บท
ตั้งค่า

7 เหตุผลของความบาดหมาง

เช้าวันถัดมา

“อ่ะ กินซะคุณชาย” ฉันเดินมาถึงเก้าอี้ที่ตะวันนั่งอยู่ในสวนสาธารณะ ก่อนจะยื่นนมที่มีโพสอิทรูปยิ้มกับขนมปังให้เขาดั่งเช่นทุกๆ วัน แต่วันนี้มันเปลี่ยนไป ตรงที่เขาหันมายิ้มและรับมันไว้อย่างว่าง่าย

แอร๊ยยยย รอยยิ้มน้อยๆ แบบนี้ดีต่อใจชะมัด

“ขอบใจ” เขาพูดขึ้นพร้อมกับแกะนมและขนมปังกิน ฉันจึงทรุดตัวนั่งลงข้างๆ เขาด้วยท่าทางสบายๆ ก่อนจะเอนตัวและเงยหน้าให้ศีรษะพาดวางไปกับพนักพิงของเก้าอี้พร้อมหลับตาพริ้มอย่างสบายใจ

“นายอย่ายิ้มแบบนี้บ่อยนักสิ ฉันไม่ชิน” ฉันลืมตาขึ้นก่อนจะเอียงหน้าไปทางเขา

“?” ตะวันไม่ได้พูดอะไร ยังคงตั้งอกตั้งใจกินของที่ฉันให้อยู่ เขาเพียงแค่หันมาทำหน้างงๆ ใส่ฉันเฉยๆ

“ปะ ไปโรงเรียนกันเถอะ” ฉันไม่ได้อธิบายอะไรต่อ เพียงแค่ยิ้มเอ็นดูให้เขาเล็กน้อย ก่อนจะชวนเขาไปโรงเรียนเนื่องจากตอนนี้เป็นเวลาที่สมควรแล้ว

ฟิ้วว พรึ่บ!

เราสองคนเดินกันมาเรื่อย ๆ จนมาเกือบถึงหน้าประตูโรงเรียน อยู่ดีๆ ก็มีนักเรียนของโรงเรียนเราขี่จักรยานพุ่งมาจากทางด้านหลังด้วยความเร็วแสง ฉันที่เดินอยู่ทางด้านนอกจึงเกือบถูกเฉี่ยวชน แต่โชคดีที่ตะวันดึงฉันออกจากรัศมีการเฉี่ยวชนนั้นได้ทัน

“ทำไมเธอไม่ค่อยระวังเลย” ตะวันดุฉันพร้อมทำสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย ก่อนจะดึงฉันให้เข้าไปเดินทางด้านในส่วนตัวเขาออกมาเดินด้านนอกแทน

“ค่ะๆ ต่อไปนี้ฉันจะพยายามระมัดระวังให้มากขึ้นค่ะคุณพ่อ โอเคมั้ยคะ? เลิกทำหน้ายักษ์ใส่ฉันได้แล้ว” ฉันย่นหน้าใส่เขาเล็กน้อย ตะวันหันมามองหน้าฉันแล้วก็หันกลับไปส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ ก่อนจะก้าวเท้าเดินต่อโดยมีฉันเดินตามไปติดๆ

เมื่อมาถึงห้องเรียนฉันก็รีบคว้าข้อมือตะวันแล้วเดินดิ่งไปหายัยแอลที่โต๊ะเรียนของนางทันที โดยมียัยมินที่ฉันได้โทรไปเล่าเรื่องความคืบหน้าในความสัมพันธ์ของฉันกับตะวันให้ฟังแล้วเมื่อคืนนี้เดินตามมาสมทบแบบไม่ห่าง

