ตอนที่ 3 เป็นจอมเวทศักดิ์สิทธิ์…จะหาแฟนได้ไหมนะ
◇◇◇
“อลัน น้องฟื้นแล้ว!!!”
◇◇◇
ประตูห้องถูกผลักให้เปิดออกอย่างแรง จากนั้นก็มีชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหาผมด้วยความเร็วสูง โดยที่ชายหนุ่มคนนี้กำลังส่งยิ้มและมองมาที่ผมอย่างดีใจ
ชายหนุ่มจ้องมองผมอยู่ไม่นาน จู่ๆ ดวงตากลมโตนัยน์ตาสีทองของเขาก็เริ่มแดงก่ำ ไม่นานน้ำตาแห่งความดีใจก็ไหลนองจนท่วมใบหน้าของชายหนุ่มคนนี้จนทำให้ผมตกใจ
จากนั้นเขาก็พูดบางอย่างกับผม แต่ถึงอย่างนั้นคำพูดของเขาก็ไม่เข้าหูผมเลย เนื่องจากว่าในระหว่างที่เขากำลังพูดกับผมอยู่นี้ เขาขยับตัวเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ และนั่นทำให้ผมได้เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาของเขาในระยะประชิด และพอผมได้มองหน้าของเขาใกล้ๆ แล้ว มันทำให้ผมรู้สึกตาลาย ใจสั่น หน้าแดงก่ำ น้ำลายไหลย้อย และหูดับไปทันที ก็ใครใช้ให้เขามีเบ้าหน้าที่หล่อเหลาราวกับเป็นเทพบุตรอย่างนี้ล่ะ
ด้วยโครงหน้าที่หล่อเหลาคมเข้ม สันกรามชัด จมูกโด่งเชิดรับกับคิ้วหนา ดวงตากลมโต นัยน์ตาสีทองสว่างสดใส เส้นผมสีดำหยักศกเหมือนกันกับผม และต่างกันที่เส้นผมของผมมันพันกันจนยุ่งเหยิงไม่ต่างจากรังนก แต่ว่าเส้นผมของชายหนุ่มคนนี้มันช่างดูเงางาม ไม่ต่างไปจากเส้นผมของผู้หญิงที่ได้รับการดูแลมาเป็นอย่างดีเลย
ในด้านรูปร่างก็เรียกได้ว่าโคตรดี ด้วยเสื้อเชิ้ตคอวี แขนยาวสีขาวที่ชายหนุ่มคนนี้กำลังสวมใส่อยู่ มันทำให้ผมสามารถมองทะลุไปถึงแผงอกแกร่งที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อที่สวยงามของเขาได้อย่างชัดเจน
นอกจากแผงอกแกร่งที่ทำเอาผมน้ำลายไหลแล้ว เฮ้ย! หัวใจสั่นไหวแล้ว ผมยังจินตนาการไปไกลถึงรูปร่างภายใต้ร่มผ้าของเขาคนนี้อีกด้วย ว่ามันน่าจะแข็งแรงและงดงามมากแค่ไหน และที่แน่ๆ กล้ามแน่นๆนี้ไม่ต่างไปจากกล้ามของผัวไอ้คิตตี้แน่นอน!
“อลัน น้องเป็นอะไร!!!”
