บท
ตั้งค่า

6 อ้อมกอด

กริ๊งงงงงง

“เล่ามาเดี๋ยวนี้” พอเสียงกริ่งพักกลางวันดังขึ้น และพวกเราลุกออกจากห้องได้เท่านั้นแหละยัยมินก็พุ่งเข้ามาประกบฉันทันที ตรงเวลาซะไม่มีเพื่อนฉัน

“ก็…” ฉันทำการเล่ารายละเอียดคร่าวๆ ที่ฉันพอจะเล่าได้ให้นางฟัง นางก็ตั้งอกตั้งใจฟังที่ฉันเล่ามาก มีทำท่ากระดี๊กระด๊าเมื่อฉันเล่าถึงฉากสะหยิวกิ๊วหัวใจด้วย

“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าที่แกเล่ามาจะเป็นคนๆ เดียวกัน” ยัยมินพูดพลางตักข้าวใส่ปาก

“ฉันก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกันว่าผู้ชายคนนี้จะมีโมเม้นอะไรแบบนี้ด้วย” ฉันพูดจบก็ยกแก้วน้ำขึ้นมาดื่ม

“เขาต้องชอบแกแน่เลย”

พรวด!

“แค่กๆๆ” ฉันถึงกับพ่นน้ำใส่หน้ายัยมินทันทีเมื่อนางพูดจบ

“ยัยเพื่อนบ้า แกมาพ่นน้ำใส่หน้าฉันทำไมเนี่ย” ยัยมินรีบเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดหน้ากับร่างกายตัวเองที่โดนฉันพ่นน้ำใส่เมื่อกี๊ทันที

“ก็แกเล่นพูดบ้าอะไรออกมาล่ะ ฉันไม่คุยกับแกแล้ว ไปล่ะ” ฉันรีบเก็บถาดอาหารของตัวเองโดยไม่ลืมที่จะหยิบนมกับขนมปังและลุกออกมาทันที ไม่ได้โกรธเพื่อนหรอกนะ แต่ฉันเขิน แอร๊ยยยย

เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูห้อง ก็พบกับผู้ชายที่ทำให้ฉันพ่นน้ำใส่หน้าเพื่อนนั่งอยู่ที่โต๊ะเรียนของตนเอง ฉันยืนคิดอะไรอยู่แปปนึงก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปหาเขา

“อ่ะ กินซะ ไม่หิวหรือไง” ฉันยื่นนมที่ไม่เคยลืมแปะโพสอิทรูปยิ้มกับขนมปังให้ตะวัน เขาหันมามองที่มือฉันก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองหน้าฉันต่อด้วยสีหน้าเหนื่อยใจ อ่ะ เริ่มมีสีหน้าใหม่ๆ เพิ่มเข้ามา 555

“…” เขาเงียบ แถมไม่รับไว้อีก ฉันจึงเอื้อมมือไปจับมือเขาขึ้นมาจากโต๊ะแล้วยัดของใส่มือเขาทันที ก่อนจะเดินไปนั่งที่โต๊ะตัวเองซึ่งอยู่ด้านหน้าเขา

“คิดซะว่าเป็นค่าตอบแทนที่ช่วยฉันไว้วันนี้ตั้ง 3 ครั้ง” ฉันพยายามพูดให้เขารับน้ำใจของฉันไว้ ก่อนจะทำตาปริบๆ ใส่เขาอีกด้วย

“…” ตะวันมองหน้าฉันแล้วทำท่าพินิจพิเคราะห์ของที่อยู่ในมือเล็กน้อย ก่อนจะพูดขึ้นเบาๆ “ทำไมต้องรูปยิ้ม?”

“ห๊ะ?” ฉันได้ยินไม่ชัดจึงหันไปถามเขาอีกรอบ

“ทำไมถึงต้องเป็นรูปยิ้มด้วย?” เขาว่าพลางดึงโพสอิทออกจากกล่องนมและชูขึ้นมาตรงหน้าฉัน

“อ๋อออ ก็…ฉันเห็นนายไม่เคยยิ้มเลยน่ะ เลยอยากให้นายยิ้มบ้าง” ฉันส่งยิ้มละมุนที่คิดว่ายิ้มแบบนี้นี่แหละน่ารักที่สุดแล้วสำหรับฉันไปให้เขา

“…” เขามองฉันอย่างเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไร ฉันจึงพูดขึ้นต่อ

“ฉันคิดว่า…ถ้าหากนายยิ้ม นายคงจะดูน่ารักไม่เบาแน่ๆ เลย”

“…”

“คงจะสดใส แล้วก็น่าเข้าหามากแน่ๆ ขนาดวันนี้ที่นายยิ้มเมื่อเช้า ฉันว่านายน่ารักมากๆ เลยแหละ ถึงจะเป็นยิ้มมุมปากก็เถอะ"

“อะแฮ่ม!” ตะวันกระแอมเบาๆ ทำให้ฉันหันไปมองหน้าเขาก็พบว่าตอนนี้หน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่ออีกแล้ว

“เวลานายเขิน ก็น่ารักเหมือนนะเนี่ย ฮิฮิ” ฉันหลุดขำออกมาเล็กน้อยทำให้ตะวันหันขวับมาจ้องหาฉันอย่างเคืองๆ ที่ไปล้อเลียนเขา

“ฉันไม่ได้เขิน” พูดจบเขาก็หันหน้าหนีก่อนจะหยิบนมขึ้นมาเจาะกินทันที จากนั้นก็แกะขนมปังกินตาม

กรี๊ดดดดดด เขายอมกินของที่ฉันให้แล้วอ่ะ ชัยชนะอยู่แค่เอื้อม

ฉันยิ้มอย่างกระหยิ่มใจที่แผนการคืบหน้า ไม่คิดว่าความพยายามที่อุตส่าห์อดทนหยดน้ำลงหินทุกวันเพื่อให้มันกร่อนจะใกล้สำเร็จแล้ว เหลืออีกแค่อย่างเดียว เหลือให้เขายอมพูดออกมาว่ารับฉันเป็นเพื่อนเขาแล้ว

กริ่งงงงง

เสียงกริ่งเลิกเรียนดังขึ้นฉันก็รีบเก็บกระเป๋าทันที วันนี้ฉันต้องรีบไปห้องสมุดก่อนกลับบ้าน เพื่อไปยืมหนังสือดาราศาตร์มาทำรายงานเรื่องจักรวาลส่งอาจารย์ในอีก 1 อาทิตย์ข้างหน้า

“ฉันไปก่อนนะแก” ฉันบอกยัยมินพร้อมกับหยิบกระเป๋าขึ้นมาสะพาย ก่อนจะหันไปบอกกับตะวันที่กำลังเก็บของอยู่ “ตะวัน เย็นนี้ฉันน่าจะเดินกลับสวนสาธารณะเป็นเพื่อนนายไม่ได้นะ พอดีต้องไปทำธุระต่อ”

“…” ไม่มีเสียงตอบรับจากบุคคลที่ฉันคุยด้วยอีกแล้วจ้า

“ชิ! พ่อคนเย็นชา” ฉันบ่นอุบอิบก่อนจะหันไปโบกมือลายัยมินแล้วเดินออกจากห้องไป

ฉันเดินตรงไปที่ห้องสมุดก่อนจะไปยังโซนหนังสือที่ฉันต้องการ ทำการลื้อๆ ค้นๆ หาๆ ได้สักพักก็เจอเข้ากับหนังสือที่ฉันต้องการประมาณ 2-3 เล่ม ฉันจึงรีบเดินเอาไปให้คนดูแลห้องสมุดลงบันทึกทันที หลังจากนั้นฉันก็บึ่งตรงไปยังสวนสาธารณะเพื่อดูว่าตะวันกลับไปแล้วหรือยัง แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ภาพตรงหน้าทำฉันหยุดหายใจในทันที

“ไม่นะ!” ฉันตะโกนเสียงดังมาก ก่อนจะวิ่งเข้าไปหาตะวันที่ถอดรองเท้าแล้วทำท่าว่าจะเดินลงไปในสระน้ำ

พรึ่บ! ตุบ!

ฉันคว้าตัวเขาไว้ก่อนจะดึงเข้ามากอดจนแน่น ตะวันหงายหลังตามแรงโถมของฉันทำให้เขาล้มนั่งลงกับพื้นโดยมีฉันอยู่ในอ้อมกอด อยู่ดีๆ ฉันก็มีความรู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตา เหตุการณ์ที่แม่เขาเดินลงสระต่อหน้าต่อตาแล้วฉันช่วยเธอไว้ไม่ทันย้อนกลับเข้ามาในหัว

“ฮือๆๆๆ นายทำบ้าอะไรเนี่ย ถ้านายตายไปอีกคนฉันจะทำยังไง ฮือๆๆๆ” น้ำร้อนๆ ไหลออกจากดวงตาทั้งสองข้าง ฉันร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายพร้อมกับซุกหน้าเช็ดน้ำตาที่อกเสื้อเขา

“เธอร้องไห้ทำไม?” ตะวันดันฉันออกเบาๆ แต่ฉันไม่ยอม ฉันกอดเขาแน่นขึ้นกว่าเดิมพร้อมกับปล่อยโฮแบบไม่มีอะไรสามารถมาห้ามฉันไม่ให้ร้องไห้ได้

“ก็ฉันกลัวนี่ ฮือๆๆ”

“เธอกลัวอะไร?”

“ก็นายกำลังเดินลงสระน้ำ นายกำลังจะฆ่าตัวตาย ฮือๆ ฉันกลัว กลัวว่าฉันจะช่วยนายไว้ไม่ทัน เหมือนตอนที่แม่นายตาย ฮือๆๆ” ฉันพูดไปร้องไห้ไปจนบางคำก็ดูจะพูดไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ

“เฮ้อออ หยุดร้องไห้ซะ ฉันไม่ได้จะฆ่าตัวตาย” ตะวันถอนหายใจออกมาแรงๆ ก่อนจะเคาะหัวฉันเบาๆ หนึ่งที

“ห๊ะ? ไม่ได้จะฆ่าตัวตายหรอ แล้วนายเดินลงไปในสระทำไม?” ฉันคลายอ้อมแขนออกแต่ก็ยังไม่ได้ปล่อย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองเขาทั้งน้ำตาที่ยังไหลอยู่

“ฉันแค่จะลงไปเก็บกระดาษรายงาน” เขาว่าพลางพยักเพยิดหน้าไปทางกระดาษแผ่นหนึ่งที่ลอยอยู่ในน้ำไม่ห่างจากฝั่งมากนัก

“กระดาษรายงาน?” ฉันทวนคำก่อนจะหันกลับมาทำตาปริบๆ ใส่เขา

“อืม มันปลิว”

“นายมันบ้า!!” ฉันตวาดใส่เขาก่อนจะผลักเขาออก แล้วรีบลุกขึ้นปัดเสื้อผ้าตัวเองทันทีโดยไม่ได้ยื่นมือไปช่วยดึงเขา

“หึๆๆ” ตะวันหลุดหัวเราะออกมาเล็กน้อย ก่อนจะปล่อยขำออกมาแบบกั้นไม่อยู่ทีหลัง เขายังคงนั่งหัวเราะอยู่บนพื้นโดยไม่มีวี่แววว่าจะลุกขึ้นมา

“ตลกมากใช่มั้ย? นี่แน่ะ!”

เปี๊ยะ!

ฉันฟาดฝ่ามือลงที่ต้นแขนเขาไปทีนึงแต่ไม่แรงมากนัก ก่อนจะสะบัดหน้าหันหลังเดินมานั่งกอดอกด้วยความเคืองที่เก้าอี้ทันที ส่วนตะวันก็หยุดขำลงแต่เขายังคงยิ้มเยาะฉันอยู่ เขาลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าที่ระบายยิ้มก่อนจะปัดเสื้อผ้าและเดินมานั่งที่เก้าอี้ข้างฉัน

“ขอบคุณนะ” อยู่ดีๆ เขาก็พูดขึ้นมาลอยๆ ฉันตกใจมากที่ได้ยินคำนี้ออกมาจากปากเขา แถมน้ำเสียงที่พูดกับฉันยังเปลี่ยนไปอีกด้วย มันไม่หลงเหลือความเย็นชาแล้ว มันรู้สึกละมุนและอบอุ่นมาก ฉันหันไปมองก็พบว่าเขามองฉันอยู่ สายตาของเขามีแต่ความอ่อนโยน ไม่เย็นชาหรือว่างเปล่าเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

“ขอบคุณฉันเรื่องอะไรหรอ?” ฉันเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย

“ทุกเรื่องเลย” พูดจบเขาก็หันหน้าไปทางสระน้ำ และเหมือนเขาจะรู้ว่าฉันยังสงสัยอยู่เขาจึงอธิบายขึ้นต่อ “ขอบคุณสำหรับนมและขนมปัง ขอบคุณสำหรับโพสอิท ขอบคุณที่คอยเดินตามและแอบดูฉันทั้งตอนเช้าและตอนเย็น ขอบคุณที่พาฉันเข้าโรงเรียนทางลับทั้งที่ความจริงแล้วฉันเข้าประตูใหญ่ก็ได้เพราะแม่ฉันเป็นผู้ก่อตั้งรายใหญ่ ขอบคุณที่กลัวว่าฉันจะตาย ขอบคุณที่มาช่วยฉันไว้ ขอบคุณที่พยายามช่วยเหลือแม่ฉันถึงแม้มันจะไม่สำเร็จ และก็ขอบคุณที่อยากเป็นเพื่อนกับฉัน”

กรี๊ดดดดด นี่เขารู้ว่าฉันเดินตามและแอบมาดูเขาทุกวันด้วยหรอเนี่ย อุตส่าห์ทำเนียนๆ แล้วนะยังจะรู้อีก

“เอิ่มมม นี่นายขอบคุณฉันหรือแดกดันฉันกันแน่เนี่ย” ฉันพูดก่อนจะหันหน้าหนีเพื่อไม่ให้เขารู้ว่าฉันกำลังเขิน

“ฉันกำลังขอบคุณเธอจริงๆ” เขาหันมายิ้มน้อยๆ ให้กับฉัน แต่ยิ้มน้อยๆ นั่นมันทำให้ฉันใจแทบละลาย

“งั้น…ถ้านายอยากขอบคุณฉันจริงๆ นายก็ยอมเป็นเพื่อนกับฉันสิ” ฉันหันไปทำหน้าตาเหมือนเด็กขอของรางวัลจากเขา

“อืม ฉันจะเป็นเพื่อนกับเธอ” เขามองหน้าฉันสักพัก ก่อนจะพูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

“เย้!” ฉันลุกขึ้นยืนแล้วทำท่าดีใจยกใหญ่ ในที่สุดฉันก็ไม่ต้องลาออกจากโรงเรียนแล้วโว๊ยยยย เย้ๆๆ แถมยัยแอลยังต้องคลานเข่ามาขอโทษฉันด้วย ฮิฮิ

“ฉันขอถามอะไรหน่อยสิ” ตะวันเอ่ยขึ้นในขณะที่ฉันกำลังดีดดิ้นเพราะความดีใจ พอฉันพยักหน้าตอบรับเขาจึงพูดขึ้นต่อ “ทำไมเธอถึงอยากเป็นเพื่อนกับฉันขนาดนี้?”

เอิ่มมมม จะตอบเขาว่าไงดีเนี่ย จะโกหกเขาดีมั้ย หรือจะเล่าความจริงไปเลย

“เอ่อออ…นายต้องสัญญามาก่อนนะ ว่าถ้าฉันบอกนายไปแล้ว นายจะไม่เลิกเป็นเพื่อนกับฉัน” ฉันพูดด้วยความรู้สึกลำบากใจ ใจหนึ่งก็อยากโกหกเขาไปซะแล้วค่อยมาบอกความจริงทีหลังตอนที่แก้แค้นยัยแอลได้แล้ว ส่วนอีกใจนึงก็คิดว่ายังไงก็ต้องบอกความจริง ไหนๆ จะต้องบอกแล้วก็บอกๆ ไปเลยดีกว่า ฉันยิ่งไม่ค่อยชอบโกหกอยู่ด้วย

“…?” ตะวันเงียบไม่ยอมพูดอะไร สีหน้าเขาดูเปลี่ยนไปเป็นเริ่มไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็ยังดูอ่อนโยนอยู่

“ฮือๆ ตะวัน นายอย่าเงียบสิฉันใจคอไม่ดี นายอย่าพึ่งเลิกเป็นเพื่อนกับฉันเลยนะ นายจะโกรธฉันก็ได้เดี๋ยวฉันตามง้อนายเองจะกี่วันกี่อาทิตย์ฉันก็ยอมนะ นะๆๆ” ฉันทำหน้าเหมือนจะร้องไห้พร้อมเขย่าแขนเขาเบาๆ เพื่อทำให้เขารู้สึกสงสาร

“ก็ได้” เขาตอบรับด้วยสีหน้าที่เหนื่อยใจ

“เย้! คือความจริงแล้วน่ะเพื่อนในห้องที่ชื่อแอลนางไม่ถูกกับฉัน แล้วพอดีเมื่อประมาณ 2 อาทิตย์ที่แล้วฉันกับนางทะเลาะกัน นางเลยบอกว่าจะคลานเข่ามาขอโทษ แล้วจะยอมเล่าถึงสาเหตุที่เกลียดฉันให้ฟัง โดยมีข้อแม้ว่าฉันต้องทำให้นายเป็นเพื่อนให้ได้ภายใน 2 อาทิตย์ ถ้าหากทำไม่ได้ฉันต้องลาออกจากโรงเรียนนี้” ฉันว่าพลางทำท่าทางรู้สึกผิดมากๆ ใส่เขา ส่วนเขาก็หันมาทำตาเขียวปั๊ดใส่ฉันทันทีเมื่อฉันเล่าจบ

“นี่เธอเห็นฉันเป็นแค่ตัวท้าพนันหรอ?” ตะวันพูดด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นเคืองพร้อมแววตาที่รู้สึกผิดหวัง ก่อนจะสะบัดแขนที่ฉันเกาะกุมอยู่ออก

“ไม่ใช่นะๆ ฉันอยากเป็นเพื่อนกับนายจริงๆ ความจริงฉันเห็นนายนั่งอยู่ที่นี่มาตั้งเกือบปีแล้ว นั่งอยู่คนเดียวทุกวัน ฉันเลยคิดว่านายน่าจะเหงามากแน่ๆ อีกอย่างนายดูเศร้าเกินไปฉันเลยอยากรู้ว่าทำไมนายถึงได้เศร้าขนาดนี้ ฉันอยากรู้จักนายจริงๆ นะ” ฉันกุมมือเขาไว้อีกครั้ง เพราะกลัวว่าเขาจะลุกหนีไป ก่อนจะพูดขึ้นต่อ “อย่่าเกลียดฉันเลยนะ”

“…” เขาหันมามองฉันด้วยสายตาที่ประเมินไม่ได้ว่ารู้สึกยังไง ส่วนฉันก็ทำหน้าอ้อนเขาสุดๆ ก่อนเขาจะพูดขึ้นต่อ “ฉันไม่เกลียดเธอหรอก ฉันแค่โกรธน่ะ”

“แค่โกรธจริงๆ นะ” ฉันยิ้มพร้อมกับน้ำตาที่ซึมออกมาจากหางตา

“อืม อย่าทำให้ฉันเป็นตัวตลกที่เอาไว้ให้พวกเธอเล่นอีก ฉันไม่ชอบ”

“โอเคค่า ฉันสัญญา ว่าแต่…นายอย่าโกรธฉันนานนะ ฉันง้อไม่ค่อยเก่ง”

“แล้วไหนบอกโกรธได้ จะง้อเองไม่ใช่หรอ?” เขาหันมาทำหน้าเหนื่อยใจใส่ฉัน ก่อนจะยิ้มน้อยๆ

“เออก็ได้ เดี๋ยวฉันไปเข้าคอร์สเรียนวิธีง้อผู้ชายก่อนงั้น” ฉันพูดขึ้นก่อนจะหัวเราะเล็กน้อย นั่นทำให้ตะวันหัวเราะตาม

เราสองคนนั่งคุยกันถึงเรื่องที่เขาชอบมานั่งอยู่ที่สวนสาธารณะนี้ทุกวันคนเดียว นั่นเป็นเพราะที่บ้านเขาตอนนี้เหลือแค่เขากับน้าสาวโดยที่พ่อแม่ของเขาเสียแล้ว ซึ่งฉันก็ไม่กล้าถามรายละเอียดหรอกมันเป็นเรื่องสะเทือนใจ ถ้าเขาอยากจะเล่าให้ฟังเดี๋ยวเขาก็เล่าเอง เขาคิดถึงแม่มากเพราะตั้งแต่เด็กเขาก็ย้ายไปอยู่ต่างประเทศเลย แม่กับพ่อเขาจะบินไปหาเขาที่นู้นแค่ปีละครั้งเท่านั้น เนื่องจากทั้ง 2 ท่านงานยุ่งมากบางปีก็ไม่ได้ไปหา จนวันที่แม่เขาเสีย เขาจึงตัดสินใจบินกลับมาอยู่ที่นี่ มาซึมซับไออุ่นและความทรงจำเลือนลางที่ยังหลงเหลืออยู่ และเหตุผลที่เขาปิดกั้นตัวเองเพราะว่าเขาไม่มีเวลามาสนใจกับเรื่องพวกนี้ เย็นกลับถึงบ้านต้องเรียนเรื่องการบริหารต่อ วันหยุดก็ต้องเข้าไปที่บริษัทเพื่อศึกษาข้อมูลของงาน

ฉันไม่อยากจะคิดเลยจริงๆ ว่าคนๆ นี้ต้องแบกรับอะไรไว้บ้าง เขาจะรู้สึกท้อแท้ หรือเหนื่อยล้าบ้างหรือป่าวนะ แล้วเขาจะอยากร้องไห้บ้างไหม?

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel