10. ทำไมบอกไม่ฟัง
ฉันไม่ได้ตอบไปตรงๆ แต่เลือกที่จะถามน้ำขิงกลับไป เพื่อดูว่าน้ำขิงจะพูดอะไรต่อ ดีกว่าปล่อยไก่ตัวโตตอบไปว่ามี อีกใจหนึ่งก็ไม่รู้จะตอบว่าอะไรด้วยแหละถ้าน้ำขิงถามว่าเป็นใคร ก็ไม่กล้าพอที่จะบอกหรอกว่า คนคนนั้นคือพี่ภูผาน่ะนะ
“เปล่าหรอก ขิงแค่อยากรู้ว่าถ้าเราหลงรักคนที่ไม่มีทางเป็นไปได้ ตอนจบจะเป็นยังไง จะสมหวังไหมหรือสุดท้าย..เราก็ต้องเจ็บอยู่ดี”
น้ำขิงพูดไปพลางอมยิ้มไป แต่ช่างปล่อยรอยยิ้มที่ดูเศร้ามาก ดูก็รู้ว่าน้ำขิงคงจะแอบชอบใครเข้าแล้วสักคน แล้วการชอบใครสักคนทั้งที่รู้ว่าเป็นไปไม่ได้คงจะเศร้าน่าดูจริง ๆ เพราะฉันก็เริ่มรู้สึกแบบนั้นเข้าแล้ว
“ฮั่นแน่ น้ำขิงของเรามีคนที่ชอบซะแล้ว…ขิงฟังหยีนะ ไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้ ถ้าเรายังไม่ได้ลอง เรายังไม่แม้แต่ที่จะบอกเขา หรือทำให้เขาเห็นเลยด้วยซ้ำ หยีเชื่อเสมอว่าคำตอบนั้นมีแค่สองทาง มันจะมีก็แค่ได้รักกัน หรือ เรารักเขาข้างเดียวก็เท่านั้น”
“เห้อ…ยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้าไม่คุยเรื่องนี้แล้วดีกว่า นี่เพราะขิงเห็นว่าหยีเป็นเพื่อนนะถึงได้ถาม หยีคงไม่รำคาญขิงใช่มั้ย”
“ไม่เลย ๆ หยีดีใจนะที่ขิงไว้ใจหยี แล้วมาปรึกษาหยีอะ โอ๋ ๆ มากอดกัน ๆ”
ฉันโอบกอดเพื่อนคนนี้เอาไว้อย่างแน่นเพื่อเป็นกำลังใจให้เธอ และส่วนลึกของจิตใจก็มีบ้างที่ฉันปล่อยให้เธอกอดฉันเพื่อปลอบประโลมจิตใจของฉันด้วย เราทั้งคู่ยืนกอดกันไม่นานนักก็มีหิมะค่อย ๆ โปรยปรายลงมาช้า ๆ แต่ก็พอให้สัมผัสได้ถึงความเย็น เราทั้งคู่หันออกไปด้านนอกพร้อมกันอย่างมิได้นัดหมาย ก่อนหันมามองหน้ากัน แล้วก็ได้แต่หัวเราะกันอย่างไม่มีเหตุผล
มันรู้สึกทั้งตื่นเต้นทั้งดีใจ ราวกับพวกเราก็ถูกโอบกอดไปด้วยละอองหิมะที่บางเบา ฉันกับน้ำขิงกางมือออกไปสัมผัส รู้สึกเย็นและละลายไปกับมือ ทำให้รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ถึงแม้จะเป็นการโปรยของหิมะที่บางเบาไม่หนักมาก แต่ก็ทำให้ฉันรู้สึกมีความสุขแบบบอกไม่ถูก ฉันกับน้ำขิงยืนตื่นเต้นตากละอองหิมะกันพักใหญ่ ๆ ก็ถูกดึงความสนใจด้วยเสียงนาฬิกาปลุกจากมือถือที่ถูกวางทิ้งไว้บนที่นอนทันที
“ได้เวลานัดที่พี่ปันหยาบอกแล้ว เราไปเตรียมตัวกันเถอะ ไม่รู้พี่ๆ จะพาพวกเราไปไหน ตื่นเต้น ๆ”
ฉันได้แต่พยักหน้าตอบรับ ก่อนจะเดินเข้าห้องแล้วแยกย้ายกันไปแต่งตัว ดีนะพกเสื้อมาหนาพอสมควร แต่ก็ยังไม่พอที่ทำให้หายหนาวได้มากนัก ไว้ถ้าผ่านร้านเสื้อผ้าค่อยแวะไปซื้อเพิ่มละกัน ฉันว่าฉันดูพยากรณ์อากาศดีแล้วนะแต่ก็ไม่คิดว่าสถานที่จริงจะหนาวขนาดนี้ ผิดคาดไปนิดหน่อย
ทุกคนลงมารวมตัวกันที่ล็อบบี้ตามเวลาที่นัดไว้ ฉันเห็นพี่ปันหยายืนเปิดแผนที่ซึ่งมีพี่ภูกับพี่มาวินก็ยืนดูแผนที่กันอยู่ที่ล็อบบี้ด้วย
“มากันแล้วเหรอ...หิวกันหรือยัง ช่วยเลือกหน่อยสิ ไปร้านไหนกันดี”
พี่ปันหยาหันมาถามพวกเราทันทีที่เดินมารวมกลุ่มกัน
“ยาหยี มีร้านแนะนำไหม”
จู่ ๆ พี่ภูก็หันมาถามฉัน ถ้าฉันเสนอไปพี่ ๆ จะไปไหมนะ
“หยีเคยอ่านตามเว็บแนะนำร้านอาหารเราลองไปร้านแถว ๆ โซลทาวเวอร์ไหมคะ มีอาหารหลากหลาย เห็นว่าเป็นที่ที่นักท่องเที่ยวชอบไปมากด้วยนะคะ”
“น่าสนนะ ไหน ๆ ก็เลือกไม่ถูกแล้วว่าจะไปที่ไหน ก็ไปร้านที่ยาหยีแนะนำแล้วกัน เราก็หาที่ตั้งเลยว่าอยู่ตรงไหน จากนี่ไปโซลทาวเวอร์ไกลไหมปันหยา”
ฉันรู้สึกดีใจมากเลย ฉันเคยวางแผนไว้ว่าถ้ามาที่เกาหลี ฉันจะไปตามสถานที่ ที่ผู้คนรีวิวให้ครบเลย ถึงจะไม่ได้มาแบบส่วนตัวแต่อย่างน้อยฉันก็ได้ไปร้านอาหารที่อยากไปแล้วหนึ่งที่ละนะ
“พี่ ๆ จะไปโซลทาวเวอร์ด้วยไหมคะ”
สถานที่ที่สองที่ฉันอยากไป ‘โซลทาวเวอร์’ ถึงจะไม่ได้มาแขวนกุญแจกับคู่รักเหมือนคนอื่นก็เถอะ แต่ฉันก็อยากขึ้นไปแขวนสักครั้งกับน้ำขิงก็ไม่เลว แต่คิดเล่น ๆ แล้วถ้าได้แขวนกับพี่ภูก็คงจะดีมากนะ งื้อ! นี่ฉันคิดอะไรอยู่เนี่ย
พอพูดถึงพี่ภูฉันก็อดหันไปมองพี่เขาไม่ได้ ก็เห็นพี่ภูกำลังมองฉันอยู่เช่นกัน อยู่ ๆ ก็รู้สึกเลือดลมสูบฉีดแบบบอกไม่ถูก ฉันคงไม่ได้หน้าแดงให้พี่เขาเห็นหรอกใช่ไหม อยู่ ๆ พี่ภูก็เดินมาหาฉันซึ่งมีสายตาของทุกคนหันมามองฉันด้วย มันยิ่งทำให้ฉันทำตัวไม่ถูก
แล้วนี่พี่ภูจะเดินมาหาฉันทำไม ฉันแค่ถามเองนะว่าจะไปโซลทาวเวอร์ด้วยไหม เพราะมันคือสถานที่ที่ควรไปมากจริง ๆ พี่ภูเดินมาหยุดตรงหน้าฉัน ยืนนิ่ง ๆ มองหน้าฉัน ซึ่งฉันเองก็ได้แต่ยืนตาค้างมองหน้าพี่ภู ฝ่ามือหนาของพี่ภูก็เอื้อมมาอังที่หน้าผากของฉัน วินาทีที่มือพี่ภูแตะโดนที่หน้าผาก ฉันรู้สึกเหมือนโดนไฟช็อต มันร้อนวูบวาบราวกับจะเป็นลม แต่ก็รู้สึกดีแบบบอกไม่ถูก
“ตัวก็ไม่ร้อนนี่ ทำไมเราหน้าแดงขนาดนี้ละยาหยี รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า” เอะ! หน้าแดง? แอ๊!! ไม่ใช่ว่าฉันเขินพี่ภูจนหน้าแดงขนาดให้คนอื่นจับได้หรอกนะ
