2. การพบกันครั้งใหม่
ผมพูดติดตลกกับปลายสาย เพราะผมรู้อยู่แล้วว่าวันนี้เธอจะต้องให้ผมไปรับอย่างแน่นอน เพราะเมื่อวานในกลุ่มไลน์เธอเพิ่งบอกรถเสีย ให้ช่างมาลากไปตอนเช้านี่เอง
“ใช่สิ แกต้องมารับ ไม่งั้นฉันจะโดดงานนะเว้ย”
เสียงแว๊ด ๆ ของเธอทำให้ผมต้องยกมือถือออกจากหูเล็กน้อย นี่คือปันหยา เพื่อนผู้หญิงเพียงคนเดียวในกลุ่ม ที่นิสัยไม่ได้หวานหรือน่ารักเหมือนชื่อเลยสักนิด
“เออครับ รับทราบครับเจ้านายแต่งตัวให้ไวเลยครับ อีกสิบนาทีถึง”
ผมกรอกเสียงลงไปถึงปลายสายก่อนจะกดวางสาย ผมเอื้อมมือไปหยิบไอแพดขึ้นมาเช็กอีกครั้ง หน้าจอเมลที่ผมรับสมัครพนักงานเด้งขึ้นมาว่ามีคนส่งเรซูเม่มา 1 คน เป็นผู้หญิง ที่มีแววตากลมโต หวานหยอดที่เป็นเอกลักษณ์ ผมเพ่งมองรูปของผู้หญิงตรงหน้าอยู่นานพอสมควร ก่อนจะตอบกลับเมลไปให้เธอเข้ามาสัมภาษณ์งานที่ร้าน แล้วก็เดินไปหยิบกุญแจรถ มือถือ ไอแพด และออกจากห้องเพื่อไปรับปันหยา
“หาคนได้ยังวะภู ให้ฉันช่วยไหม”
ปันหยายิงคำถามทันทีที่ขึ้นมาในรถ เราเป็นหุ้นส่วนกันก็จริงแต่จะแยกกันทำคนละส่วน ผมดูแลในส่วนของพนักงาน และความเรียบร้อยของร้านโดยรวม ส่วนปันหยาดูแลเรื่องสวัสดิการ และค่าใช้จ่าย และหุ้นส่วนอีกคนของผมคือมาวิน รายนั้นจะดูแลเรื่องเกี่ยวกับการตลาดและโฆษณา
“มีนัดมาสัมภาษณ์ที่ร้านวันนี้หนึ่งคน ไม่ต้องห่วงหรอก น่าจะได้อยู่”
ผมหันไปตอบแบบยิ้มๆ ให้กลับเธอ ถึงเธอจะดูแข็งแกร่ง เป็นผู้หญิงสายลุย แต่ปันหยาคือคนที่ขี้กังวลมาก ๆ คนหนึ่งเช่นกันถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับร้าน
“อืม พี่นัดจะออกอีก3วันแล้ว ถ้าไม่ได้คนเราจะแย่นะ ไอ้วินทำใบปลิวไปแจก ลูกค้าแน่นร้านทุกวัน สงสารเด็กๆ ที่ร้าน”
ผมได้แต่ยิ้ม ๆ ให้เธอ เพราะผมรู้มาตลอดว่าปันหยานั้นเธอคือคนที่จิตใจดี เป็นห่วงทุกคนมาตลอด เราถึงได้คบกันมาได้นาน จนบางครั้งผมก็คิดว่าถ้าเราอยู่กันไปแบบนี้นานกว่านี้ ผมอาจจะต้องตกหลุมรักเธอขึ้นมาสักวัน
“สวัสดีค่ะพี่ภู พี่ปันหยา”
น้ำขิง พนักงานที่ร้านกล่าวทักทายทันทีที่ผมกับปันหยาเดินเข้ามาในร้าน ผมยิ้มให้น้องขิงก่อนจะโบกมือ เป็นสัญลักษณ์ให้เธอไปทำงานของเธอต่อ แล้วเดินเข้าไปในห้องทำงานของตัวเอง ถึงเราจะเป็นร้านกลาง ๆ ไม่ค่อยใหญ่โตมากเท่าไหร่นัก แต่พวกเราลงมติแล้วว่าจะแยกห้องกันทำงาน เพื่อความไม่วุ่นวาย
ห้องทำงานของพวกเราจะเป็นห้องกระจกใสเรียงกัน 3 ห้องอยู่ชั้นสองของร้าน เป็นห้องที่สามารถมองลงไปในร้านได้รอบด้าน เพื่อตรวจตราความเรียบร้อยได้ตลอดเวลา
แต่คนด้านนอกจะมองไม่เห็นด้านบน จะเห็นแค่เป็นกระจกที่จะหมุนวนประดับด้วยป้ายไฟ และของตกแต่งอย่างสวยงามตามเทศกาลเท่านั้น เพื่อความเป็นส่วนตัวของเราด้วย อันนี้ก็ได้ความคิดมาจากมาวิน เพราะรายนั้นบอกว่าจะเอาไว้ดูลูกค้าและความปลอดภัย แต่ก็นะมันคือเหตุผลแอบแฝงนั่นและทำไมผมจะไม่รู้นิสัยมัน
ในส่วนของห้องทำงานของเรานั้น เริ่มที่ห้องแรกหลังจากขึ้นบันไดมาจะเป็นของปันหยา ถัดมาจะเป็นของมาวิน และห้องสุดท้ายจะเป็นผม ผมเดินเข้ามาในห้องก่อนจะทิ้งตัวบนโซฟาขนาดใหญ่ โยนมือถือและไอแพด รวมถึงกุญแจรถไว้บนโซฟาอย่างขอไปที วันนี้กว่าจะมาถึงร้านได้ ผมก็ต้องฟังปันหยาบ่นเรื่องรถติดบ้าง งานในร้านบ้างไปเกือบชั่วโมง เพราะรายนั้นบ่นได้ทุกอย่างจริง ๆ บ่นได้อย่างไม่มีข้อแม้
กริ๊ง กริ๊ง
เสียงโทรศัพท์ภายในของร้านดัง ผมค่อย ๆ เหลือบไปมองยังต้นตอของเสียง ก่อนจะลุกจากโซฟานุ่ม ๆ เพื่อไปรับสาย
“ภูผารับครับ”
ผมกรอกเสียงเข้าไปในโทรศัพท์พร้อมกับมองลงไปด้านล่าง เพื่อดูว่าใครที่เป็นคนโทรขึ้นมา ก็เห็นว่าเป็นพี่นัดที่ต่อสายขึ้นมา ด้านข้างของพี่นัดมีผู้หญิงคนหนึ่งยืนอยู่ด้วย เดาว่าน่าจะเป็นคนที่นัดมาสัมภาษณ์งานวันนี้
“มีคนมาสัมภาษณ์งานครับคุณภู”
“ให้เขาขึ้นมาห้องผมเลยครับ ขอบคุณมากครับพี่นัด”
ผมพูดจบก่อนจะกดวางสาย และเดินมาทิ้งตัวลงที่เก้าอี้ทำงานเพื่อรอสัมภาษณ์งานพนักงานใหม่
ก๊อก ก๊อก
“เชิญครับ”
ทันทีที่ได้รับอนุญาตจากผม ประตูกระจกบานใหญ่ก็เปิดออกทำให้ผมเห็นคนที่จะมาสัมภาษณ์งานอย่างชัดเจน ครั้งแรกที่ผมเห็นเธอนั้น ร่างกายของผมเหมือนโดนไฟฟ้าช็อต เป็นความรู้สึกที่เย็นวาบตั้งแต่หัวจรดเท้า เพราะใบหน้าของเธอคนนี้เหมือนเด็กผู้หญิงคนนั้น คนที่ผมฆ่าเธอไปเมื่อ15ปีก่อน เธอช่างเหมือนมาก เธอเหมือนมาก ๆ ถึงแม้ว่าใบหน้าที่เห็นตรงหน้าจะดูโตเป็นสาว แต่โครงหน้าของเธอก็ยังคล้ายกับเด็กผู้หญิงที่ติดอยู่ในใจของผมคนนั้น ทั้งที่ผมเห็นรูปเธอในเรซูเม่แล้ว แต่พอเจอตัวจริงเธอกลับเหมือนมากกว่าที่ผมคิด
“สวัสดีค่ะ ชื่อยาหยี มาสัมภาษณ์งานค่ะ”
