4 เริ่มแผนการกระชับมิตร
ปึก!
หลังจากที่ฉันตัดสินใจได้ว่าต้องทำอย่างไร ฉันจึงเอานมกับขนมปังที่ฉันตั้งใจกะเอาไว้กินระหว่างคาบเรียนยกให้ตะวัน ฉันวางนมกับขนมปังไว้บนโต๊ะของเขาโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ ก่อนจะเดินมานั่งที่โต๊ะตัวเองซึ่งอยู่ด้านหน้าเขา ตะวันเปรยสายตามองฉันเพียงเล็กน้อย แล้วก็หันกลับไปสนใจท้องฟ้าและอากาศอันเป็นที่รักของตนเองต่อ
เอิ่ม…ที่ฉันทำนี่จะมีความหมายอะไรบ้างมั้ยนะ?
จนเวลาล่วงเลยผ่านไปจนถึงคาบสุดท้ายของวันนี้ และอีกไม่กี่นาทีจะเลิกเรียน นมกับขนมปังที่ฉันวางไว้บนโต๊ะเขาก็ยังไม่ถูกแตะต้อง ไม่แม้แต่จะเหวี่ยงทิ้ง
“ก็ยังดี อย่างน้อยก็ไม่เหวี่ยงทิ้งลงถังขยะ” ฉันปลอบใจตัวเองเบาๆ ก่อนที่อาจารย์จะพูดขึ้น
“เอาล่ะนักเรียน อย่าลืมกลับไปทบทวนหนังสือที่บ้านด้วยล่ะ กลับบ้านกันดีๆ นะจ๊ะเด็กๆ” อาจารย์พูดจบก็เก็บอุปกรณ์การสอนแล้วเดินออกจากห้องไป ทุกคนจึงเริ่มคุยกันเสียงดังและต่างพากันเก็บของใส่กระเป๋าและทยอยกลับบ้าน รวมถึงตะวันด้วย เขาเก็บอุปกรณ์การเรียนบนโต๊ะใส่กระเป๋าด้วยท่าทางสุขุมใจเย็น ไม่มีความรีบร้อนเหมือนคนอื่นๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปเงียบๆ โดยทิ้งนมกับขนมปังฉันไว้บนโต๊ะตามเดิม
“เย็นชาชะมัด จะไหวไหมเนี่ยแกอ่ะ" ยัยมินพูดขึ้นหลังจากที่ตะวันเดินพ้นประตูห้องไปแล้ว
“แก ฉันไปก่อนนะ วันนี้ฉันมีธุระต้องรีบไปทำ” อยู่ดีๆ ฉันก็มีความคิดพิสดารขึ้นมา จึงรีบเก็บของใส่กระเป๋าอย่างลวกๆ และวิ่งออกจากห้องทันทีโดยไม่รอฟังว่ายัยมินจะพูดอะไรหรือป่าว
ฉันเดินตามหลังตะวันอยู่ไม่ห่างมากนัก แต่ก็ไม่ได้ใกล้จนเกินไป เพราะกลัวว่าเขาจะรู้ตัวว่าเย็นนี้ฉันตั้งใจเดินตามเขาไม่ใช่เดินกลับบ้านเฉยๆ เนื่องจากฉันต้องไปโรงเรียนและกลับบ้านผ่านสวนสาธารณะที่เขาชอบมานั่งเหม่อทุกเช้าเย็น ดังนั้นนี่จึงเป็นโอกาสที่ฉันสามารถสังเกตพฤติกรรม และหาโอกาสตีสนิทกับเขาได้
ตะวันเดินไปหยุดอยู่ที่เก้าอี้ตัวเดิมที่เขาชอบนั่ง ก่อนจะทรุดตัวนั่งลงและทำแบบเดิมซ้ำๆ นั่นคือมองไปที่สระน้ำแห่งนั้นด้วยแววตาเศร้าๆ ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงมานั่งมองสระน้ำด้วยสายตาแบบนั้นทุกวัน เพราะว่าแม่เขาเสียที่นี่นี่เอง
ฉันยืนมองแผ่นหลังที่อ้างว้าง และโดดเดี่ยวนั่นได้สักพักก็ตัดสินใจกลับบ้าน เพราะเห็นว่าตอนนี้มันก็เริ่มเย็นมากแล้ว ความจริงฉันก็อยากจะเข้าไปถามนะว่านายไม่กลับบ้านหรือยังไง ไม่ได้เป็นห่วงนะ ก็แค่สงสารเพื่อนมนุษย์คนนึงเฉยๆ หรอก
เช้าวันถัดมา ฉันตื่นแต่เช้าและรีบออกมาจากบ้านพร้อมนมและขนมปัง 2 ชุด ฉันเดินจ้ำอ้าวไปยังเก้าอี้ตัวเดิมที่ตะวันชอบนั่ง และเป็นไปดังคาดเขายังไม่มา ฉันจึงวางนมกับขนมปังไว้หนึ่งชุดพร้อมเขียนรูปยิ้มที่โพสอิทและแปะไว้บนกล่องนมก่อนจะรีบเดินมาแอบหลังต้นไม้ที่อยู่ไม่ไกลนักเพื่อรอดูปฏิกิริยาของเขา
เวลาผ่านไปไม่นานนักก็มีรถยนต์หรูคันนึงเคลื่อนเข้ามาจอดบริเวณใกล้ๆ เก้าอี้ตัวนั้น ก่อนที่ร่างสูงหน้าตาดีแบบเศร้าๆ ของตะวันจะก้าวขาลงมา เขาเดินเข้าไปยังเก้าอี้ก่อนจะหยิบนมที่มีโพสอิทรูปยิ้มกับขนมปังที่ฉันวางเอาไว้ขึ้นมาพินิจพิเคราะห์อยู่แปปนึงด้วยสายตาว่างเปล่า ก่อนจะวางมันไว้ที่เดิมและทรุดตัวนั่งลงข้างๆ นมและขนมปังโดยไม่มีวี่แววว่าจะแตะต้องมันอีก
“ใจแข็งชะมัด” ฉันพรึมพรำกับตัวเองเบาๆ ก่อนตัดสินใจเลิกแอบดูเขาและเดินไปโรงเรียน
10 วันผ่านไป
ฉันยังคงไม่ตัดใจและทำแบบเดิมซ้ำๆ นั่นก็คือ…
ตอนเช้า = ฉันต้องรีบตื่นและวิ่งเอานมที่มีโพสอิทแปะกับขนมปังไปวางไว้ที่เก้าอี้ในสวนสาธารณะ
ตอนกลางวัน = ฉันก็ยังคงเอานมที่มีโพสอิทแปะกับขนมปังไปวางไว้ที่โต๊ะเรียน
ตอนเย็น = ฉันจะแอบเดินตามหลังเขาเงียบๆ เพื่อไปสังเกตการณ์ที่สวนสาธารณะ และรอจนกว่าเขาจะกลับบ้าน
ฮือออ ดูไปดูมาฉันรู้สึกว่าฉันดูเหมือนยัยผู้หญิงโรคจิตอ่ะ แต่ทำไงได้ ก็ฉันไม่กล้าที่จะเดินเข้าไปหาเขาแล้วบอกว่า…นายมาเป็นเพื่อนกับฉันไหม? ฉันกลัวจะหน้าแตกเหมือนที่ยัยแอลโดน ก็เลยต้องทำวิธีนี้ น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อนเลย นับประสาอะไรกับใจเขา มันก็ต้องมีสักวันแหละน่าที่เขาจะรับสัมพันธไมตรีจากคนอย่างฉัน แต่ฉันลืมไปว่าฉันเหลือเวลาอีกแค่ 4 วัน แง~~ กว่าหินจะกร่อนฉันคงกระเด็นออกจากโรงเรียนนี้ก่อน
“เฮ้อออ ฉันจะทำยังไงดีๆๆๆๆๆ” ฉันยืนทึ้งหัวตัวเองอยู่ข้างต้นไม้ในสวนสาธารณะ ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งยองๆ และทำท่าเหมือนจะร้องไห้ หลังจากแอบสังเกตพฤติกรรมเดิมๆ ของตะวัน
ตอนนี้เป็นเย็นของวันที่ 10 แล้ว ฉันยังไม่ได้สัมผัสแม้สายตาที่ผิดไปจากเมื่อ 10 วันก่อนเลยด้วยซ้ำ มันเลยทำให้ฉันรู้สึกท้อใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ฉันก็ยังไม่กล้าไปสารภาพกับแม่เพราะกลัวจะโดนดุ อีกอย่างฉันกลัวเขาจะเสียใจด้วยที่มีลูกสาวที่ชอบสร้างปัญหาอย่างฉัน แต่ถ้าจะให้ฉันไปขอโทษยัยแอลเพื่อให้นางยกเลิกเรื่องที่ตกลงกันไว้ฉันก็ไม่เอาด้วยหรอก ศักดิ์ศรีมันค้ำคอ
“เฮ้~ สาวน้อย มานั่งทำไรตรงนี้จ๊ะ” อยู่ดีๆ ก็มีผู้ชายขี้เมาเดินเข้ามาสะกิดหัวไหล่ฉัน ฉันจึงรีบลุกขึ้นและกระเด้งตัวออกห่างจากเขาทันที ดูรูปร่างเขาแล้วฉันคิดว่าฉันน่าจะสู้เขาไม่ไหวแน่ๆ เพราะเขาสูงกว่าฉันมากและหุ่นก้านก็ดูกำยำเหมือนคนที่ออกกำลังกายประจำด้วย เพราะฉะนั้นถึงแม้ฉันจะเรียนเทควันโด้มา แต่มันก็แค่พื้นฐานไว้สำหรับป้องกันตัวเอง อะไรเลี่ยงได้ฉันควรเลี่ยง ยิ่งถ้าประเมินแล้วว่าสู้ไม่ไหวแน่ๆ ฉันควรจะหนี
“เอ่อ…หนูมากับเพื่อนค่ะ ขอตัวก่อนนะคะ" ฉันว่าพลางชี้นิ้วไปที่ตะวันซึ่งยังคงนั่งอยู่ที่เดิม ก่อนจะรีบเดินจ้ำอ้าวไปนั่งลงข้างๆ เขาในขณะที่ผู้ชายขี้เมาคนนั้นยังยืนดูอยู่
เลิ่กลั่กๆ
ฉันตื่นเต้นมากจนทำตัวไม่ถูก นั่งตัวเกร็งแข็งทื่ออยู่ข้างๆ ตะวัน เขามีหันมามองฉันด้วยหางตาเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้ากลับไปสนใจสระน้ำต่อ
“เอ่อ…ฉันขอนั่งแปปนึงนะ ไม่รบกวนนายนานหรอกเดี๋ยวฉันก็ไป” ฉันเอ่ยขึ้นเพื่อขจัดความเงียบที่ปกคลุม
“…” ไม่มีเสียงตอบรับจากบุคคลที่ฉันพูดด้วย ฉันจึงชำเลืองมองเขาเล็กน้อยเพื่อดูปฏิกิริยา
ผู้ชายคนนี้พอได้มองใกล้ๆ แล้วรู้สึกใจบางเลยแฮะ ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าจะมีคนที่หล่อขนาดนี้ ขนตาเขายาวเป็นแพดำสวย จมูกโด่งเชิดดูหยิ่งยโส รับกับริมฝีปากบางอมชมพูระเรื่อ ผมสีดำสนิทแลดูนุ่มมีน้ำหนักน่าลูบชะมัด ไหนจะหุ่นที่พระเจ้าประทานมาให้นั่นอีก สูงยาวเข่าดีขนาดนี้ โอ๊ยแม่จะเป็นลม ผิวขาวเนียนละเอียดออกจะขาวจนเกือบซีดไปหน่อยแต่โดยรวมแล้วหล่อลาก หน้าเนียนๆ มีตำหนิเป็นรอยแผลเป็นน้อยๆ แทบมองไม่เห็นถ้าไม่ได้สังเกตตรงหางคิ้ว อ้อ! อีกอย่างมีขนตาหลุดข้างๆ หางตาด้วยแหละ
หมับเข้าให้! มือมันไปไวมาก แค่คิดเฉยๆ ว่าขนตาที่หลุดอยู่น่าจะต้องเอาออก ฉันก็พลันเอื้อมมือไปหยิบขนตาออกให้เขาซะงั้น แม่เจ้า! นี่ฉันทำอะไรลงไป ใบหน้าหล่อๆ นั่นหันมามองฉันช้าๆ ดวงตาดำสนิทดั่งสีนิลมองฉันด้วยสายตาที่ฉงนเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนกลับเป็นว่างเปล่าดังเดิม ส่วนฉันก็ยังคงค้างอยู่ในท่าหยิบขนตาระยะประชิดจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน
“เอิ่ม…ขนตาน่ะ ขนตานายหลุด ขอโทษนะที่ถือวิสาสะหยิบออกให้ ไม่ได้ตั้งใจน่ะมือมันไปเอง” ฉันพูดพลางยื่นขนตาให้เขาดู เขาเหลือบมองมันเล็กน้อยก่อนจะจ้องหน้าฉันต่อ “เอ่อ…ฉันว่าฉันไปดีกว่า ฉันรบกวนเวลานายมานานมากแล้ว ไปแล้วนะ เจอกันพรุ่งนี้” ฉันประหม่ามากไม่รู้จะพูดอะไรต่อ อีกอย่างผู้ชายขี้เมาคนนั้นก็ไปไหนแล้วไม่รู้ จึงตัดสินใจลุกออกจากเก้าอี้พร้อมร่ำลาตะวัน แต่ในขณะที่ฉันกำลังจะหันหลัง มือใหญ่ที่มีนิ้วเรียวสวยของเขาก็คว้ากระเป๋านักเรียนฉันไว้ ทำให้ฉันต้องหันกลับไปมอง
“ไม่รู้หรอกนะว่าเธอต้องการอะไรจากฉัน แต่ต่อไปรบกวนอย่ามาวุ่นวายกับฉันอีก” ตะวันเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา แต่ฉันที่พึ่งเคยได้ยินเสียงเขาครั้งแรก เพราะตั้งแต่เขาเข้ามาเรียนที่โรงเรียนเราเขาไม่เคยพูดเลยสักคำ มันจึงทำให้ฉันตะลึงเพราะเสียงของเขาละมุนมากกก ทุ้ม นุ่มลึก สะกดวิญญาณสุดๆ
“นายพูดอีกรอบได้ไหมอ่ะ” ฉันทรุดตัวนั่งลงที่เดิม พร้อมหันไปทำหน้าเพ้อฝันใส่เขาซะงั้น
“…” ตะวันมองฉันด้วยความสงสัยอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มพูดใหม่ด้วยน้ำเสียงเย็นชาเหมือนเดิม “เลิกยุ่งกับฉันสักที”
“อื้มมมม” ฉันยิ้มอย่างพอใจกับเสียงที่ได้ยิน “ขอโทษด้วยนะ แต่ฉันทำไม่ได้ ไปล่ะ บาย!” พูดจบฉันก็ลุกและวิ่งจากมาด้วยความเร็วแสง เพราะถ้ามัวลีลาชักช้า เขาอาจจะทุ่มฉันลงสระน้ำให้ตายตามแม่เขาไปก็ได้ บรื้อออ~