“ไฮแอล~ ฉันมาทวงคำสัญญาจ่ะ” ฉันเปิดประเด็นทันทีโดยไม่รอช้า ยัยแอลที่กำลังนั่งเม้าท์มอยกับเพื่อนๆ ของนางอยู่เงยหน้าขึ้นมามองฉันแบบเหวอๆ ฉันจึงดึงตะวันที่ยืนอยู่ทางข้างหลังฉันขึ้นมายืนข้างหน้าแทน ก่อนที่ฉันจะชะโงกหน้าจากทางด้านหลังของตะวันขึ้นมาพูดต่อ “นี่เพื่อนใหม่ฉันเอง ชื่อตะวัน” พูดจบฉันก็ยิ้มอย่างสวยๆ เริ่ดๆ แบบผู้มีชัยชนะใส่นาง

“เอ่อ…” ยัยแอลมีสีหน้าแย่มาก คงรู้สึกกลัวว่าจะอับอายที่ต้องคลานเข่าเข้ามาขอโทษฉัน นางมองหน้าเพื่อนๆ ในกลุ่ม และหันมองเพื่อนในห้องที่กำลังให้ความสนใจพวกเราอย่างเลิ่กลั่ก

“หึ! เธอแค่เล่าเหตุผลที่เธอเกลียดฉันมาก็พอไม่ต้องคลานเข่ามาขอโทษฉันก็ได้ ฉันเป็นผู้หญิงสวยที่มีจิตใจงดงามไม่ได้เจ้าคิดเจ้าแค้นขนาดนั้น โอเคม๊ะ?” ฉันที่รู้สึกสงสารนางจึงเอ่ยข้อเสนอใหม่ขึ้นมา พร้อมกับเดินขึ้นมาอยู่ข้างหน้าตะวันเหมือนเดิม

“ขอบใจ! งั้นเดี๋ยวพักกลางวันเจอกันที่สวนข้างโรงเรียน” ยัยแอลพูดจบก็สะบัดหน้าหนีฉัน หันไปทำท่าว่าคุยกับเพื่อนในกลุ่มต่อ ฉันจึงเดินกลับมาที่โต๊ะตัวเองทันทีโดยมียัยมินกับตะวันเดินตามมาไม่ห่าง

“ฉันยอมให้เธอเอาฉันไปเป็นตัวตลกได้แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น เข้าใจมั้ย?” เมื่อทุกคนนั่งลงที่โต๊ะตัวเองแล้ว ตะวันก็พูดขึ้นมาทันทีด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจเล็กน้อย

“ค่าๆ ขอบคุณมากนะคะสำหรับความกรุณาที่ไม่ทำให้ฉันหน้าแตก” ฉันหันไปทำหน้ากระแหนะกระแหนใส่เขาเล็กน้อย ก่อนจะหันมาเม้าท์กับยัยมินต่อแบบออกรสออกชาติ “แกเห็นหน้านางใช่มั้ย ถอดสีไปเลย”

“ใช่ๆ ตลกชะมัด สาวสวยประจำห้องที่ไม่เคยเสียหน้าให้ใคร ต้องมาหน้าแหกเพราะแกกับตะวัน ฮ่าๆ” ยัยมินหัวเราะออกมาไม่ดังมากนักด้วยความสะใจแทนฉัน

“นางคงคิดไม่ถึงว่าฉันจะเป็นเพื่อนกับตะวันได้ ใช่มั้ยตะวัน” ประโยคหลังฉันหันมาขอความคิดเห็นกับตะวัน ในขณะที่เขากำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่เงียบๆ โดยไม่สนใจใครทั้งนั้นแม้แต่ฉันก็ตาม เข้าสู่โหมดโลกส่วนตัวอีกละ

“อย่าว่าแต่ยัยแอลเลย ฉันก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน แหะๆ” ยัยมินพูดพลางหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะหันไปมองตะวันด้วยสายตาปลื้มปริ่มและพูดขึ้นต่อ “ในที่สุดคนหล่อก็เป็นเพื่อนกับเรา”

“เรา? เดี๋ยวๆ เขาไปเป็นเพื่อนกับแกตอนไหนวะยัยมิน” ฉันทวนคำของยัยมินซ้ำ ก่อนจะทำสีหน้าแดกดันใส่นาง

“แหมมม เพื่อนแกก็เหมือนเพื่อนฉันแหละ เนาะตะวัน” ยัยมินตอบฉันเสร็จก็หันไปยิ้มให้ตะวันพร้อมทำสีหน้าขอความเห็นใจ

“อืม” ตะวันเงยหน้าจากหนังสือขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะตอบยัยมิน นั่นทำให้ยัยมินกระดี๊กระด๊าเป็นการใหญ่

“กรี๊ดดด เห็นมั้ยๆ” ยัยมินพูดพลางเขย่าแขนฉันด้วยความดีอกดีใจที่ตะวันคุยด้วย

“เออ จ้าๆ สำรวมหน่อยมั้ยแก เกินงามไปละ” ฉันพูดจบอาจารย์คาบแรกก็เข้ามาสอนพอดี พวกเราจึงจบบทสนทนาเพียงเท่านี้และเริ่มตั้งใจเรียน

ถึงเวลาพักกลางวัน ฉันชวนตะวันลงมากินข้าวด้วยกันที่โรงอาหาร ตอนแรกเขาทำท่าทีว่าจะไม่ยอมลงมาให้ได้ แต่พอฉันบอกเขาว่าถ้าเขาไม่ยอมไปกินข้าวด้วยฉันก็จะไม่กินเหมือนกัน เขาจึงยอมทำตามสิ่งที่ฉันต้องการอย่างว่าง่าย

“รินๆ” ในขณะที่ฉัน ตะวัน และยัยมินกำลังเดินลงบันไดเพื่อจะไปโรงอาหาร ก็มีเสียงใสๆ เรียกฉันมาจากข้างบน ฉันหยุดเดินและแหงนหน้าขึ้นไปมองทางต้นเสียง ก็พบว่าเป็นเอวาเพื่อนห้อง 2 ที่ฉันเคยมีโอกาสได้ช่วยเธอไว้จากพวกผู้ชายที่ชอบมารังแกเธอ กำลังเดินลงบันไดมาหาฉันพร้อมถุงอะไรสักอย่างใบไม่ใหญ่มากนัก

“อ้าว เอวา ไม่ค่อยได้เจอกันเลยช่วงนี้ เป็นไงบ้างยังโดนพวกทุเรศรังแกอยู่หรือป่าว?” เมื่อเอวาเดินมาหยุดอยู่ที่บันไดขั้นเดียวกับฉัน ฉันจึงเอ่ยทักทายเธอทันทีด้วยรอยยิ้ม

“ไม่แล้วจ่ะ รอบที่แล้วที่รินช่วยเอวาไว้พวกนั้นก็ไม่กล้ายุ่งกับเอวาอีกเลย คงจะกลัวว่ารินจะตามไปเอาคืนให้ทีหลังน่ะ” เธอตอบด้วยรอยยิ้มที่สดใส

เอวาเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ แลดูบอบบางมาก น่าทะนุถนอมชะมัด ถ้าฉันเป็นผู้ชายนะฉันก็คงจะตามจีบเธอนี่แหละ หน้านิดจมูกหน่อย ตัวก็เล็กๆ อุ้มเข้าเอวได้เลย 555

“อ้อ! แล้ววันนี้มาหาเรามีอะไรหรือป่าว?” ฉันเอ่ยถามด้วยความสงสัย เพราะโดยปกติแล้วเราจะเจอกันแค่ตอนเดินผ่านเฉยๆ เวลาเดินผ่านเราก็จะยิ้มให้กันเท่านั้น

“อ๋อ พอดีเอวาหัดทำขนมน่ะ เลยเอามาให้รินลองชิมดูว่าพอได้มั้ย” เอวาพูดจบก็ยื่นถุงที่เธอถือติดมือมาด้วยให้ฉัน ฉันรับไว้ก่อนจะเปิดถุงดูก็พบว่าเป็นมาการองที่ฉันชอบกิน ก่อนจะยื่นให้ยัยมินที่ดูสนอกสนใจของในถุงนั้นถือแทน

“ขอบคุณมากนะ จะกินให้หมดเลยจ่ะ”

“งั้นเอวาไปก่อนนะ” เธอพูดจบก็ยกมือโบกลาก่อนจะหันหลังกลับเพื่อเดินจากไป แต่จังหวะที่เธอกำลังหันหลังกลับนั้นเธอดันสะดุดขาตัวเองทำให้เกิดภาพสโลโมชั่นเธอกำลังจะร่วงบันได ฉันที่ร่างกายไปไวกว่าความคิดจึงรีบเอื้อมมือเพื่อจะไปคว้ามือเธอไว้แต่ดันมีคนที่ไวกว่า ตะวันเอื้อมมือไปคว้าเอวาไว้ได้แต่เนื่องจากรัศมีการเอนของเธอมันมากเกินไป ทำให้ทั้งสองคนร่วงลงบันไดไปด้วยกันทั้งคู่ โดยมีเอวานอนทับอยู่บนตัวตะวัน

“เห้ย!!” ฉันกับยัยมินตะโกนขึ้นพร้อมกันก่อนจะวิ่งลงไปดูทั้งสองคนที่นอนกองกันอยู่บนพื้น ฉันรีบคว้าตัวเอวาขึ้นมาดูว่าเธอไม่เป็นไร ส่วนยัยมินก็ไปประคองตะวันให้ลุกนั่ง

“เอวา ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” ฉันเอ่ยถามพลางจับเธอหมุนไปหมุนมาเพื่อดูร่องรอยการบาดเจ็บ

“ไม่เป็นอะไรค่ะ พอดีเขาเอาตัวเอวาไว้ข้างบน” เอวามองไปยังตะวันที่นั่งอยู่บนพื้น

“เห้ยแก ตะวันเลือดออก” ยัยมินร้องเสียงหลงเมื่อเห็นว่ามีน้ำสีแดงไหลออกมาจากศีรษะของตะวัน ฉันจึงรีบพุ่งไปดูตะวันทันที

“ไปห้องพยาบาลกัน นายลุกไหวไหม?” ฉันเอ่ยถามตะวันด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ เมื่อเห็นตะวันพยักหน้าฉันจึงค่อยๆ ประคองเขาลุกขึ้นโดยมียัยมินประคองอีกด้าน เอวาทำท่าจะเดินเข้ามาช่วยฉันจึงห้ามเธอไว้ เนื่องจากตัวเธอเล็กนิดเดียวและเธอก็พึ่งตกบันได ไม่รู้ว่าเธอจะบาดเจ็บด้วยหรือป่าว “เอาวาไม่ต้อง เธอรีบไปห้องพยาบาลก่อนเลย ไปให้พยาบาลดูก่อนว่าตัวเองไม่ได้บาดเจ็บ” เอวาทำท่าใช้ความคิดเล็กน้อยๆ ก่อนจะพยักหน้ารับและเดินไปทางห้องพยาบาลทันที

ฉันกับยินมินค่อยๆ พาตะวันมาที่ห้องพยาบาล เมื่อมาถึงพยาบาลก็รีบเข้ามาทำแผลให้ทันทีโดยไม่ได้ถามอะไร คาดว่าเอวาน่าจะเล่ารายละเอียดให้ฟังแล้ว ส่วนยัยมินก็อาสาไปซื้อนมกับขนมปังมาให้ เพราะเห็นว่ามันกินเวลาพักกลางวันมามากแล้ว และอีกอย่างตะวันน่าจะออกไปกินข้าวไม่ได้แน่ๆ

“นายเป็นไงบ้าง เจ็บมากมั้ย?” เมื่อพยาบาลทำแผลให้ตะวันเสร็จ ฉันก็ปรี่เข้าไปดูเขาทันทีด้วยความเป็นห่วง ตอนแรกฉันไม่คิดว่าเขาจะเป็นอะไรจึงไม่ได้สนใจนัก ใครจะไปรู้ล่ะว่าผู้ชายที่ดูแข็งแรงขนาดนี้ตกบันได 3 ขั้นแล้วหัวจะแตก ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเป็นฉันที่ลงไปนอนแทนเขา นอกจากหัวจะแตกฉันว่ากระดูกฉันอาจหักด้วยก็ได้

“อืม นิดหน่อย” ตะวันตอบพลางเอามือจับบริเวณท้ายทอยด้านหลังที่เป็นแผล

“ขอโทษนะคะ เป็นเพราะเอวาแท้ๆ เลย ถ้าหากระวังมากกว่านี้คุณคงไม่เจ็บตัว” เอวาเอ่ยขอโทษด้วยสีหน้าเหมือนจะร้องไห้

“…” ตะวันมองเธอเล็กน้อย แล้วก็หันกลับมาสนใจแผลตัวเองโดยไม่มีวี่แววว่าจะพูดอะไรตอบกลับ

“เอ่อ…ไม่เป็นไรหรอกเอวา มันเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นหรอกเน๊อะ อย่าคิดมากๆ” ฉันตอบแทนตะวันไปเพราะกลัวจะเสียมารยาท ก่อนจะยิ้มแห้งๆ ให้เอวา

“แต่ยังไงก็ต้องขอโทษด้วยนะคะ แล้วก็ขอบคุณมากๆ เลยค่ะที่ช่วยเอวาไว้” เธอก้มหัวขอโทษและขอบคุณอย่างรู้สึกผิดก่อนจะพูดขึ้นต่อ “งั้นเอวาขอตัวก่อนนะคะ”

“จ่ะ แล้วเจอกันใหม่นะเอวา” ฉันตอบพลางโบกมือลาเธอ เมื่อเอวาเดินออกจากห้องไปแล้วฉันจึงหันมาหาตะวันแทน “ฉันกำลังจะดึงเธอไว้ได้แล้วแท้ๆ นายมาตัดหน้าฉันทำไมน่ะ ความจริงนายอาจจะไม่ต้องเจ็บตัวเลยด้วยซ้ำเพราะว่ามืออีกข้างฉันจับราวบันไดอยู่ ยังไงก็ไม่น่าจะร่วงลงไปหรอก”

“ฉันไม่อยากให้เธอเจ็บตัว” ตะวันเงยหน้าขึ้นมาสบตาฉันหลังพูดจบ แววตาของเขาสั่นระริกเหมือนคนกำลังกังวลอะไรสักอย่าง “ถ้าหากฉันปล่อยให้เธอดึงผู้หญิงคนนั้นไว้ เธออาจจะร่วงลงไปและบาดเจ็บได้”

“…” ฉันนิ่งอึ้งกับคำตอบของเขา ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะคิดหรือรู้สึกแบบนี้กับฉัน ตอนนี้หัวใจฉันมันสั่นระรัวเหมือนมีคนมาตีระฆังด้านใน เราสบตากันได้สักพักฉันก็เบือนหน้าหนีเพราะความเขินอาย รู้สึกร้อนผะผ่าวบริเวณแก้มทั้งสองข้าง ฉันจึงยกมือขึ้นมาจับแก้มตัวเองไว้เพื่อไม่ให้เขาเห็นว่าฉันกำลังหน้าแดง

ฉันไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองหรอกนะ แต่นี่เขากำลังบอกฉันว่าที่เขาช่วยเอวาเพราะว่ากลัวฉันจะเจ็บตัวใช่มั้ย? เขายอมเจ็บตัวแทนฉันหรอ? โอ้แม่เจ้า! ทำไมเขาต้องเป็นห่วงฉันขนาดนี้ด้วย

“นมกับขนมปังมาแล้วจ้า” ยัยมินที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่วิ่งเข้ามาในห้องพยาบาลเพื่อทำลายบรรยากาศแปลกๆ แต่เมื่อนางเห็นท่าทีฉันแปลกไปจึงทำหน้าสงสัยและเอ่ยขึ้น “แกเป็นอะไรหรือป่าวริน ทำไมดูหน้าแดงๆ”

“ป่าวนี่ ฉันปกติดี ปกติมากๆ เลยแหละ” ฉันตอบอย่างเลิ่กลั่ก ก่อนจะหันไปมองหน้าตะวัน ตอนนี้สายตาเขาดูกรุ่มกริ่มอย่างบอกไม่ถูก อร๊ายยย ทำไมนายต้องทำสายตาแบบนั้นด้วย

“หรอ? แต่แกดูแปลกจริงๆ นะ” ยัยมินยังไม่ละความสงสัย ฉันจึงรีบคว้านมกับขนมปัง 2 ชุดที่นางถือไว้มาทันที และยัดมันใส่มือตะวันไปชุดหนึ่ง

“อ่ะรีบกินซะ เดี๋ยวฉันต้องรีบไปหายัยแอลที่สวนข้างโรงเรียนอีก” ฉันบอกตะวันก่อนจะแกะของตัวเองกินอย่างตั้งอกตั้งใจเหมือนคนลนลานยังไงไม่รู้ ส่วนเขาเมื่อเห็นฉันเริ่มกินเขาจึงเริ่มแกะของตัวเองกินบ้าง หลังจากที่พวกเรากินเสร็จแล้วฉันจึงเอ่ยถามถึงอาการของตะวัน “นายไหวหรือป่าว จะนอนพักที่ห้องพยาบาลก่อนมั้ย? เดี๋ยวฉันบอกครูให้”

“ไม่อ่ะ ฉันไม่เป็นไร” ตะวันพูดพลางจับแผลตัวเองเล็กน้อย

“งั้นฉันกับยัยมินไปหายัยแอลก่อนนะ นายจะขึ้นห้องเลยหรือป่าว”

“ไม่ ฉันจะไปด้วย”

“โอเค ปะ” พูดจบฉันก็ประคองตะวันลงจากเตียง พอเท้าเขาแตะพื้นแล้วดูเหมือนจะทรงตัวได้ฉันจึงปล่อยให้เขายืนเอง แต่อยู่ดีๆ เขาก็มาจับชายเสื้อด้านหลังฉันไว้เฉยเลย

“ขอจับหน่อย” เขาคงเห็นสีหน้าฉันแปลกใจจึงเอ่ยบอกแต่ก็ไม่ได้อธิบายว่าเพราะอะไร ฉันก็ขี้เกียจจะถามหาเหตุผลกับเขาเพราะเขาแค่จับไว้เฉยๆ จึงพนักหน้าตอบรับและเดินออกจากห้อง โดยมีสายตากรุ่มกริ่มของยัยมินมองตามไม่ห่าง

เมื่อเดินมาถึงสถานที่นัดพบก็พบว่ายัยแอลนั่งรออยู่คนเดียวโดยไร้เงาของกลุ่มเพื่อนๆ นาง ฉันจึงเดินตรงเข้าไปหานางทันทีโดยมียัยมินและตะวันเดินตามมาติดๆ

“ให้คนอื่นออกไปห่างๆ หน่อย ไม่งั้นฉันไม่เล่า” เมื่อฉันเดินเข้ามาใกล้ยัยแอลก็เปิดฉากพูดทันที

“ไม่ได้ ฉันกับยัยมินไม่เคยมีความลับต่อกัน ส่วนตะวันเขาก็ไม่เอาไปพูดต่อที่ไหนหรอก เธอก็น่าจะรู้ดี” ฉันปฏิเสธทันควัน เพราะถึงแม้จะให้ยัยมินกับตะวันออกไปจากรัศมีการได้ยิน แล้วพอฉันกับยัยแอลคุยกันจบยัยมินก็ต้องมาบังคับขู่เข็นให้ฉันเล่าอยู่ดี เพราะฉะนั้นอยู่ฟังมันให้ครบองค์นี่แหละ

“จิ๊! เธอนี่มัน…” ยัยแอลทำเสียงจิ๊จ๊ะไม่พอใจ

“จะเล่า หรือจะคลานเข่ามาขอโทษฉัน ให้เลือก” ฉันจึงจัดท่าไม้ตายใส่นางทันทีเพื่อตัดบท

“ก็ได้ๆ ฉันเล่า” ยัยแอลสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะหันมามองหน้าฉันเหมือนลำบากใจที่จะพูด ก่อนจะยอมพูดออกมา “พี่ภูมิ เขาเป็นต้นเหตุที่ทำให้ฉันเกลียดเธอ”

“ห๊ะ! พี่ภูมิ? เขาเกี่ยวอะไรกับฉัน” ฉันอุทานอย่างตกใจกับคำตอบ เขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับฉันสักหน่อย แล้วทำไมอยู่ๆ ถึงเป็นฉนวนความเกลียดชังระหว่างฉันกับยัยแอลได้

“เกี่ยวสิ ก็พี่ภูมิเขาชอบเธอ เขาถึงปฏิเสธฉันยังไงล่ะ” ยัยแอลหันมาตอบฉัน ดวงตาของนางมีน้ำใสๆ เอ่อออกมา

“ห๊ะ!!” ฉันกับยัยมินอุทานพร้อมกันก่อนจะหันมองหน้ากันด้วยความตกใจ จะมีก็แต่ตะวันที่ยืนฟังเงียบๆ ด้วยสายตาที่ว่างเปล่า

“ทีนี้ก็รู้แล้วสินะว่าฉันต้องอับอาย และเสียใจแค่ไหน ที่ถูกผู้ชายที่แอบรักมาตลอด 2 ปีปฏิเสธ ด้วยเหตุผลที่ว่าเขาชอบเพื่อนของฉันไม่ใช่ฉันน่ะ” น้ำตาที่คลออยู่ตอนแรกไหลลงมาอาบแก้มของยัยแอล นั่นทำให้ฉันรู้สึกปวดใจอย่างบอกไม่ถูก ฉันไม่เคยรู้เลยจริงๆ ว่าฉันเป็นต้นเหตุที่ทำให้นางโดนปฏิเสธในวันนั้น

“ฉันขอโทษ แต่ฉันไม่รู้จริงๆ ว่าพี่เขาชอบฉัน เราสองคนไม่เคยมีความสัมพันธ์อะไรที่มากกว่ารุ่นพี่กับรุ่นน้องเลยนะ ฉันเคารพเขาเพราะเขาเป็นคนดี มีน้ำใจ เคยช่วยเหลือฉันก็แค่นั้น” ฉันพยายามอธิบายในสิ่งที่รู้สึก แต่เหมือนยัยแอลจะไม่ฟัง

“ไม่! ฉันไม่ให้อภัยเธอ ชาตินี้ทั้งชาติ อย่าหวังจะมาญาติดีกันเลย ยัยศัตรูหัวใจ!” ยัยแอลพูดจบก็ลุกออกจากเก้าอี้ และเดินปาดน้ำตาผ่านฉันไปทันที

ฉันมองหน้ายัยมินด้วยความเหนื่อยใจกับเหตุการณ์ที่พึ่งเกิดขึ้น ก่อนจะหันไปมองตะวันที่ยังคงนิ่งเฉยกับสิ่งที่เห็น เมื่อไม่รู้จะยืนอยู่ตรงนี้ต่อทำไม จึงตัดสินใจพากันเดินกลับห้องเรียนเพราะว่าใกล้เวลาจะเข้าเรียนคาบแรกของช่วงบ่ายพอดี

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel