บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 4 เป็นจอมเวทศักดิ์สิทธิ์…จะหาแฟนได้ไหมนะ

◇◇◇

‘เฮ้ย!!! นี่กูกลายเป็นหนุ่มน้อยเวทมนตร์เหมือนในอนิเมะที่เคยดูตอนเด็กๆ ไปแล้วเหรอเนี่ย’

◇◇◇

หลังจากที่ผมได้พูดคุยกับคนในครอบครัวทำให้ผมรู้ว่าตอนนี้ผมได้เข้ามาอยู่ในโลกใบใหม่ที่แตกต่างจากโลกใบเดิมอย่างมาก จากโลกใบเดิมเป็นโลกที่ขับเคลื่อนด้วยพลังของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแต่โลกใบนี้กับถูกขับเคลื่อนด้วยเวทมนตร์

โดยเวทมนตร์ในโลกใบนี้ประกอบด้วยเวทมนตร์พื้นฐาน ได้แก่ เวทมนตร์ดิน เวทมนตร์น้ำ เวทมนตร์ลมและเวทมนตร์ไฟ เวทมนตร์ผสม ได้แก่ เวทมนตร์ไม้ เวทมนตร์น้ำแข็ง เวทมนตร์ลาวาและเวทมนตร์โลหะ นอกจากนี้ยังมีเวทมนตร์หายากอย่างเวทมนตร์แสงและเวทมนตร์ความมืดอีกด้วย

ส่วนเวทมนตร์พิเศษอย่าง ‘เวทมนตร์ปากกาศักดิ์สิทธิ์’ ของผมที่สามารถวาดภาพหรือเขียนอะไรก็สามารถสร้างสิ่งของนั้นให้เป็นจริงได้เป็นเวทมนตร์ที่พบเห็นได้ยากที่สุด มีเพียงประชากรแค่ 0.0001% ของประชากรในโลกใบนี้เท่านั้นที่พบว่ามีเวทมนตร์พิเศษเหล่านี้อยู่ ดังนั้น คนที่มีเวทมนตร์พิเศษจะถูกเรียกว่า ‘ผู้เป็นที่รักของพระเจ้า’

ส่วนการแบ่งแยกประเภทของผู้คนในโลกใบนี้ถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มนักรบและกลุ่มนักเวทย์ สำหรับกลุ่มนักรบ พวกเขาจะมีอาวุธคู่กายติดตัวอยู่เสมอไม่ว่าจะเป็น ดาบ กระบี่ ธนู ขวาน หอก หรืออาวุธอื่นๆ อีกมากมาย ส่วนใหญ่คนกลุ่มนี้จะมีปริมาณเวทมนตร์ภายในร่างกายน้อย ดังนั้น พวกเขาจึงต้องใช้อาวุธประสานเข้ากับการใช้เวทมนตร์แบบต่างๆ ที่อยู่ภายในร่างกายและใช้มันออกมาในการต่อสู้

สำหรับกลุ่มนักเวทย์ พวกเขามีปริมาณเวทมนตร์ในร่างกายสูงและมักจะใช้คทาเวทมนตร์เป็นอาวุธคู่กาย พวกเขาชอบฝึกฝนและพัฒนาเวทมนตร์ของตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้นเพื่อใช้ในการต่อสู้

และในโลกเวทมนตร์ใบนี้ไม่ได้มีแค่เผ่ามนุษย์อาศัยอยู่เพียงเผ่าพันธุ์เดียวเท่านั้น แต่ยังมีเผ่าพันธุ์อื่นๆ อาศัยอยู่ร่วมด้วย ไม่ว่าจะเป็นเผ่าเอลฟ์ เผ่าดาร์กเอลฟ์ เผ่าอสูร เผ่ายักษ์ เผ่าคนแคระ เผ่าภูต เผ่าเงือก เผ่ามังกร หรือแม้กระทั่งเผ่ามาร

ซึ่งเผ่าพันธุ์เหล่านี้เป็นเผ่าพันธุ์ที่ทรงปัญญาไม่ต่างไปจากเผ่ามนุษย์ บางเผ่าพันธุ์เป็นมิตรกับเผ่ามนุษย์ เช่น เผ่าเอลฟ์ เผ่าคนแคระ เผ่าเงือก แต่ก็มีบางเผ่าพันธุ์ที่เป็นศัตรูกับเผ่ามนุษย์ ได้แก่ เผ่ายักษ์และเผ่ามาร เป็นต้น

นอกจากเผ่าพันธุ์ที่ทรงปัญญาเหล่านี้แล้ว ยังมีสิ่งมีชีวิตที่ไม่มีสติปัญญาหรือเป็นพวกที่อาศัยสัญชาตญาณในการดำรงชีวิตอยู่ด้วย โดยพวกมันจะถูกเรียกว่า ‘มอนเตอร์’

ในโลกใบนี้มีมอนเตอร์อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก โดยพวกมันเป็นแหล่งวัตถุดิบชั้นดีเพื่อให้เผ่าพันธุ์ทรงปัญญาต่างๆ ได้ล่าและนำกลับไปใช้ประโยชน์ ไม่ว่าจะนำไปเป็นอาหาร สร้างเครื่องมือเครื่องใช้ สร้างอาวุธหรือชุดเกราะ เป็นต้น นอกจากนี้ภายในร่างกายของมอนเตอร์ยังมีสิ่งที่เรียกว่าผลึกเวทมนตร์อยู่ด้วย ซึ่งผลึกเวทมนตร์เหล่านี้สามารถนำมาใช้งานได้หลากหลายและยังนำมาใช้เป็นพลังงานเวทมนตร์สำรองได้อีกด้วย

สำหรับผมในตอนนี้อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรของมนุษย์ที่มีชื่อว่า ‘ราชอาณาจักรเวเนเซีย’ โดยราชอาณาจักรเวเนเซียมีเมืองหลวงชื่อว่า ‘เวเนเซีย’ ตามชื่อของราชอาณาจักร และยังมีเมืองขนาดใหญ่อีก 4 เมืองตั้งอยู่รอบเมืองหลวงเวเนเซียแห่งนี้ทั้ง 4 ทิศ ได้แก่ ทิศเหนือ ทิศตะวันออก ทิศตะวันตก และทิศใต้

สำหรับการปกครองของราชอาณาจักรเวเนเซียถูกปกครองด้วยระบบกษัตริย์ โดยมีองค์ราชาและองค์ราชินีเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดและเป็นศูนย์กลางของการปกครองทั้งหมด รองลงมาเป็นตำแหน่ง ดยุก มาร์ควิส เอิร์ล ไวเคานต์และบารอน ตามลำดับ

สำหรับเมืองที่ผมอาศัยอยู่ในตอนนี้มีชื่อว่า ‘อวาลอน’ เป็นเมืองใหญ่ที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของเมืองหลวงเวเนเซีย ซึ่งผู้ปกครองเมืองนี้คือ ‘แกรนด์ดยุกอาเธอร์ เดอะ อวาลอน’ ผู้ดำรงตำแหน่งอัศวินศักดิ์สิทธิ์และเป็นแม่ทัพของราชอาณาจักรเวเนเซียแห่งนี้ และมี ‘เลดี้เมโลดี้ เดอะ อวาลอน’ ผู้ดำรงตำแหน่งจอมเวทสูงสุดของราชอาณาจักรเวเนเซียเป็นภรรยา และทั้งสองคนนี้คือท่านพ่อและท่านแม่ของเจ้าของร่างนี้หรือผมนั่นเอง

สำหรับตำแหน่งแกรนด์ดยุกของท่านพ่อเป็นตำแหน่งที่องค์ราชาแต่งตั้งขึ้นเป็นพิเศษเนื่องจากความสามารถและความสัมพันธ์ของครอบครัวของเรากับราชวงศ์ โดยท่านพ่อเป็นสหายสนิทขององค์ราชา ส่วนท่านแม่เป็นน้องสาวขององค์ราชินี ดังนั้น ผมจึงมีศักดิ์เป็นหลานขององค์ราชาและองค์ราชินีคนปัจจุบันนั่นเอง

สำหรับเมืองใหญ่อย่าง ‘เมืองอวาลอน’ ที่ท่านพ่อและท่านแม่ปกครองอยู่เป็นเมืองที่มีความเจริญรุ่งเรืองในด้านการศึกษาและวิทยาการทางด้านเวทมนตร์ และนั่นทำให้เมืองนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่ทรงปัญญาอยู่มากมาย เช่น นักปราชญ์ นักวิจัย นักเรียน เป็นต้น

และนอกจากเมืองแห่งนี้จะโดดเด่นทางการศึกษาและวิทยาการทางด้านเวทมนตร์แล้ว ทางด้านการผจญภัยและการรวบรวมวัตถุดิบจากมอนเตอร์ก็โดดเด่นไม่เเพ้กัน เนื่องจากเมืองอวาลอนมีอาณาเขตติดต่ออยู่กับสองป่าใหญ่อย่างป่าอสูรที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้ และป่าแสงจันทร์ที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออก ซึ่งภายในป่าทั้ง 2 แห่งนี้เป็นที่อยู่อาศัยของมอนเตอร์จำนวนมาก ดังนั้น มันจึงดึงดูดให้นักผจญภัยจำนวนมากเดินทางมาที่เมืองอวาลอนเพื่อที่พวกเขาจะได้ออกล่ามอนเตอร์ภายในป่าทั้งสองแห่งได้อย่างสะดวกสบายนั่นเอง

สำหรับผม มีชื่อว่า 'อลัน เดอะ อวาลอน' โดยชื่อนี้ท่านพ่อและท่านแม่ได้ตั้งขึ้นมาเพื่อให้สอดคล้องกับชื่อของเมืองอวาลอนแห่งนี้ และตัวผมยังได้รับการยกย่องให้เป็นถึง ‘จอมเวทศักดิ์สิทธิ์แห่งราชอาณาจักรเวเนเซีย’ เพราะความสามารถทางด้านเวทมนตร์อย่างเวทมนตร์พิเศษ ‘เวทมนตร์ปากกาศักดิ์สิทธิ์’ ที่ทำให้ผมสามารถวาดภาพหรือเขียนอะไรก็สามารถสร้างสิ่งของนั้นให้เป็นจริงได้ตามต้องการ และนั่นทำให้เจ้าของร่างคนเก่าใช้เวทมนตร์นี้พัฒนาเมืองอวาลอนจนเจริญรุ่งเรืองเทียบเท่ากับเมืองหลวงเวเนเซียเลยทีเดียว

และเพราะความสามารถอันทรงพลังของเวทมนตร์ปากกาศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ศัตรูของราชอาณาจักรเวเนเซียเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาว่าสักวันหนึ่งผมจะใช้ความสามารถนี้สร้างอาวุธที่ทรงพลังขึ้นมา และใช้อาวุธเหล่านี้โจมตีราชอาณาจักรของพวกเขา

ดังนั้น พวกเขาจึงรวมกลุ่มกันและวางแผนฆ่าผมทิ้ง โดยการจ้างวานองค์กรนักฆ่าที่เป็นที่น่าหวาดกลัวของผู้คนในโลกใบนี้อย่าง ‘แมงป่องราตรี’ ให้ลอบวางยาพิษและฆ่าผม ก่อนที่ผมจะใช้ความสามารถของเวทมนตร์นี้กำจัดพวกเขาในฐานะศัตรูของราชอาณาจักรในอนาคต และในคืนหนึ่งแมงป่องราตรีก็สามารถวางยาพิษผมได้สำเร็จ โดยยาพิษที่พวกเขาใช้ฆ่าผมมีชื่อว่า ‘ยาพิษมายารัตติกาล’

และผลของยาพิษมายารัตติกาลก็ทำให้เจ้าของร่างคนเก่ามีปริมาณเวทมนตร์ลดลงและทุกค่ำคืนเดือนมืดเขาจะได้รับความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส และด้วยสาเหตุนี้ในที่สุดก็ทำให้เจ้าของร่างคนเก่าเสียชีวิตลง และผมที่เป็นดวงวิญญาณจากต่างโลกก็ได้เข้ามาอาศัยอยู่ภายในร่างกายของเขา และจุดนี้เองก็คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดต่อจากนี้

จากวันแรกที่ผมฟื้นสติขึ้นมาบนโลกใบนี้จนมาถึงวันนี้ก็เป็นเวลา 1 เดือนแล้ว และในช่วงเวลาที่ผ่านมาผมได้พักฟื้นจนร่างกายของผมแข็งแรงขึ้นมาบ้างแล้ว และยังเริ่มปรับตัวเข้ากับโลกเวทมนตร์ใบนี้ได้แล้ว เพราะผมได้เรียนรู้สิ่งที่เรียกว่า ‘เวทมนตร์’ นั่นเอง

โดยในระหว่างที่ผมกำลังคิดเรื่อยเปื่อยอยู่นี้ จู่ๆ ดวงแสงสีขาวก็ปรากฏขึ้นมารอบๆ ข้อมือของผม จากนั้นดวงแสงสีขาวก็เริ่มรวมตัวกันและกลายเป็นปากกาขนนกด้ามสวยสีทอง และเมื่อผมได้จ้องมองไปที่ขนนกที่ติดอยู่ที่ด้ามปากกา ผมก็เห็นว่ามันกำลังส่องแสงระยิบระยับสีเหลืองทองออกมาราวกับเป็นดวงดาวบนท้องฟ้า และนี่แหละคือ ‘เวทมนตร์ปากกาศักดิ์สิทธิ์’ ของผม

ผมมองปากกาศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในมืออยู่นานสองนาน ก่อนจะยกยิ้มที่มุมปาก

‘เฮ้ย!!! นี่กูกลายเป็นหนุ่มน้อยเวทมนตร์เหมือนในอนิเมะที่เคยดูตอนเด็กๆ ไปแล้วเหรอเนี่ย’

ผมใช้ปากกาศักดิ์สิทธิ์วาดภาพบนอากาศด้านหน้า ไม่นานสิ่งของที่ผมวาดก็ปรากฏขึ้นมากลางอากาศอย่างน่ามหัศจรรย์ ผมไม่รู้ว่าเมื่อก่อนเจ้าของร่างคนเก่าเคยวาดภาพหรือเขียนอะไรออกมาบ้างถึงได้พัฒนาเมืองอวาลอนให้ยิ่งใหญ่จนทัดเทียมกับเมืองหลวงเวเนเซียจนทำให้ศัตรูเกิดความหวาดกลัว แต่ในปัจจุบันด้วยปริมาณเวทมนตร์ที่ลดลง สิ่งที่ผมวาดหรือเขียนออกมาได้ในตอนนี้จึงเป็นเพียงสิ่งของชิ้นเล็กๆ เท่านั้น

ผมเอื้อมมือไปหยิบสิ่งที่ผมวาดออกมาและมองมันอย่างพิจารณา ผมไม่รู้หรอกว่าของสิ่งนี้ควรมีอยู่บนโลกใบนี้หรือเปล่า แต่ว่าตอนนี้ของสิ่งนี้เป็นสิ่งเดียวที่สามารถช่วยชีวิตของผมได้ ซึ่งสิ่งที่ผมวาดออกมาก็คือ ‘ยาแก้ปวดพาราเซตาX’ นั่นเอง

ด้วยร่างกายที่เจ็บปวดทรมานอยู่ตลอดเวลา ดังนั้น ยาแก้ปวดพาราเซตาXจึงเป็นสิ่งเดียวที่ผมสามารถพึ่งพาได้ในเวลานี้ และทันทีที่สาวใช้ที่ยืนอยู่ด้านหลังเห็นยาเม็ดนี้ เธอก็เดินเข้ามารินน้ำเปล่าใส่แก้วและส่งมาให้ผมทันที ส่วนผมก็ยื่นมือออกไปรับแก้วน้ำเปล่านี้มาแต่โดยดี จากนั้นก็นำยาเม็ดนี้เข้าปากพร้อมกับดื่มน้ำตามอย่างรวดเร็ว

ในตอนแรกที่ผมวาดยาแก้ปวดออกมาและกินมันลงไป สาวใช้ได้นำข่าวนี้ไปแจ้งให้กับท่านพ่อ ท่านแม่และพี่ชายของผมทราบ และนั่นทำให้คนทั้งบ้านต่างพากันวุ่นวายและคาดคั้นผมว่าสิ่งที่ผมวาดขึ้นมาและกินมันลงไปคืออะไร เพราะพวกเขารู้สึกเป็นห่วงและเป็นกังวลว่าสิ่งที่ผมกินเข้าไปนั้นจะเป็นอันตรายต่อร่างกายที่อ่อนแอของผม

และนั่นทำให้ผมต้องอธิบายยืดยาวว่ายาแก้ปวดพาราเซตาXคืออะไร ถึงแม้ว่าท่านพ่อท่านแม่และพี่ชายจะไม่เชื่อคำพูดของผมในตอนแรก แต่เมื่อได้เฝ้าสังเกตอาการของผมและพบว่าไม่มีอาการผิดปกติอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น พวกเขาถึงได้สบายใจ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ขอตัวอย่างยาเม็ดนี้เพื่อนำส่งให้กับท่านหมอหลวงเพื่อตรวจสอบยาชนิดนี้อย่างละเอียดอีกครั้ง และขอร้องว่าต่อไปนี้ถ้าผมจะวาดภาพหรือเขียนอะไรออกมาต้องบอกให้พวกเขารู้ด้วย

หลังจากที่ผมกินยาแก้ปวดและนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยได้ไม่นาน พี่ชายสุดหล่อของผมก็เดินเข้ามาหาผม ซึ่งตลอดเวลา 1 เดือนที่ผ่านมา หลังจากที่ผมฟื้นคืนสติและพักฟื้นร่างกายอยู่ภายในปราสาทหลังนี้ ทุกบ่ายพี่ชายของผมจะเข้ามาพูดคุยกับผมเสมอ

สำหรับพี่ชายของผมมีชื่อว่า ‘เอริค เดอะ อวาลอน’ อายุ 23 ปี ซึ่งมากกว่าผม 3 ปี และในปัจจุบันเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งอัศวินศักดิ์สิทธิ์ต่อจากท่านพ่อ โดยพี่เอริคนั้นได้เล่าเรียนและฝึกฝนประสบการณ์ในการเป็นอัศวินศักดิ์สิทธิ์มาตั้งแต่อายุ 5 ขวบและตอนนี้พี่เอริคก็ยังดำรงตำแหน่งเป็นรองแม่ทัพของราชอาณาจักรเวเนเซียแห่งนี้อีกด้วย

เเต่อย่างไรก็ตามตั้งแต่เกิดเรื่องที่ผมถูกวางยาพิษจนทำให้เจ้าของร่างคนเก่าป่วยหนัก พี่เอริคก็ตั้งใจที่จะลาออกจากตำแหน่งรองแม่ทัพและกลับมาดูแลผมที่นอนป่วยอยู่ที่ปราสาทแห่งนี้ แต่ด้วยความสามารถของพี่เอริคทำให้องค์ราชาไม่อนุญาต แต่อนุญาตให้เขามาทำงานอยู่ที่เมืองอวาลอนแห่งนี้แทนการไปทำงานที่เมืองหลวงเวเนเซีย

“วันนี้อาการเป็นยังไงบ้าง” พี่เอริคเดินมานั่งลงข้างๆ ผมพร้อมกับส่งรอยยิ้มหวานละลายหัวใจมาให้ผม ทำเอาคนหัวใจอ่อนแรงอย่างผมหัวใจเต้นแรงอีกครั้ง

“ดีขึ้นมากแล้วครับ” ผมยิ้มสดใสพร้อมกับเบ่งกล้ามเล็กๆ ให้พี่เอริคดู และนั่นทำให้เขาหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข จากนั้นพวกเราทั้งสองคนก็นั่งพูดคุยกันถึงเรื่องราวต่างๆ อย่างสนุกสนานจนกระทั่งเวลาผ่านไปเกือบ 1 ชั่วโมง

“พี่เห็นน้องมีความสุขอย่างนี้พี่ก็ดีใจ” พี่เอริคยิ้มให้ผม แต่หลังจากนั้นเขาก็นิ่งไปชั่วครู่ราวกับว่ามีเรื่องสำคัญบางอย่างที่ต้องการจะพูดกับผม แต่ก็ยังมีความลังเลใจอยู่ว่าจะพูดกับผมดีหรือเปล่า

“มีอะไรเหรอครับพี่” ผมตัดสินใจถามเมื่อเห็นท่าทางลังเลใจของพี่เอริค

“เอ่อ…เรื่องนี้มันค่อนข้างละเอียดอ่อนและอาจจะเร็วไปหน่อยสำหรับน้องที่จะรู้ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราก็ไม่มีเวลาเหลือมากแล้ว” พี่เอริคถอนหายใจก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา

“เรื่องของน้องใช่ไหมพี่”

“ใช่แล้ว น้องรู้ใช่ไหมว่าน้องถูกวางยาพิษมายารัตติกาล และน้องรู้ผลของยาพิษชนิดนี้แล้วใช่ไหม” พี่เอริคถามผมอีกครั้ง

“รู้แล้วครับ” ผมตอบพี่เอริค

“เฮ้อ…เอาล่ะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ท่านพ่อและท่านแม่ตัดสินใจแล้วว่ายังไงก็ต้องบอกน้องให้รู้เอาไว้ น้องตั้งใจฟังพี่พูดดีๆ นะ ‘น้องจะมีชีวิตอยู่ได้อีก 1 ปีเท่านั้น’ และจะต้องตายถ้าไม่สามารถถอนพิษมายารัตติกาลออกจากร่างกายได้”

“เฮ้ย!!!” ผมตกใจ

‘อะไรเนี่ย!!! เพิ่งตายจากโลกใบเก่าได้ไม่นานและเพิ่งฟื้นขึ้นมาในโลกใบใหม่ได้แค่เดือนเดียว นี่กูจะต้องตายอีกแล้วเหรอเนี่ย’

“แต่ว่ามันยังพอมีวิธีที่จะช่วยน้องให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ถึงแม้ว่ามันจะลำบากไปบ้างก็เถอะ” พี่เอริคพูดหลังจากที่เห็นท่าทางตกใจของผม

“ยังไงเหรอครับ” ดวงตาของผมเป็นประกายเมื่อได้ยินว่ายังมีวิธีที่จะทำให้ผมมีชีวิตอยู่ต่อไปได้

“เอาเป็นว่ารายละเอียดพี่ขอเก็บเอาไว้คุยกันวันพรุ่งนี้ เพราะพี่จะพาน้องไปพบกับท่านพ่อ ท่านแม่และท่านหมอหลวงที่พระราชวัง ส่วนวันนี้น้องต้องพักผ่อนให้เยอะๆ และเตรียมตัวให้พร้อม พรุ่งนี้พวกเราจะเดินทางไปที่เมืองหลวงกัน” จากนั้นผมเเละพี่เอริคก็พูดคุยนัดเเนะกันอยู่นานสองนาน และเมื่อพวกเราคุยกันเสร็จแล้ว พี่เอริคก็ขอตัวออกไปเตรียมตัวสำหรับการเดินทางไปที่เมืองหลวงเวเนเซียทันทีและปล่อยให้ผมนั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอีกครั้ง

สำหรับผมที่รู้ว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่ได้อีก 1 ปี ถ้าจะให้ผมมานั่งร้องไห้เสียใจและยอมแพ้ต่อโชคชะตาไปง่ายๆ ผมคงทำไม่ได้หรอก ส่วนสาเหตุก็เพราะว่าในโลกใบใหม่ใบนี้ผมยังไม่มีแฟนเลย ดังนั้น ผมจะมาตายก่อนจะมีแฟนไม่ได้เด็ดขาด!!! เสียดายความหล่อ!!! เสียดายความรวย!!! เสียดายความซิง!!! ต้องเสียตัวให้ได้โว้ยยยย!!!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel