3 คำท้า
เวลาล่วงเลยผ่านไปได้ประมาณ 1 อาทิตย์ เด็กใหม่คนนี้ก็ยังไม่มีเพื่อน ไม่ว่าใครจะเข้าไปทัก ไปชวนคุย หรือสานสัมพันธ์ใดๆ เขาก็จะให้ความสนใจกับหนังสือ ท้องฟ้า สายลม และอากาศ เสมือนคนที่อยู่รอบข้างไม่มีตัวตน เวลาพักกินข้าวกลางวันก็จะเอาแต่นั่งเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง มองฟ้า มองอากาศด้วยสายตาที่ว่างเปล่า ฉันก็ไม่เข้าใจนะว่าที่เขาทำแบบนี้มันมีประโยชน์อะไร ไม่หิวข้าวหรือยังไง หรือมองฟ้ามองอากาศเรื่อยเปื่อยแล้วมันอิ่ม
กริ๊งงงงง
เสียงกริ่งพักกลางวันดังขึ้น นักเรียนทุกคนก็กระตือรือล้นในการใช้ช่วงเวลาพักเบรคให้คุ้มค่า บางคนรีบไปหาอะไรกินที่โรงอาหาร ส่วนบางคนก็ใช้ช่วงเวลานี้ในการนอน บ้างก็จับกลุ่มนินทาชาวบ้าน และบลาๆๆๆๆ แต่ไม่ใช่กับผู้ชายคนนี้ ตะวัน เด็กใหม่ที่ฉันยังคงเจอทุกวันในสวนสาธารณะ เขาเอนตัวนั่งด้วยท่าทางสบายๆ ที่เก้าอี้เรียนของเขา พร้อมเหม่อมองออกไปยังนอกหน้าต่างเหมือนเดิม ไม่มีวี่แววว่าจะลุกไปทำอะไรเลย เสมือนชีวิตของเขามีแต่ความว่างเปล่า ไร้จุดหมาย
“โอ๊ย หิววววว ไปกินข้าวกันเถอะแก” ยัยมินเดินมาเกี่ยวแขนฉัน และออกแรงดึงเล็กน้อยเพื่อให้เดินตาม ฉันหันไปมองตะวันด้วยความแปลกใจ ก่อนจะเลิกสนใจเขาและเดินตามยัยมินไป
ปึ้ง!
ขณะที่ฉันกำลังนั่งกินข้าว และพูดคุยเรื่อยเปื่อยกับยัยมินอย่างสนุกปากอยู่นั้น ก็มีถาดข้าวปริศนากระแทกลงมาบนโต๊ะอย่างแรง ทำให้ทุกสิ่งที่อยู่ในถาดนั้นกระเด็นออกมาตามแรงกระแทก และมาเปื้อนเสื้อผ้าของฉัน ฉันเงยหน้ามองเจ้าของถาดปริศนานั่นด้วยความรู้สึกที่ไม่ได้ตกใจหรือสงสัยอะไรมากนัก เพราะรู้อยู่แล้วว่าคนๆ นั้นคือใคร
“โรคประสาทกำเริบหรือยังไง?” ฉันว่าพรางปัดเศษอาหารออกจากเสื้อผ้าตัวเองอย่างใจเย็น
“ปากดีนักนะนังริน ฉันก็แค่อยากจะมานั่งตรงนี้ นั่งไม่ได้หรือไง” ยัยแอลพูดพร้อมกับเบะปากใส่ฉันอย่างดูแคลน มันเป็นเรื่องปกติไปแล้วที่ฉันต้องเจอเหตุการณ์ลักษณะนี้ทุกวัน แต่ก็ยังไม่เคยรุนแรงถึงขึ้นตบตีจนเลือดตกยางออกสักที เพราะอะไรน่ะหรอ? เพราะว่าฉันเรียนเทควันโด้ไงล่ะ ยัยนี่เลยไม่กล้าที่จะใช้ความรุนแรงกับฉัน นอกจากจิกกัด กระแหนะกระแหน และปั่นประสาทฉันไปวันๆ เท่านั้นเอง
“ไม่ได้! ฉันไม่อยากกินข้าวแล้วเห็นหน้าเน่าๆ ของเธอ อ้อ! อีกอย่างปากฉันไม่ได้ดีอย่างเดียวนะ หมัดฉันก็ดี อยากลองมั้ยจ๊ะ?” ฉันกำหมัดและชูขึ้นตรงหน้า ทำให้หน้านางเจื่อนลงเล็กน้อย
“นังผู้หญิงบ้าพลัง ถึงว่าทำไมไม่มีใครเอา คนอย่างเธอน่ะชีวิตนี้คงไม่มีปัญญาได้แต่งงานหรอก อ้อ! อย่าพึ่งพูดถึงแต่งงานเลย หาแฟนให้ได้ซะก่อนเหอะ ฮึ!” พูดจบยัยแอลและกลุ่มเพื่อนของนางอีก 2 คนก็ทำท่าจะหันหลังเดินหนีฉันไป แต่ฉันที่กำลังเดือดปุดๆ เพราะถูกแทงใจดำรีบลุกไปคว้าคอเสื้อด้านหลังนางเอาไว้ ก่อนที่นางจะทันได้ก้าวขาเดิน ทำให้เธอร้องเสียงหลงทันที “โอ๊ยยย ยัยบ้า ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ”
“ขอโทษฉันเดี๋ยวนี้!!” ฉันตวาดลั่น มือก็ยังคงกำคอเสื้อนางเอาไว้ไม่ยอมปล่อย
“ฝันไปเถอะ! คนอย่างฉันไม่มีทางพูดคำๆ นั้นกับคนอย่างเธอแน่นอน” ยัยแอลหันมาเชิดหน้าท้าทายฉัน แต่พลันสายตาท้าทายนั่นก็เปลี่ยนไปเป็นมีเลศนัย “เอางี้ ถ้าเธอสามารถทำให้เด็กใหม่ยอมเป็นเพื่อนกับเธอได้ภายใน 14 วันฉันจะคลานเข่าเข้าไปขอโทษเธอเลย และฉันก็จะบอกด้วยว่าเพราะอะไรฉันถึงเกลียดเธอ กล้ารับคำท้าหรือป่าว?”
อื้มมมม ข้อเสนอนี้น่าสนใจ คงจะรู้สึกสะใจแปลกๆ ถ้ายัยนี่คลานเข่าเข้ามาขอโทษ อีกอย่างจะได้รู้สักทีว่ามันเป็นเพราะอะไรกันแน่ ยัยนี่ถึงได้เกลียดฉันขนาดนี้ ไม่ได้สนใจนะ แค่สงสัยเฉยๆ หรอก
“ริน อย่าไปเล่นกับยัยบ้านี่เลย เธอก็รู้ว่ายัยนี่นางไว้ใจไม่ได้” ยัยมินรีบลุกออกจากเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม และเดินมากระซิบบอกฉันอย่างร้อนใจ
“แล้วถ้าฉันทำไม่ได้ภายใน 14 วันล่ะ” ฉันเอ่ยถามด้วยความแคลงใจ ก่อนจะปล่อยมือออกจากคอเสื้อของยัยแอลเพราะเริ่มรู้สึกเมื่อยมือแล้ว อย่างไงซะ นางก็หนีฉันไปไหนไม่พ้นอยู่ละ ตัวสูงกว่าหลักกิโลหน่อยเดียว
“เธอก็แค่ไสหัวออกไปจากโรงเรียนนี้ไงจ๊ะ” ยัยแอลยกมืดกอดอกก่อนจะยิ้มอย่างผู้มีชัย ซึ่งสีหน้าท่าทางแบบนั้นมันทำให้ฉันรู้สึกหงุดหงิดชะมัด จะมั่นใจอะไรนักหนา
“มันไม่เล่นแรงไปหน่อยหรอฮะ?” ยัยมินพูดอย่างไม่พอใจ พร้อมปรี่เข้ามาแทรกระหว่างฉันกับยัยแอลทันที
“อยากให้ฉันลงทุนคลานเข่าไปขอโทษคนอย่างเพื่อนเธอ มันก็ต้องเล่นกันระดับนี้แหละย่ะ ว่าไง กล้าหรือป่าว? แค่เป็นเพื่อนเองนะ ฉันไม่ได้บอกให้เธอไปขอเขาแต่งงาน เพราะดูแล้วคงไม่มีปัญญา 555” ยัยแอลหัวเราะออกมาด้วยความสะใจ ก่อนที่เพื่อนๆ ในกลุ่มนางจะพากันหัวเราะตามนางด้วย
โอ๊ยยยยย เจ็บจี๊ด ถึงฉันจะไม่สวย แซ่บ น่าเซี๊ยะแบบยัยนี่ แต่ฉันก็น่ารัก และก็เป็นคนดีมากๆ คนนึงเลยนะยะ หึ!
“ได้!! เธอเตรียมเข่าไว้คลานเข้ามาขอโทษฉันได้เลย ยัยแอล!!” ฉันลั่นวาจาจบก็สะบัดหน้าพรืดและเดินออกมาทันที โดยมียัยมินเดินร้อนใจตามมาอยู่ไม่ห่าง
ทุกคนคงสงสัยใช่มั้ยคะ? ว่าทำไมฉันกับยัยแอลถึงได้ไม่ถูกกันขนาดนี้ ต้องเล่าย้อนกลับไปเมื่อตอนฉันเข้ามัธยมปลายใหม่ๆ ฉันกับยัยแอลเป็นเพื่อนที่มาเจอกันตอน ม.4 นางเข้าใจว่าฉันเป็นเด็กเรียนเก่งน่าจะพึ่งพาได้จึงเข้ามาตีสนิทด้วย เพราะช่วงนั้นตอนฉันเข้ามาเรียนที่นี่ใหม่ๆ ฉันแต่งตัวเรียบร้อย แล้วก็ชอบอ่านหนังสือ แต่ความจริงแล้วมันเรื่องปกติของเด็กใหม่ปะ วางฟอร์มว่าตั้งใจเรียนไว้ก่อน สักพักค่อยออกลาย หรือไม่จริง?
หลังจากที่เราเริ่มสนิทกันได้สักพักใหญ่ๆ นางก็เริ่มแสดงบทรุ่นน้องใสๆ หัวใจหวานแหววแอบชอบรุ่นพี่ ม.5 จ้าาา ตามจีบเขาไม่พักเลย มาเม้าท์ให้ฉันกับยัยมินฟังว่าเขาหล่ออย่างงี้ เท่อย่างงั้น แสนดี อบอุ่นมากมาย แต่รุ่นพี่คนนั้นเขาก็เป็นแบบที่ยัยแอลเล่าให้ฟังจริงๆ น่ะแหละ ขนาดฉันไม่ค่อยถูกโฉลกกับผู้ชายฉันยังคิดว่าพี่เขาดีเลย แถมยังเป็นถึงเดือนโรงเรียนอีกด้วย รุ่นพี่คนนั้นก็คือพี่ภูมิน หรือพี่ภูมินั่นเอง
พี่ภูมิไม่เคยถือสาความหน้าด้านหน้าทนของยัยแอลเลย เวลายัยแอลไปตามตอแยเขาก็ไม่เคยแสดงความรังเกียจ หรือรำคาญอะไร กระทั่งเวลาล่วงเลยผ่านไปจนมาถึงวันปัจฉิมนิเทศรุ่นของพี่ภูมิ…ยัยแอลวางแผนว่าจะไปสารภาพรักและขอพี่ภูมิเป็นแฟนอย่างจริงจัง และอยู่ดีๆ หลังจากวันนั้นนางก็ไม่คุยกับฉันอีกเลย ฉันงงมากกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของเพื่อน จึงพยายามเข้าไปถามหลายต่อหลายครั้ง แต่กลับถูกกัด ถูกเหน็บ ถูกกระแหนะกระแหนแบบไม่มีเหตุผล และฉันก็มาได้ข่าวจากคนอื่นว่า วันนั้นยัยแอลถูกปฏิเสธกลางวงของรุ่นพี่ ม.6 ที่กำลังจะจบ และเหมือนพี่ภูมิจะกระซิบอะไรบางอย่างกับยัยแอลทำให้นางสติแตกวิ่งร้องไห้โฮออกมาจากตรงนั้นทันที เหตุการณ์นั้นคงทำให้นางอับอายเป็นอย่างมาก นี่ก็คือเรื่องราวที่ฉันกับยัยแอลกลายเป็นคู่กัดกัน จนปัจจุบันนี้ฉันยังไม่รู้เหตุผลที่นางเกลียดฉันเลย งงมากแม่ งงในงง
“แกบ้าไปแล้วหรอ! ลาออกจากโรงเรียนเลยนะเว้ย” เมื่อเดินมาได้สักพัก ยัยมินก็พูดขึ้นก่อนจะเดินมาขวางทางฉันไว้ไม่ให้เดินต่อ
“ทำไม? แกก็คิดว่าฉันไม่มีเสน่ห์พอจะทำให้ผู้ชายคนนึงมาเป็นเพื่อนได้หรือไง?” ฉันเบ้ปากใส่ยัยมินด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ ก่อนจะทรุดตัวนั่งยองๆ กับพื้นพรางเอานิ้วเขี่ยพื้นไปมา
“เอ่อออ…ไม่ใช่แบบนั้นแก แต่ที่ผ่านมาแกน่ะไม่มีเพื่อนคนอื่นเลยนะ นอกจากฉันกับยัยแอลที่หลงมาคบกันได้แค่ 2 ปีแล้วก็หันมาเกลียดแกแทน อีกอย่างแกกับผู้ชายนี่มันของแสลงกันเลยนะ ผู้หญิงบ้าที่ไหนท้าผู้ชายเตะต่อยไปทั่ว” ยัยมินทรุดตัวนั่งยองๆ ตรงหน้าฉัน พร้อมกับเอามือมาจับนิ้วฉันที่กำลังเขี่ยไปเขี่ยมา
“ก็ผู้ชายพวกนั้นมันน่ารังเกียจนี่ เห็นว่าเป็นผู้หญิงก็ผิวปากแซวไปทั่ว ไม่รู้จักการให้เกียรติ คนไหนเอาเปรียบได้ก็เอาเปรียบ ฉันล่ะเกลียดจริงๆ” ฉันเผลอเข่นเขี้ยวอย่างหงุดหงิด เมื่อนึกถึงความทรงจำที่มีเกี่ยวกับพวกผู้ชาย
“แต่ผู้ชายดีๆ ก็มีเยอะนะแก”
“แต่ผู้ชายทุเรศมีเยอะกว่า!!”
“อ่ะๆ ขี้เกียจเถียงกับแกแล้ว ละสรุปแกจะเอายังไงมาช่วยกันคิดดีกว่ามีเวลาแค่ 14 วันเอง แล้วดูท่าเหยื่อของแกจะไม่ง่ายเลยด้วย” ยัยมินลุกขึ้นยืน ก่อนจะดึงฉันขึ้นไปยืนด้วย
“นั่นน่ะสิ เอาไงดี โอ๊ยยย เครียด!!” ฉันขยี้หัวตัวเองด้วยความหงุดหงิด ไม่น่าหน้ามืดเพราะความโมโหจนตอบรับคำท้าบ้าๆ นี่เลย ฉันก็รู้ตัวเองดีแหละว่าโอกาสนี่แทบจะเป็น 0 เลยด้วยซ้ำ ฉันผู้หญิงที่ตีตัวออกห่างจากผู้ชายทุกคน กับนายเด็กใหม่ที่เหมือนจะไม่อยากให้ใครเข้าไปยุ่งกับชีวิตของเขา เตรียมสารภาพกับแม่แล้วขอให้แม่พามาลาออกจะง่ายกว่ามั้ยเนี่ย ฮืออออ
