเอง!!!’ ผมคิดในใจ จากนั้นผมก็ใช้เวทมนตร์ปากกาศักดิ์สิทธิ์วาดแว่นตากันแดดสุดเท่ออกมาให้พี่เอริคอีกครั้ง

“แว่นตากันแดดครับช่วยป้องกันแสงจ้าได้ดี” ผมหัวเราะและยื่นแว่นตากันแดดให้พี่เอริค

และเมื่อพี่เอริคสวมใส่แว่นตากันแดด มันก็ทำให้ความหล่อของเขาเพิ่มมากขึ้นไปอีก จนทำให้ผมอยากจะวาดชุดสูทในโลกใบเก่าที่ผมได้จากมาและรีบให้พี่เอริคสวมใส่ ไม่แน่ว่าถ้าพี่เอริคได้ใส่สูทและสวมแว่นตาครบชุด บางทีเขาอาจจะหล่อเหมือนกับพระเอกหนังเรื่องไททาX ชู้รักเรือล่มก็ได้

“ขอบใจน้องมากๆ ถ้างั้นพี่ว่าพวกเรารีบออกเดินทางกันเถอะ พี่อยากให้พวกเราไปถึงพระราชวังก่อนค่ำ” หลังจากพี่เอริคใส่แว่นตากันแดดแล้ว เขาก็ยื่นแขนขวาออกมาให้ผมจับ ส่วนผมก็เอื้อมมือไปจับแขนของเขาทันที จากนั้นเขาก็พาผมเดินไปที่รถม้าที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้

เมื่อพวกเราเดินมาถึงรถม้าแล้ว ผมก็ตกตะลึงทันที เนื่องจากรถม้าที่พี่เอริคได้เตรียมไว้มันช่างใหญ่โตและหรูหราเป็นอย่างมาก โดยตัวรถม้าถูกประดับด้วยธงประจำเมืองอวาลอน และที่ไม่ธรรมดาก็คือม้าที่พ่วงอยู่ทางด้านหน้าของรถม้าคันนี้เป็นถึงม้าเพกาซัสตัวใหญ่สีขาวแสนสง่างามถึง 6 ตัว และเมื่อผมและพี่เอริคขึ้นไปบนรถม้าเรียบร้อยแล้ว ม้าเพกาซัสทั้ง 6 ตัวก็เริ่มออกวิ่งและพาพวกเราบินขึ้นไปบนท้องฟ้าทันที

‘นี่มันยอดเยี่ยมมาก บรรยากาศก็คล้ายกับตอนที่นั่งอยู่บนเครื่องบินเลย’

ท่ามกลางบรรยากาศของสายลมและแสงแดดในระหว่างการเดินทางด้วยรถม้า เนื่องจากระยะทางค่อนข้างไกล มันจึงทำให้ผมรู้สึกเบื่อหน่าย และด้วยความเบื่อนี้เอง ผมจึงตัดสินใจใช้เวทมนตร์วาดสิ่งของบางอย่างออกมา และแสงสว่างจากการใช้เวทมนตร์ของผมมันก็ไปเรียกความสนใจของพี่เอริคทันที

โดยสิ่งของที่ผมวาดออกมาคือ ‘หนังสือนิยาย’ เนื่องจากนิสัยขี้เบื่อเวลาที่ต้องออกเดินทางไกลๆ และใช้เวลานานๆ ไม่ว่าจะเป็นการนั่งรถยนต์หรือเครื่องบิน ผมมักจะพกหนังสือติดตัวเอาไปอ่านแก้เบื่ออยู่เสมอ ดังนั้นในครั้งนี้ก็ต้องขอบคุณเวทมนตร์พิเศษที่ทำให้ผมสามารถวาดเอาหนังสือนิยายที่ผมเคยแต่งเหล่านี้ออกมาอ่านได้

และในระหว่างที่ผมกำลังอ่านหนังสือนิยายอยู่ พี่เอริคก็มองมาที่ผมเป็นระยะๆ และนั่นทำให้ผมรู้ว่าตัวเขาเองก็น่าจะรู้สึกเบื่ออยู่เหมือนกัน ดังนั้น ผมจึงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเบาๆ

“เอาไปอ่านสักเล่มไหมครับ” ผมยื่นหนังสือนิยายรักหวานแหววที่ผมกำลังอ่านไปให้พี่เอริค

“ขอบใจ” พี่เอริคยื่นมือมารับหนังสือนิยายไปจากผม

“ไม่เป็นไรครับ” ผมยิ้ม แต่อย่างไรก็ตามเมื่อพี่เอริคได้เปิดอ่านหนังสือนิยาย เขาก็มีสีหน้าสับสนและงงงวยให้ผมได้มองเห็นทันที

“พี่อ่านไม่ออกอ่ะ นี่มันเป็นภาษาอะไร” พี่เอริคถามผมพร้อมกับชี้ไปที่ตัวอักษรที่อยู่บนหน้าหนังสือ

“เฮ้ย!!! พี่อ่านไม่ออกเหรอครับ” ผมถามอย่างสงสัย

“ใช่แล้ว” พี่เอริคตอบกลับ และนั่นมันก็ทำให้ผมรู้ว่าภาษาไทยที่ผมกำลังอ่านอยู่นี้ มันเป็นภาษาที่โลกใบนี้ไม่รู้จัก และมันก็ทำให้ผมสับสนเนื่องจากว่าภาษาที่ผมกำลังใช้พูดอยู่ในตอนนี้มันก็เป็นภาษาไทยนี่หว่า

'เอ๊ะ…หรือว่าโลกใบนี้มันจะมีระบบแปลภาษาอัตโนมัติให้ผม' ผมคิดในใจ

แต่หลังจากที่ผมนั่งคิดได้ไม่นาน ผมก็ปล่อยวางมันอย่างรวดเร็ว เนื่องจากว่าต่อให้ผมคิดไปมากกว่านี้ มันก็คงไม่ได้อะไรนอกจากความปวดหัว และผมควรเอาหัวสมองอันน้อยนิดของผมไปคิดว่าต้องทำยังไงผมถึงจะไม่ตายภายใน 1 ปีนี้ดีกว่า อ้อ!!! แล้วก็แบ่งสมองส่วนหนึ่งมาคิดเรื่องหาแฟนด้วย

หลังจากที่ผมปล่อยวางเรื่องภาษาไปแล้ว ผมก็ใช้เวทมนตร์ปากกาศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง จากนั้นก็วาดเกมกดออกมา แล้วยื่นเกมกดไปให้พี่เอริคใช้เล่นแก้เบื่อ

“แล้วไอ้นี่มันคืออะไร” เมื่อพี่เอริครับเกมกดไป เขาก็พลิกซ้ายพลิกขวาอยู่นานสองนานก่อนจะตัดสินใจถามผมอีกครั้ง

“เฮ้ย…” ผมอุทานอย่างลืมตัวพร้อมกับยกมือขึ้นมากุมขมับ เพราะลืมคิดไปว่าที่โลกใบนี้มันไม่มีเกมกดนี่หว่า

จากนั้นผมก็ยื่นมือออกไปรับเกมกดกลับมาจากพี่เอริคแล้วเริ่มสาธิตวิธีการเล่นเกมกดนี้ให้พี่เอริคดู โดยเกมที่ผมกำลังเล่นอยู่นี้คือเกมงูกินหางที่ต้องเลื้อยไปเรื่อยๆ เพื่อกินลูกแก้วจนร่างกายของมันยืดยาวออก

หลังจากที่ผมสาธิตวิธีการเล่นเสร็จแล้ว ผมก็ยื่นเกมกดกลับไปให้พี่เอริค หลังจากนั้นผมก็ได้สร้างคนติดเกมขึ้นมาได้อีกหนึ่งคน เพราะดูเหมือนว่าพี่เอริคจะจริงจังกับการเล่นเกมงูกินหางนี้อย่างมาก ทำเอาผมถึงกับหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหยิบหนังสือนิยายขึ้นมาอ่านอีกครั้ง

ขณะที่ผมกำลังอ่านหนังสือนิยายและพี่เอริคกำลังเล่นเกมกด รถม้าของพวกเราก็บินผ่านป่าไม้ ภูเขาและแม่น้ำ รวมไปถึงเมืองขนาดเล็กอีกหลายเมืองโดยใช้เวลาไปเกือบ 6 ชั่วโมง ในที่สุดรถม้าของพวกเราก็มาถึงเมืองหลวงของราชอาณาจักรเวเนเซีย

และเมื่อพวกเรามาถึงเมืองหลวงแล้ว รถม้าของพวกเราก็มุ่งหน้าต่อไปยังพระราชวังทันที เมื่อพวกเรามาถึงพระราชวังแล้ว รถม้าก็ลงจอดและหยุดลงในที่สุด จากนั้นพี่เอริคก็เดินลงจากรถม้าพร้อมกับยื่นมือของเขาออกมารอรับผมที่กำลังก้าวลงจากรถม้า

และเมื่อผมลงจากรถม้าแล้วก็มีทหารจำนวนมากเข้ามาทำความเคารพและรับเอารถม้าของพวกเราไปเก็บที่โรงรถม้าทันที ส่วนผมก็ถูกพี่เอริคพาตัวเดินไปที่สถานที่แห่งหนึ่งทันที