ในระหว่างที่ผมกำลังตกอยู่ในห้วงแห่งจินตนาการอันแสนลามก ชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านหน้าก็แสดงสีหน้าเป็นห่วงผมทันที เนื่องจากว่าในระหว่างที่เขากำลังคุยกับผม เขารับรู้ว่าผมไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรออกมาเลย จนสุดท้ายชายหนุ่มจึงได้ตัดสินใจเขย่าตัวผมเบาๆ เพื่อเรียกสติ
“เฮ้ย!!!” ผมอุทานทันทีหลังจากที่ได้สติ และเมื่อชายหนุ่มตรงหน้าเห็นว่าผมได้สติขึ้นมาแล้ว เขาก็ยิ้มกว้างอย่างดีใจและพุ่งเข้ามาดึงตัวผมเข้าไปกอดอย่างแรง
“เฮ้ย!!!” ผมอุทานอีกครั้ง เมื่อชายหนุ่มสุดหล่อตรงหน้าได้ดึงผมเข้าไปกอด และมันก็ทำให้สติของผมหลุดลอยไปอีกครั้ง ในขณะที่ใบหน้าของผมกำลังแนบชิดอยู่กับแผงอกแกร่งของเขานั้น มันทำให้ผมได้ยินเสียงหัวใจของเขาที่กำลังเต้นรัวอยู่ภายในอก และผมก็จินตนาการไปถึงรูปร่างภายใต้ร่มผ้าของชายหนุ่มคนนี้อีกครั้ง นอกจากนี้ผมยังแอบเนียนจับต้นแขนที่มีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ หรือแม้กระทั่งแอบลูบไล้ไปที่ซิกแพคเเน่นๆ ของเขาเบาๆ
“หูยยย…ฟินนน!!!” และด้วยสภาพที่ผมกำลังเคลิบเคลิ้มและมีจินตนาการที่ลามกอยู่ในหัว มันก็ทำให้น้ำลายของผมค่อยๆ ไหลย้อยออกมาจากมุมปากอย่างไม่รู้สึกตัวราวกับเป็นหมาที่ได้เจออาหารที่ถูกใจ
และด้วยความเปียกชื้นจากน้ำลายที่ไหลออกมาจากมุมปากมันก็ทำให้ผมมีสติขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นผมก็รู้สึกเขินอายเป็นอย่างมาก และเพื่อปกปิดความผิดนี้ ผมจึงก้มหน้าซบเข้ากับแผงอกแกร่งและพยายามใช้มือเช็ดคราบน้ำลายออกจากเสื้อของชายหนุ่มทันที
‘ซวยแล้วไง!!!’ ผมคิดในใจ
และเมื่อชายหนุ่มรู้สึกว่าผมขยับตัว เขาก็มีอาการตกใจ เนื่องจากเขาคิดว่าเขาอาจจะกอดผมแน่นเกินไปและทำให้ผมอึดอัด และนั่นทำให้เขาเริ่มคลายอ้อมกอดออกจากผม พร้อมกับค่อยๆ พยุงตัวของผมให้กลับมานั่งที่ข้างเตียงอีกครั้ง
“ไม่ต้องร้องไห้แล้วนะ ต่อจากนี้ไปพี่จะดูแลน้องเอง”
ชายหนุ่มตรงหน้าลูบหัวผมเบาๆ เพื่อปลอบประโลมอาการโศกเศร้า เนื่องจากเขาสังเกตเห็นรอยเปียกชื้นที่ติดอยู่บริเวณอกเสื้อ และนั่นทำให้เขาคิดว่าความเปียกชื้นนี้เกิดจากน้ำตาของผม
ส่วนผมเมื่อรู้ว่าชายหนุ่มเข้าใจผิดก็รู้สึกทั้งดีใจและทั้งอายจนแทบอยากจะมุดแผ่นดินหนี ผมไม่อยากจะบอกหรอกนะว่ารอยเปียกชื้นนั้นไม่ได้เกิดจากน้ำตาแต่มันคือคราบน้ำลายจากความหื่นกระหายของผมล้วนๆ
'ไอ้เหี้ยจะให้เขารู้ไม่ได้ว่านั่นเป็นคราบน้ำลาย' ผมคิดในใจและเพื่อแก้อาการเขินอาย ผมจึงตัดสินใจพูดกับชายหนุ่มตรงหน้าทันที
“เอ่อ…ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครเหรอครับ” ผมตัดสินใจถามคำถามชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้า หลังจากที่ผมตั้งสติจากความเขินอายได้แล้ว
“เอ๊ะ!!!...นี่น้องจำไม่ได้เหรอว่าพี่เป็นใคร” ชายหนุ่มตรงหน้าอุทานด้วยความตกใจ เพราะโดยปกติแล้ว เขามักจะถูกเรียกว่า ‘พี่ชาย’ อยู่เสมอ และเมื่อเขารู้ว่าผมจำเขาไม่ได้ เขาก็ตกใจทันที แม้แต่ตัวผมเองที่รู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้านี้คือพี่ชายของผม ผมก็รู้สึกตกใจเช่นกัน
“ใช่ครับ ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร” ผมตอบคำถามชายหนุ่มตรงหน้าที่เรียกแทนตัวเองว่าพี่ชายออกไปตามตรง พร้อมกับจ้องเข้าไปในดวงตาของเขาที่กำลังสั่นไหวอย่างจริงจังเพื่อแสดงให้เห็นว่าผมนั้นไม่ได้โกหกเขาอยู่
และหลังจากที่พี่ชายของผมได้รับคำตอบจากผมแล้ว เขาก็พุ่งตัวเข้ามากอดผมอีกครั้งด้วยความเป็นห่วงพร้อมกับร้องไห้ออกมาอย่างหนัก
ผ่านไป 15 นาที หลังจากที่ชายหนุ่มตรงหน้าได้กอดผมและร้องไห้ออกมาอย่างหนัก เขาก็ค่อยๆ คลายอ้อมแขนและปล่อยผมให้เป็นอิสระอีกครั้ง จากนั้นเขาก็คุยกับผมอยู่นานสองนาน เพื่อยืนยันว่าผมนั้นจำเรื่องราวที่ผ่านมาไม่ได้จริงๆ และหลังจากเขาได้รับการยืนยันแล้วว่าผมจำอะไรไม่ได้เลย เขาก็มีความกังวลใจทันที
‘โครกกกก’
เสียงท้องของผมร้องดังขัดบรรยากาศที่แสนอึดอัดนี้และทำให้การพูดคุยของพวกเราสองคนจบลง และนั่นทำให้เขาตกใจและรู้ว่าผมกำลังหิว จากนั้นเขาก็รีบขอตัวออกจากห้องเพื่อไปเตรียมอาหารและสั่งการให้สาวใช้เข้ามาดูแลผมทันที และหลังจากที่เขาเดินออกจากห้องไปไม่นานสาวใช้ในชุดสไตล์โกธิคจำนวนมากก็เดินเข้ามาในห้องทันที
และหนึ่งในนั้นก็คือสาวใช้ที่กรีดร้องตกใจ และวิ่งหนีออกไปจากห้องก่อนหน้านี้ ผมหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ของเธอ และเมื่อสาวใช้ได้เข้ามาในห้องแล้ว พวกเธอก็แบ่งหน้าที่กันอย่างรวดเร็ว
ส่วนหนึ่งแยกตัวไปทำความสะอาดห้อง ส่วนหนึ่งเข้ามาทารุณกรรม เฮ้ย!!! ดูแลผม โดยการจับไปอาบน้ำ ขัดตัว สระผม รวมถึงแต่งตัว โดยตลอดเวลาที่ผมถูกสาวใช้เหล่านี้จับแก้ผ้า อาบน้ำ ผมรู้สึกเขินอายจนแทบมุดแผ่นดินหนี แต่จะขัดขืนก็ทำไม่ได้เนื่องจากไม่มีแรงเลยได้แต่ปล่อยเลยตามเลย จนในที่สุดจากซอมบี้ก็ถูกเปลี่ยนไปเป็นชายหนุ่มที่แสนหล่อเหลาราวกับเป็นเจ้าชายคนหนึ่ง
และเมื่อผมได้เห็นเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกอีกครั้ง มันก็ทำให้ผมต้องตกตะลึงในความหล่อของตัวเอง ทั้งรูปร่างหน้าตา และเสื้อผ้าหน้าผม ทำไมมันถึงได้อลังการดาวล้านดวงอย่างนี้ หากเป็นชาติที่แล้วผมคงไม่มีโอกาสได้สวมใส่ชุดสวยๆ หรูๆ แพงๆ อย่างนี้แน่นอน
และเมื่อสาวใช้ได้ทำความสะอาดห้องพร้อมกับแปลงโฉมให้ผมเรียบร้อยแล้ว พวกเธอก็ค่อยๆ ทยอยเดินออกจากห้อง โดยเหลือไว้เพียงแค่สองคนเท่านั้นนั่นก็คือสาวใช้คนเดิมที่เจอผมเป็นคนแรก และสาวใช้อีกคนที่ดูเงียบขรึมและดูมีสติมากกว่า โดยพวกเธอทั้งสองคนมีหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลือและดูแลผมนั่นเอง
ผ่านไปสักพักหลังจากที่สาวใช้กลุ่มใหญ่ได้เดินออกไปจากห้อง ไม่นานพี่ชายของผมก็ย้อนกลับมาหาผมอีกครั้งพร้อมกับยกถาดอาหารที่ประกอบไปด้วยซุปร้อนๆ และน้ำชาอุ่นๆ ที่กำลังส่งกลิ่นหอมหวนออกมานำมาวางไว้ที่โต๊ะริมหน้าต่าง จากนั้นเขาก็เดินเข้ามาพยุงตัวผมให้เดินไปที่โต๊ะตัวดังกล่าวทันที
และเมื่อผมเดินมาถึงโต๊ะทานข้าวนี้เรียบร้อยแล้ว ผมไม่รีรอซดซุปร้อนๆ เข้าปากทันที โดยในระหว่างที่ผมกำลังทานซุปอยู่นั้น พี่ชายของผมก็เอาแต่จ้องมองมาที่ผมอย่างไม่ละสายตา เมื่อเขาเห็นว่าผมทานซุปเสร็จแล้ว เขาก็ค่อยๆ รินน้ำชาที่กำลังอุ่นพอดี พร้อมกับยื่นมาให้ผมทันที
“อลัน น้องจำอะไรไม่ได้จริงๆ เหรอ”
หลังจากพี่ชายของผมเห็นว่าผมดื่มน้ำชาเสร็จแล้ว พี่ชายผู้แสนดีคนนี้ก็ถามคำถามเดิมออกมาอีกครั้งอย่างมีความหวัง
“ครับ” ผมตอบ จากนั้นก็หันหน้าออกไปมองวิวนอกหน้าต่างทันที พร้อมกับพยายามคิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาของเจ้าของร่างนี้ แต่มันก็ไม่สามารถจำอะไรได้เลย
“พี่ช่วยเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาให้น้องได้รู้หน่อยได้ไหมครับ เผื่อน้องจะจำอะไรได้บ้าง” ผมตัดสินใจเรียกแทนตัวเองว่า ‘น้อง’ หลังจากที่เห็นว่าพี่ชายของผมพยายามดูแลเอาใจใส่ผมเป็นอย่างดี
เพราะหลังจากที่ผมพยายามคิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาอยู่นานแต่มันก็คิดไม่ออก ดังนั้น ผมจึงตัดสินใจหันหน้ากลับมาถามพี่ชายของผมแทนเพราะอย่างน้อยผมก็จะได้รู้ว่าก่อนหน้าที่ผมจะมาอยู่ในร่างนี้เจ้าของร่างคนเก่านั้นเป็นใครและเป็นคนแบบไหน
“ได้ ไม่มีปัญหา ว่าแต่จะเริ่มเล่าตรงไหนดีล่ะเนี่ย” พี่ชายสุดหล่อของผมแสดงสีหน้าครุ่นคิด เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นเล่าเรื่องราวของผมจากตรงไหนดี
“งั้นพี่เริ่มเล่าจากเรื่องใกล้ตัวก่อนดีกว่า น้องรู้ไหมว่าน้องชื่ออะไร” พี่ชายของผมถามคำถามแรกออกมา
“ครับ ‘อลัน’ ใช่ไหมครับ” ผมตอบ และนี่ก็เป็นสิ่งเดียวที่ผมได้รู้เกี่ยวกับตัวเอง หลังจากที่ผมได้ฟื้นสติขึ้นมา และที่ผมรู้ก็เพราะว่าพี่ชายที่อยู่ตรงหน้านี้มักจะเรียกชื่อของผมออกมาเสมอนั่นเอง
“ใช่แล้ว แล้วน้องรู้ไหมว่า ตัวน้องมีความสำคัญยังไง” คำถามที่สองถูกถามออกมา และในครั้งนี้มันก็ทำให้ผมนิ่งอยู่นาน
‘ถามว่า “ผมมีความสำคัญยังไง” อย่างนั้นเหรอ ถ้าผมตอบว่าเป็นลูกที่ดีของพ่อแม่ เป็นน้องที่ดีของพี่ แบบนี้มันจะใช่คำตอบที่ถูกต้องไหมนะ’ ผมคิดในใจ และเมื่อพี่ชายของผมได้เห็นสีหน้าที่กำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดของผม เขาก็หัวเราะเบาๆ พร้อมกับพูดประโยคที่ทำเอาผมถึงกับอึ้ง
“อลันน้องคือ ‘จอมเวทศักดิ์สิทธิ์’”
“เฮ้ย!!!” ผมอุทานพร้อมกับคิดว่า ‘จอมเวทศักดิ์สิทธิ์’ มันคืออะไร และภายในหัวของผมตอนนี้มันกำลังปั่นป่วนแบบสุดๆ และก่อนที่ผมจะคิดอะไรเพ้อเจ้อไปมากกว่านี้ พี่ชายของผมก็ตัดสินใจพูดต่อ
“น้องคือจอมเวทศักดิ์สิทธิ์ ชายหนุ่มที่ได้รับความรักและความเมตตาจากพระเจ้ามากกว่าใครๆ และนั่นทำให้น้องมีเวทมนตร์พิเศษอย่างที่คนอื่นไม่มี ‘เวทมนตร์ปากกาศักดิ์สิทธิ์’ เวทมนตร์ที่ทำให้น้องสามารถวาดหรือเขียนอะไรก็สามารถสร้างมันให้เป็นความจริงได้ นอกจากนี้ภายในร่างกายยังมีปริมาณเวทมนตร์อยู่อย่างมหาศาล
และด้วยความสามารถของเวทมนตร์พิเศษประกอบกับปริมาณเวทมนตร์ที่มีอยู่ในร่างกายอย่างมหาศาล มันจึงทำให้น้องถูกยกย่องให้เป็น ‘จอมเวทศักดิ์สิทธิ์’ แห่งราชอาณาจักรเวเนเซียแห่งนี้ยังไงล่ะ”
‘เฮ้ย!!! เวทมนตร์อย่างนั้นเหรอ แสดงว่าที่นี่มันไม่ใช่โลกใบเดิมใช่ไหม แต่ถึงขนาดที่ดวงวิญญาณที่น่าจะตายไปแล้วมาสิงอยู่ภายในร่างกายนี้ได้ แสดงว่าโลกใบนี้มันคงไม่ใช่โลกใบเดิมที่เคยอยู่แล้วล่ะ’ ผมคิดในใจ
“และเมื่อมีคนรู้ความสามารถทางด้านเวทมนตร์ของน้อง มันก็ทำให้ราชอาณาจักรที่ตั้งตนเป็นศัตรูกับอาณาจักรเวเนเซียต่างตกอยู่ในสภาวะหวาดกลัว เพราะพวกเขาต่างกังวลเกี่ยวกับเวทมนตร์พิเศษที่สามารถวาดหรือเขียนอะไรก็สามารถสร้างของสิ่งนั้นออกมาได้
ว่าสักวันหนึ่งน้องจะวาดอาวุธที่ทรงพลังออกมาและใช้อาวุธเหล่านี้ต่อสู้กับพวกเขาที่ตั้งตนเป็นศัตรูกับพวกเรา และทำให้พวกเขาลำบาก ดังนั้น เพื่อเป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม พวกเขาจึงรวมกลุ่มกันและวางแผนที่จะกำจัดน้องทิ้งไปยังไงล่ะ”
หลังจากที่ผมได้ฟังเรื่องราวที่พี่ชายพูด มันก็ทำให้ผมตระหนักถึงความสามารถของตัวเองได้เป็นอย่างดี เพราะถ้าจู่ๆ มีชายหนุ่มคนหนึ่งที่สามารถวาดภาพหรือเขียนอะไรก็สามารถสร้างของสิ่งนั้นขึ้นมาได้ ถ้าวันหนึ่งเขาคนนี้ได้วาดภาพ ‘ระเบิดนิวเคลียร์’ ขึ้นมาสักลูก และส่งมันไประเบิดที่ราชอาณาจักรข้างเคียง มันคงเป็นเรื่องที่น่ากลัวอย่างมากแน่ๆ
“สุดท้ายจากแผนการที่พวกเขาวางไว้ มันก็ทำให้น้องต้องตกอยู่ในสภาพนี้ยังไงล่ะ” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้พี่ชายของผมก็มีสีหน้าโกรธแค้นทันที
“เอ่อ…แล้วตอนนี้น้องอยู่ในสภาพแบบไหนเหรอครับ” ผมรู้สึกสับสนและมึนงง หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวที่พี่ชายเล่า จากนั้นผมก็สำรวจร่างกายของตัวเองอีกครั้ง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่พบความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกายของตัวเลย นอกจากความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นตอนที่ขยับตัวเท่านั้น
‘เฮ้ย!!!…หรือว่าถ้าขยับตัวมากๆ จะทำให้ตายเร็วขึ้น!’ และเมื่อผมคิดมาถึงตรงนี้ ร่างกายของผมก็แข็งทื่อทันที และก่อนที่ผมจะเข้าใจผิดไปมากกว่านี้ พี่ชายของผมก็เฉลยออกมาซะก่อน
“น้องถูกวางยาพิษที่มีชื่อว่า ‘มายารัตติกาล’ โดยยาพิษชนิดนี้มีคุณสมบัติทำให้ปริมาณเวทมนตร์ที่อยู่ในร่างกายลดลง จนมันทำให้น้องไม่สามารถใช้เวทมนตร์พิเศษได้อีก นอกจากนี้ผลของยาพิษยังสร้างความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานให้กับน้อง โดยพิษนี้จะกำเริบในทุกๆ วันที่เป็นคืนเดือนมืด และจากการกำเริบของยาพิษครั้งล่าสุด มันก็ทำให้น้องไม่ได้สติตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา”
“เฮ้ย!!!” ผมยกมือขึ้นมากุมหน้าอกทันที ไม่แน่ว่าผลจากการกำเริบของยาพิษในครั้งนั้น อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เจ้าของร่างกายนี้ตายจากโลกใบนี้ไป และตัวผมได้เข้ามาอยู่แทนที่เจ้าของร่างกายคนเก่า
‘ปังงง!!!’
และในระหว่างที่ผมกำลังพูดคุยอยู่กับพี่ชายเกี่ยวกับผลของยาพิษมายารัตติกาลอยู่นั้น จู่ๆ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอีกครั้งอย่างแรง โดยผู้มาเยือนในครั้งนี้เป็น ชายและหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งที่มีสีหน้าเป็นห่วงผมอย่างชัดเจน
สำหรับชายวัยกลางคนคนนี้เป็นคนที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและมีอายุอยู่ในช่วง 30 – 40 ปี ส่วนผู้หญิงวัยกลางคนที่ตามมาด้วยดูสง่างามและให้ความรู้สึกที่อบอุ่นเช่นเดียวกัน และด้วยความเร่งรีบในขณะที่ผู้หญิงคนนี้วิ่งเข้ามาหาผม มันก็ทำให้กระโปรงหรูหราฟูฟ่องที่เธอได้สวมใส่อยู่ถึงกับปลิวไสว
“อลัน ลูกฟื้นแล้ว!!!”