โดยสถานที่ที่พี่เอริคพาผมมาก็คือห้องรับรองของแกรนด์ดยุกแห่งเมืองอวาลอนหรือก็คือห้องรับรองของท่านพ่อนั่นเอง แต่จะให้ผมเรียกว่าห้องรับรองก็ไม่ถูกซะทีเดียว เพราะว่าห้องรับรองแห่งนี้มันดูหรูหราและใหญ่โตเป็นอย่างมาก ไม่ต่างไปจากคฤหาสน์หลังหนึ่งเลยทีเดียว

สำหรับผมครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกในรอบ 1 ปีที่ได้มาที่พระราชวังหลังจากถูกลอบวางยาพิษ และการมาพระราชวังครั้งนี้ผมได้รับอนุญาตให้อาศัยอยู่ที่ห้องรับรองของท่านพ่อเป็นการชั่วคราว

“เหนื่อยไหมลูก เดินทางมาไกลทั้งที่ยังไม่หายดีอย่างนี้” ท่านแม่เดินเข้ามาหาผม หลังจากที่เห็นผมเดินเข้ามาภายในห้องรับรอง

“นิดหน่อยครับท่านแม่” ผงยิ้มสดใส

“พาลูกๆ มานั่งทางนี้สิที่รัก” ท่านพ่อเรียกท่านแม่ให้พาผมเดินไปนั่งในห้อง หลังจากที่เห็นพวกเรายืนคุยกันอย่างสนุกสนานอยู่หน้าห้อง

“สวัสดีครับท่านพ่อ” ผมเดินเข้าไปกอดท่านพ่ออย่างออดอ้อน และนั่นทำให้ท่านพ่อยิ้มกว้างจนหน้าบาน จากนั้นพวกเราก็คุยเรื่องทั่วไปชั่วครู่ ก่อนที่ท่านแม่จะเริ่มเปิดประเด็นพูดคุยเรื่องของผม

“ลูกรู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมลูกถึงต้องเดินทางมาที่พระราชวังแห่งนี้”

“ครับ” ผมพยักหน้า

“ถ้าลูกรู้อยู่แล้ว ถ้างั้นช่วงค่ำของวันพรุ่งนี้ลูกก็เตรียมตัวเอาไว้ให้ดีๆ เดี๋ยวพ่อและแม่จะพาลูกไปพบกับองค์ราชาและองค์ราชินี จากนั้นก็จะพาลูกไปแนะนำตัวกับท่านหมอหลวงด้วย”

“ได้เลยครับ ท่านแม่” ผมยิ้ม

“เอาล่ะ ถ้างั้นวันนี้พวกลูกๆ ก็ไปพักผ่อนกันก่อนเถอะ วันพรุ่งนี้ช่วงค่ำเมื่อถึงเวลาแล้ว พ่อจะให้สาวใช้ไปตามที่ห้อง” ท่านพ่อพูด

“ครับท่านพ่อ/ครับท่านพ่อ” จากนั้นผมและพี่เอริคก็ลุกขึ้นทำความเคารพท่านพ่อและท่านแม่ ก่อนจะเดินถอยหลังออกมา ไม่นานสาวใช้ก็เดินเข้ามาหาผมและพาพวกเราไปที่ห้องรับรองทันที และในคืนนี้ผมก็นอนหลับไปอย่างรวดเร็วเนื่องจากอาการเหนื่อยล้าจากการเดินทางที่ยาวนาน

วันต่อมา

ในที่สุดก็มาถึงช่วงค่ำ ซึ่งก่อนหน้านี้ผมถูกสาวใช้จับทารุณกรรมด้วยการอาบน้ำและแต่งตัวตั้งแต่ช่วงบ่าย และผมก็ถูกจับให้ใส่ชุดประจำตำแหน่งของผมอีกครั้ง

'เพิ่งสาบานไปว่าจะไม่ยอมใส่ชุดสะท้อนแสงนี้อีกทำไมวันนี้ได้ใส่ชุดนี้อีกแล้ววะเนี่ย' ผมคิ้วกระตุกและยกมือขึ้นมานวดขมับตัวเองเบาๆ จากนั้นผมก็ถูกสาวใช้จับแต่งหน้าอยู่นานสองนาน ซึ่งการแต่งหน้าที่สาวใช้ได้แต่งให้ผม มันก็ทำให้ผมหน้าขาวอย่างกับจะไปเล่นลิเก ทำเอาคิ้วกระตุกยิกๆ

'แต่งหน้าอย่างนี้จะให้ไปพบองค์ราชาหรือจะให้กูไปเล่นลิเกวะเนี่ย' ผมบ่นในใจ ก่อนจะใช้ความรู้ด้านการแต่งหน้าจากโลกใบเก่า จัดการลบหน้าและแต่งหน้าให้ตัวเองใหม่ สำหรับอุปกรณ์การแต่งหน้าบางอย่างที่ขาดหายไป ผมก็ใช้เวทมนตร์ปากกาศักดิ์สิทธิ์วาดมันขึ้นมาใหม่

'ง่ายดีใช่ไหมล่ะ' ผมยกยิ้มที่มุมปากในขณะที่กำลังแต่งหน้าให้ตัวเอง ในขณะที่สาวใช้มองมาที่ผมอย่างอึ้งๆ ใครว่าผู้ชายแต่งหน้าไม่เป็น ในโลกใบเก่าผู้ชายแต่งหน้าให้ตัวเองดูดีมีเยอะแยะไป

และหลังจากที่ผมแต่งหน้าให้ตัวเองเรียบร้อยแล้ว ผมก็วาดกำไลข้อมือสีทองสุดเท่ สร้อยคอทองคำพร้อมจี้ทองรูปปากกา ต่างหูมุดสีทอง ก่อนจะนำพวกมันมาสวมใส่ และนั่นทำให้ลุคหนุ่มน้อยน่ารักได้เปลี่ยนเป็นลุคเจ้าชายผู้หล่อเหลาและมีเสน่ห์ทันที จนผมอดไม่ได้ที่จะฉีกยิ้มให้กับตัวเองในกระจก

‘คนอะไร...หล่อเว่อร์ หาแฟนไม่ได้ต้องผูกคอตายใต้ต้นมะเขือแล้ว’ ผมหัวเราะและยิ้มให้กับตัวเอง และเมื่อผมแต่งตัวเสร็จแล้ว พี่เอริคก็เดินมารับผมทันที ซึ่งในค่ำคืนนี้ท่านพ่อและท่านแม่ได้เดินทางไปยังท้องพระโรงเรียบร้อยแล้ว

และเมื่อพี่เอริคได้เห็นผมในลุคเจ้าชายสุดเท่ ดูเหมือนเขาจะยืนอึ้งและตกตะลึงอยู่นาน ก่อนจะพุ่งตัวเข้ามากอดผมอย่างแรงจนทำเอาหนุ่มน้อยที่จิตใจหวั่นไหวง่ายอย่างผมถึงกับเขินอายและทำตัวไม่ถูกไปชั่วครู่

“พี่ไม่อยากให้เจ้าหญิงแก่ๆ ขุนนางหญิงแก่ๆ หนังเหี่ยวพวกนั้นเห็นน้องชายตัวน้อยของพี่เลยจริงๆ” พี่เอริคบ่นอย่างหัวเสีย เพราะเขาไม่อยากให้คนอื่นเห็นผมในลุคนี้

'ผมก็ไม่ได้สนใจเจ้าหญิงหรือขุนนางผู้หญิงอยู่แล้วครับ อย่างผมต้องคู่ควรกับเจ้าชายหล่อๆ ขุนนางหล่อๆ หรือไม่ก็ทหารหล่อๆ เท่านั้นครับ' ผมคิดในใจพร้อมกับลูบหลังปลอบใจพี่เอริค

“อย่างอแงเลยครับ พวกเขามองได้แต่เอาตัวผมไปไม่ได้หรอกครับ” ผมหัวเราะเบาๆ ให้กับความหวงน้องชายของพี่เอริค

“แต่ถึงอย่างนั้นพี่ก็ไม่อยากให้ใครมองน้องอยู่ดี” พี่เอริคแสดงอาการหงุดหงิดจนทำให้ผมหัวเราะเสียงดัง

“ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวคนอื่นเขาจะรอนาน” ผมจับมือพี่เอริค ก่อนจะลากเขาเดินออกจากห้อง

'สำหรับงานในค่ำคืนนี้ถือว่าเป็นงานเปิดตัวครั้งแรกของผมในรอบหนึ่งปีเลยทีเดียวหลังจากที่ผมนอนป่วยอยู่นาน แล้วจะให้ผมแต่งตัวบ้งๆ ไปร่วมงานได้ยังไงล่ะ เพราะบางทีน้องชายคนนี้อาจจะได้เจอเนื้อคู่ที่เป็นทหารหล่อๆ ขุนนางหล่อๆ หรือแม้แต่เจ้าชายจากต่างแดนก็ได้

เพราะฉะนั้นพี่เอริคครับ พี่คงต้องอนุญาตให้น้องชายคนนี้ได้เดินแบบหล่อๆ และตกหัวใจของหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ภายในงานนี้แล้วล่ะครับ และน้องก็หวังว่าผู้ชายหล่อๆ จะไม่ได้มีแต่ในนิยายนะครับ' ผมคิดในใจพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ก่อนจะเดินตีคู่ไปกับพี่เอริคที่กำลังทำหน้าตาบึ้งตึงเพราะอาการหวงน้องชาย

"เอาล่ะ เปิดตัวให้ดี…งานนี้ต้องหาแฟนให้ได้”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel