Episode 04: ความเลวร้ายของโอเมก้า [2/1]
หลังจากได้คำสั่งจากเจอโรม ปฏิบัติการคิดค้นและพัฒนาประสิทธิภาพของยาระงับอาการฮีทสำหรับลูกชายหัวแก้วหัวแหวนก็เริ่มต้นขึ้น เจเรมีไม่ได้รับอนุญาตให้ไปที่สถาบันเพื่อเล่าเรียนตามปกติอีกเลยนับแต่นั้น กิจวัตรประจำวันของเขาถูกปรับเปลี่ยนไปตามตารางที่ทีมแพทย์กำหนดไว้ จะเรียกว่าเขากลายเป็นหนูทดลองก็ไม่ต่างเท่าไหร่นัก การต้องทำตามกฎเกณฑ์ที่วางไว้ไม่ว่าจะตื่นนอน... ทานอาหาร... ออกกำลังกาย... ทุกอย่างต้องตรงเวลาเป๊ะๆ ซ้ำยังต้องทำตามรายการที่ถูกวางไว้ให้โดยไม่มีสิทธิ์มีเสียง มันทำให้เขาอึดอัดเสียจนแทบหายใจไม่ออก
อย่างกับติดคุกก็ไม่ปาน...
เจเรมีอดรู้สึกอย่างนี้ไม่ได้ ยิ่งถูกกำชับด้วยว่า...
‘ระหว่างนี้ห้ามออกไปไหนมาไหนตามใจจนกว่าจะมั่นใจได้ว่ายังไม่มีใครรู้เรื่องของแก’
เจเรมีจึงได้แต่อยู่ในบ้าน จนตอนนี้บ้านของเขาเป็นเสมือนคุกกักกัน ร้ายไปกว่านั้นคือหลังจากที่เขาใช้ชีวิตอย่างมีกฎเกณฑ์ร่วมหลายสัปดาห์แล้ว เจอโรมยังมาบอกให้เขาเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการไปตรวจร่างกายเพื่อเก็บตัวอย่างเลือดและตรวจระดับฮอร์โมนอีก ถ้าการตรวจนั่นไม่เกี่ยวพันกับผู้ชายที่ชื่อว่าคริส เขาก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร หากแต่มันดันเกี่ยวพันกันเต็มๆ โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ทันทีที่รู้ เจเรมีก็แทบจะพังบ้านให้ยับเลยทีเดียว ก็ยังดีที่ยังเกรงในความน่าเกรงขามของบิดาอยู่บ้าง ถึงจะอาละวาดแต่พอเจอโรมเตือนให้ตระหนักถึงผลเสียต่อตัวเองถ้าไม่ทำตามแผนนี้ เจเรมีก็ยินยอมทำแต่โดยดีแม้ว่าจะไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก
มันเรื่องอะไรที่เขาจะต้องถูกปลดออกจากตระกูล ไปขึ้นทะเบียนโอเมก้าแล้วถูกส่งขายทอดตลาดหรือถูกกำจัดอะไรพรรค์นั้นกันล่ะ คิดหรือว่าเขาจะยอมให้ตัวเองตกต่ำลงไปอย่างนั้น!
เพราะเหตุนี้ถึงได้มานั่งจุ้มปุ้กด้วยสีหน้าไม่รับแขกอยู่ในห้องรอตรวจของโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งที่ได้ชื่อว่าเป็นโรงพยาบาลที่เป็นจุดศูนย์รวมของเทคโนโลยีการแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดในมหานครเพิร์ลและให้บริการสำหรับกลุ่มอัลฟ่าเท่านั้น หากแต่เขาไม่ได้มาใช้บริการอย่างที่คนอื่นๆ มาในเวลาทำการ ทว่าเป็นในยามวิกาลและแน่นอนว่ามันคือการลักลอบเข้ามา
จากอิทธิพลและอำนาจของเจอโรมทำให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ต้องการไม่ยากนัก เพียงแต่บอกให้แมทธิวรู้ว่าเขาต้องการอะไร รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขแห่งมหานครเพิร์ลก็จัดสรรให้ได้ทุกอย่าง ทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่มีส่วนรู้เห็นในโครงการผลิตยาเพื่อรักษาเจเรมีมาเตรียมการกันอย่างพร้อมหน้า เตรียมตัวลงมือปฏิบัติการตามคำสั่งของผู้เป็นนาย
แต่ไม่ใช่เท่านั้น... ไม่ใช่แค่คนพวกนั้น นอกจากนี้ก็ยังมีใครอีกคนที่ถูกพาตัวมาด้วยอำนาจของเจอโรมเช่นเดียวกัน
เขาถูกเรียกว่าหนูทดลอง... คริส ฟ็อกซ์
เจอโรมได้สั่งการให้พัศดีที่ใกล้ชิดออกคำสั่งพาตัวนักโทษคดีร้ายแรงมายังโรงพยาบาลแห่งนี้ แม้คริสจะไม่ได้อยากมาเท่าไหร่นัก แต่พอรู้ว่าเขาถูกเรียกตัวมาด้วยเหตุผลอะไรก็ได้แต่ปลงตกแล้วตามมาโดยไม่ขัดขืน
จะไปขัดขืนอะไรได้ ไร้อำนาจ ไร้อิทธิพล ไร้ซึ่งทุกอย่างแล้วนี่ การขัดขืนไม่เป็นวิธีที่ฉลาดเลย
เพราะเหตุนี้ถึงได้มานั่งรอเจเรมีอยู่ในห้องสังเกตการณ์ที่เป็นห้องว่าง มีเพียงเตียง เก้าอี้สองตัวที่ประกบกับโต๊ะสีขาวเท่านั้น รอบข้างมีลำโพงสำหรับฟังเสียงของผู้ที่อยู่ด้านหลังกระจกบานใหญ่ซึ่งมองเห็นได้แค่ฟากเดียวส่งเสียงผ่านไมโครโฟนเข้ามา คริสที่ถูกจับเปลี่ยนชุดจากชุดนักโทษเป็นชุดผู้ป่วยซึ่งค่อนข้างเหมือนชุดสำหรับผู้ป่วยจิตเวชมากกว่าเพราะมันรัดแขนไม่ให้เขาขยับได้ ก่อนจะได้รับคำสั่งให้นั่งลงบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง พลันผู้คุมและเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลก็มาช่วยกันตรึงเขาไว้กับเก้าอี้ตัวนั้นอีกที ทั้งหมดนั่นเป็นไปเพื่อความปลอดภัยของเจเรมีในกรณีว่านักโทษอย่างเขาเกิดคิดอยากทำอันตรายขึ้นมาแม้ความจริงแล้วข้อหาที่ถูกจับจะเป็นผลพวงมาจากเรื่องการเมืองก็ตาม
คริสอดคิดไม่ได้เลยว่าคนที่จะทำอันตรายในห้องนี้น่าจะเป็นเจเรมีมากกว่า ก่อนหน้าที่คุยกัน อีกฝ่ายก็ออกอาการไม่พอใจที่เขาเป็นคู่แห่งโชคชะตาของตัวเองทั้งที่เขาก็ไม่ได้อยากจะไปเป็นอะไรอย่างนั้นด้วยสักนิด ยิ่งการมาเจอกันในครั้งนี้เป็นไปด้วยเหตุผลของการพัฒนายาระงับอาการฮีทของเจเรมีที่มีปฏิกิริยากับกลิ่นฟีโรโมนของเขาด้วยแล้ว คริสก็รู้ตัวเลยว่าสถานการณ์คงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ซึ่งก็จริงอย่างที่เขาคาดการณ์ ไม่นานนักชายในชุดผู้ป่วยที่เขารอคอยก็โผล่หน้าเข้ามาในห้องให้เห็น สีหน้าบูดบึ้งทวีมากขึ้นไปอีกทันทีที่ดวงตาคมเหลือบเห็นคริส ตามมาด้วยคำสบถหยาบคายอีกชุดใหญ่ให้คนฟังได้ระคายหู กระทั่งเจอโรมที่รอดูลูกชายผ่านทางกระจกด้านเดียวตักเตือนผ่านไมโครโฟน เสียงก่นด่านั้นถึงเงียบลงได้
“ไง” แต่เป็นคริสแทนที่ไม่เงียบ ทักทายไปตามประสา
จริงๆ ก็ไม่ได้ทักทายไปตามประสาหรอก แค่อยากจะทำให้เจเรมีลดความเครียดลง ดูหน้าอีกฝ่ายสิ น่ากลัวขนาดนั้น อีกนิดเดียวก็แทบจะฆ่าเขาได้แล้ว
หากแต่เจเรมีไม่ตอบ ชำเลืองมองตาขวางแล้วเมินเอาดื้อๆ ทำให้คริสได้เอ่ยออกไปอีก
“เจอกันอีกแล้วนะ”
เจเรมีไม่เสวนาด้วยอยู่ดี จ้องเขม็งอย่างเกรี้ยวกราด ปล่อยให้คริสพูดอยู่คนเดียว
“พาฉันมาเพื่อพัฒนายาสำหรับนายสินะ”
ไม่ต้องบอกว่ายาอะไร เจเรมีก็รู้อยู่แต่ใจ นั่นทำให้เขาหัวเสียมากขึ้นกว่าเดิมเสียอีก
“หุบปากซะถ้ายังอยากมีฟันไว้กัดไอ้หนูของผู้คุม”
ปล่อยความหยาบคายออกมาอีกระลอก เป็นคำพูดที่ดูถูกคริสน่าดู ทว่าชายหนุ่มไม่ยี่หระกับสิ่งที่ได้ยิน นั่งนิ่งๆ รอจนกระทั่งบรรดานายแพทย์เข้ามาอธิบายสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่อึดใจข้างหน้าให้ฟัง
“ทำไมต้องมาทำอะไรบ้าๆ นี่ด้วยวะ” เจเรมีพึมพำหลังจากนายแพทย์คนหนึ่งอธิบายเสร็จ
เขารู้อยู่แล้วว่าที่ต้องมาโผล่หัวในห้องนี้เป็นเพราะเจอโรมต้องการให้เขาแสดงอาการฮีทและปล่อยฟีโรโมนออกมาถึงขีดสุดขณะได้กลิ่นฟีโรโมนของคู่แห่งโชคชะตาอย่างคริสเพื่อพัฒนายา รู้ว่ามันเป็นประโยชน์กับตัวเขาเอง แต่พอนึกถึงตอนที่เขาถึงจุดสุขสมทั้งที่ชายหนุ่มไม่แม้แต่จะแตะต้องแล้วมันก็เจ็บใจ
เจ็บใจเรื่องนั้นยังไม่พอ รับไม่ได้กับความจริงที่ว่าเขาเป็นโอเมก้าด้วย
ใช้ชีวิตแบบอัลฟ่ามาทั้งชีวิต จู่ๆ ก็เปลี่ยนไปเพราะการปรากฏตัวของคริสมันเป็นเรื่องที่ไม่ว่าอย่างไรก็รับไม่ได้อยู่แล้ว!
สายตาเกรี้ยวกราดในตอนนี้ปราดมองไปยังนายแพทย์คนหนึ่งที่กำลังฉีดยากระตุ้นให้เกิดอาการฮีทให้เขาที่ข้อพับแขนหลังจากที่นายแพทย์ผู้คุมการดำเนินการหลักที่รอดูอยู่ภายนอกกับบิดาออกคำสั่งให้เริ่มทุกอย่างตามแผนการได้ คริสได้แต่นั่งมอง เขาเองก็ไม่อยากมาทำอะไรแบบนี้หรอก แต่มีทางเลือกให้เสียที่ไหน อิสรภาพสูญเสียไปแล้ว สิทธิในการเรียกร้องอะไรก็ไม่มี สถานะต้อยต่ำประหนึ่งเดนมนุษย์ จึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย ใครอยากให้ทำอะไรก็ทำ
...แค่ตอนนี้เท่านั้น มีโอกาสเมื่อไหร่ ชายหนุ่มไม่รอช้าที่จะทวงคืนทุกอย่างที่ควรเป็นของเขาแน่
“หลังจากนี้คุณจะเริ่มมีอาการฮีท อาจจะทรมานสักหน่อย แต่ขอให้อดทน ถ้าฟีโรโมนถูกปล่อยออกมาจนถึงขีดสุด ผมจะเก็บตัวอย่างเลือดกับตรวจระดับฮอร์โมนของเขา เรียบร้อยแล้วจะฉีดยาระงับอาการฮีทให้นะครับ” นายแพทย์บอกอีกที
เจเรมีชักสีหน้า พลางส่งเสียงห้วน “จะทำอะไรก็รีบทำ อย่าพล่ามให้มากนัก รำคาญ”
นายแพทย์คนนั้นพยักหน้ารับไปตามเรื่อง เมื่อจัดการตามหน้าที่เรียบร้อย นายแพทย์คนนั้นก็เดินออกไปสังเกตการณ์ผ่านบานกระจกด้านนอก ทิ้งให้ชายหนุ่มทั้งสองนั่งประจันหน้ากัน คริสยังคงไม่แสดงสีหน้าใดๆ ขณะที่เจเรมีจ้องอีกฝ่ายอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ นักโทษหนุ่มสบตากลับอย่างไม่เกรงกลัวจนเขาอดรนทนไม่ได้
“มองบ้าอะไร ไม่อยากตายดีหรือไง” ถึงจะฆ่าไม่ได้ ขอขู่สักหน่อยก็ยังดี
คริสกลอกตามองไปด้านข้างเล็กน้อย มุมปากยกขึ้นคล้ายยิ้มเย้ยสร้างความหงุดหงิดให้กับเจเรมีอีกเป็นเท่าตัว ความจริงเขาไม่ได้ตั้งใจจะยั่วโทสะ แค่นึกขำเล็กๆ กับพฤติกรรมของคนตรงหน้า
ไม่มีวุฒิภาวะเอาซะเลย...
ไร้ซึ่งวุฒิภาวะอย่างที่นักโทษหนุ่มคิด แค่ยิ้มเล็กๆ เท่านั้นก็ทำให้เจเรมีหงุดหงิดจนแทบคลั่งได้อยู่แล้ว ดีที่มีเสียงของนายแพทย์ผู้ดำเนินงานดังลอดออกมาจากลำโพงภายในห้องสังเกตการณ์ บรรยากาศกดดันถึงได้เจือจางลงไปได้เล็กน้อย
“อีกราวๆ สิบห้านาที ยาจะออกฤทธิ์นะครับ คุณเมอร์ซีช่วยตั้งสติไว้ด้วย”
คนด้านนอกยืนรอดูอาการที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้อย่างใจจดใจจ่อ จะมีก็แต่เจเรมีที่อยากให้ทุกอย่างยุติลงเสียทีแม้จะเข้าใจดีว่าทำไมเขาต้องทำให้ตัวเองเกิดอาการฮีทอีกครั้ง แต่ว่า...มันเรื่องอะไรที่จะต้องมาเป็นฮีทต่อหน้าผู้ชายคนนี้ด้วย!
ถึงอย่างนั้นก็ให้ความร่วมมือแต่โดยดี คริสไม่ได้ทำอะไรให้เขาขุ่นเคืองใจหรอก เจเรมีแค่รู้สึกไปเองว่าคนตรงหน้าทำให้เขาอารมณ์เสียอยู่ตลอดเวลา
ความจริงแล้ว... มันเป็นแค่ความเสียหน้าน่ะ แค่ได้กลิ่นของอีกฝ่ายก็ถึงจุดสุขสมได้ มันน่าเจ็บใจจะตาย!
กระนั้นก็แสร้งนั่งนิ่ง พยายามควบคุมอารมณ์คุกรุ่นของตัวเองอย่างสุดความสามารถ มีเพียงคริสเท่านั้นที่สังเกตอาการอีกฝ่ายที่ใบหน้าเริ่มจะแดงเรื่อขึ้นมาเพราะอุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้นก็พลันทัก
“ควบคุมตัวเองดีๆ ล่ะ มีแต่นายที่ไม่ได้ถูกมัด” ว่าพลางขยับตัวเล็กน้อยให้เห็นว่าเขาถูกตรึงไว้ไม่ให้ขยับได้ถ้าหากเกิดอาการตอบสนองต่อกลิ่นฟีโรโมน
เจเรมีที่ถูกพูดเหมือนดูแคลนกัดฟันแน่น จ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง “หุบปากซะ”
คริสยอมเงียบตามคำขู่ จากนั้นก็นั่งนิ่งรอเวลา สายตาสังเกตอาการของเจเรมีเป็นระยะ ผ่านไปไม่นานนัก ฤทธิ์ยากระตุ้นฟีโรโมนก็เริ่มทำงาน จมูกของเขาได้กลิ่นหอมหวานขึ้นมาทีละน้อย ก่อนที่มันจะฉุนขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้เขาต้องเบือนหน้าหนี ใช้ความพยายามอย่างสุดความสามารถในการควบคุมตัวเอง ทว่าเจเรมีมีอาการมากกว่าหลายเท่าตัว เริ่มแรกเพียงแค่ใบหน้าแดงเรื่อ สักพักก็ลามไปยังลำคอและใบหู ความร้อนพร่างพรายไปทั่วทุกส่วนของลำตัว จุดศูนย์รวมความรู้สึกทางเพศพลันตื่นตัวขึ้นมา ลมหายใจเริ่มหอบกระชั้น เขาเกลียดเหลือเกินกับอาการบ้าๆ ที่ทำให้ควบคุมตัวเองไม่ได้อย่างนี้ พยายามจะต่อต้านแต่ก็ไม่อาจทนได้ไหว ฟุบหน้าลงไปบนโต๊ะตรงหน้า มือหนากำแน่นจนซีดขาว
ทรมาน... ทรมานจนแทบทำให้เป็นบ้า และเขาก็คงจะเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ เมื่อจมูกได้กลิ่นฟีโรโมนของคริสที่ปล่อยออกมาโดยอัตโนมัติซึ่งมาจากการตอบสนองต่อกลิ่นของเจเรมี เท่านั้นหัวสมองของเขาก็มึนเบลอไปทันที ดวงตาเรียวปรือลง เหลือบมองใบหน้าหล่อเหลาด้วยสายตาหยาดเยิ้ม
คริสไม่สบตาอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย ใบหน้าแดงก่ำ มีการขยับตัวด้วยท่าทางอึดอัดเล็กน้อยบ่งบอกให้รู้ว่าเขาเองก็ทรมานเหมือนกัน หากแต่เก็บอารมณ์ได้ดีกว่า ส่วนเจเรมีนั้น... สติแตกไปแล้ว
“มะ...ไม่ไหว” ร่างใหญ่ครวญ พยายามจะลุกขึ้นเพื่อออกไปข้างนอก เขาต้องการฉีดยาระงับอาการนี้โดยด่วน ทว่าพอทำท่าจะลุกยืนจากเก้าอี้เท่านั้น แข้งขาก็สั่นจนล้มคุกเข่าไปบนพื้น ค่อนข้างแย่หน่อยที่จุดที่เขาล้มมันใกล้กับเก้าอี้ของคริสพอดี ทำให้จมูกได้กลิ่นของคู่แห่งโชคชะตาแรงมากขึ้นไปอีก
เจเรมีพยายามจะยืนขึ้นอีกครั้ง ยื่นมือไปจับข้อเท้าอีกฝ่าย กะว่าจะใช้เป็นที่พยุงตัว หากแต่ฉับพลันก็เกิดควบคุมตัวเองไม่ได้เสียอย่างนั้น เงยหน้าสบตาคริสที่มองมา พลันทุกอย่างก็หมุนคว้างไปหมด
“คะ...คริส...” ปากเผลอครางเรียกชื่ออีกฝ่ายออกไปด้วย
คริสไม่ตอบโต้อะไร เอาแต่หายใจหอบถี่ขณะที่เจเรมีค่อยๆ ดันตัวขึ้นมานั่ง ขยับตัวเข้ามาซุกใบหน้าลงกับหน้าท้องของเขาอย่างลืมตัว
“ไม่ไหวแล้ว...” ตามมาด้วยครางอีกครั้ง
การกระทำนั้นทำให้คริสสะดุ้งเล็กน้อย แล้วก็ต้องแปลกใจที่จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงประหลาดหลุดออกมาจากริมฝีปากของคนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า
“อา...” ร่างใหญ่กระตุกเกร็ง แขนแกร่งทั้งสองโอบประคองแผ่นหลังของคริสเอาไว้ ใบหน้าที่ซุกอยู่ช่วงหน้าท้องแนบแน่นเข้ามาอีก อาการนั้นทำให้ชายหนุ่มรับรู้ได้ว่าเจเรมีไปถึงจุดที่เขาต้องการโดยที่ไม่มีใครแตะเนื้อต้องตัวอีกแล้ว และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้กลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าหนุ่มถูกปล่อยออกมาอย่างเต็มที่
เมื่อกลิ่นหอมหวานลอยเข้าจมูกจังๆ คริสก็หน้ามืดขึ้นมาทันที เขาถูกกระตุ้นเร้าอย่างสุดขีดเช่นกัน ริมฝีปากหนาขบเม้มเข้าหากันจนซีด เริ่มอยู่ไม่สุข ขยับเก้าอี้ดิ้นรนให้ตัวเองหลุดออกจากการพันธนาการทั้งหมดเพื่อที่จะตอบสนองตามสัญชาตญาณตัวเองกับร่างกายของคนที่ฟุบหน้าอยู่บนหน้าขาของเขา
เกือบจะกลายเป็นคลุ้มคลั่งอาละวาดอยู่แล้ว โชคดีที่ยังไม่ทันจะได้มีอะไรเกิดขึ้น ทำได้แค่โยกตัวไปมาคล้ายจะพยายามดิ้นรนออกจากการดึงรั้ง ทีมแพทย์ที่สวมหน้ากากกรองกลิ่นฟีโรโมนก็พากันกรูเข้ามาในห้องสังเกตการณ์เสียก่อน พลันรีบเจาะเลือดและตรวจวัดระดับฮอร์โมนของคริสในเวลาอันสั้น ส่วนเจเรมีเองก็ถูกพยุงไปนอนพักบนเตียงในห้องนั้นอย่างรวดเร็วและจัดการจับฉีดยาระงับอาการฮีททันที
กว่าช่วงเวลานั้นจะผ่านไป เรียกได้ว่าชายหนุ่มทั้งสองต้องผ่านความยากลำบากกันมากโขเลยทีเดียว พอทุกอย่างเข้าสู่ความสงบ พวกเขาถึงตั้งสติได้อีกครั้งพร้อมกับระลึกได้ชัดเจนว่าไม่กี่อึดใจก่อนหน้าเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้าง คริสที่คิดทำมิดีมิร้ายอีกฝ่ายถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก คิดไม่ออกเลยว่าถ้าเขาอาละวาดเพื่อที่จะตอบสนองต่ออาการฮีทของอีกฝ่าย เรื่องมันจะเลวร้ายแค่ไหนแม้ว่าเขากับเจเรมีจะเป็นคู่แห่งโชคชะตาของกันและกันก็ตาม
ไอ้ความเป็นคู่แห่งโชคชะตามันอันตรายมากเหมือนกันแฮะ
“เสร็จเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวพักสักครู่นะครับ แล้วผมจะให้ผู้คุมมาพากลับไป” นายแพทย์ที่เพิ่งฉีดยาต่อต้านฟีโรโมนของโอเมก้าให้คริสเสร็จเอ่ยขึ้น
คริสพยักหน้ารับก่อนอีกฝ่ายจะหันไปบอกกับเจเรมีบ้าง
“ส่วนคุณเมอร์ซีนอนพักสักประเดี๋ยวนะครับ รอให้ยาออกฤทธิ์เต็มประสิทธิภาพก่อนค่อยออกไป เดี๋ยวคนอื่นจะแตกตื่นกัน”
เจเรมีไม่หือไม่อือ ปล่อยให้นายแพทย์คนนั้นออกจากห้องไปหลังอธิบายเสร็จ พอเหลือแค่เขากับเจเรมีที่ตอนนี้มีสติสัมปชัญญะกลับมาครบถ้วน คริสก็อดพูดออกมาไม่ได้ แน่นอนว่ามันเกี่ยวกับเหตุการณ์ก่อนหน้า...
“เมื่อกี้น่ะ ที่นาย...”
“หุบปากเน่าๆ ของนายเอาไว้ อย่าสำรอกอะไรออกมาเชียว” ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร เจเรมีที่นอนก่ายหน้าผากอยู่ก็โพล่งขึ้น
จริงๆ แล้วคริสตั้งใจจะขอโทษที่เผลอคิดอะไรไม่ดีกับเจเรมีไป เพราะเขารู้ดีว่าอีกฝ่ายเจ็บปวดแค่ไหนหลังจากรับรู้ว่าตัวเองเป็นโอเมก้าทั้งที่เข้าใจว่าเป็นอัลฟ่ามาตลอดชีวิต ซ้ำยังมามีอาการอะไรแปลกๆ กับคู่แห่งโชคชะตาที่พบเจอโดยบังเอิญอีก จะว่าไปแล้วก็น่าสงสารเหมือนกัน หากแต่พอถูกเจเรมีพูดใส่หน้าแบบนี้แล้ว ความเห็นใจของคริสก็แปรเปลี่ยนไปเป็นอื่นแทน มุมปากยกยิ้มขึ้น พูดลอยหน้าลอยตา
“แค่จะบอกว่ากางเกงเปียกน่ะ”
ก็บอกว่าอย่าสำรอกอะไรออกมาไง หาเรื่องหรือไงวะไอ้เวรเอ๊ย!
เจเรมีผงกศีรษะขึ้น คว้าหมอนขว้างใส่อีกฝ่ายสุดแรงแขน คริสที่ถูกมัดตรึงไว้อยู่ไม่สามารถหลบได้ อย่างดีก็แค่หันหน้าหนี หมอนเลยกระแทกเข้ากับซีกหนึ่งของใบหน้าเต็มๆ พอเหลือบไปมองคนตัวการก็เห็นว่าเจเรมีกำลังนั่งชูนิ้วกลางใส่อยู่
“ไปตายซะ”
หยาบคายสุดๆ ไปเลย นี่น่ะเหรอผู้รากมากดีจากตระกูลอัลฟ่าแห่งมหานครเพิร์ล...
เป็นคนที่ผ่าเหล่าผ่ากอมากจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นอัลฟ่าหรือโอเมก้า และความหยาบคายของคนตรงหน้าก็ทำให้คริสลอบถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ทำเอาเจเรมีที่เดือดได้ที่ขู่เสียงต่ำ
“มีปัญหาอะไร”
“ฉันแค่คิดว่าพ่อแม่นายจะกลุ้มใจแค่ไหนที่มีลูกอย่างนี้”
อย่างนี้คืออย่างไหนก็ไม่อาจรู้ได้ แต่มันไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ นั่นทำให้เจเรมีอยากหาอะไรมาทุบคนตรงหน้าให้ตายคามือ เกือบจะพุ่งไปคว้าโต๊ะทุ่มใส่อยู่แล้ว ดีที่เจอโรมส่งเสียงผ่านไมโครโฟนตัดบทเสียก่อน
“หายดีแล้วก็ออกมา อย่ามัวแต่เล่น เรายังมีเรื่องต้องทำต่อ”
เจเรมีฮึดฮัดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมทำตามแต่โดยดีเมื่อนายแพทย์กับเจ้าหน้าที่พยาบาลเข้ามาตรวจความเรียบร้อยอีกครั้งแล้วพาเขาออกจากห้องสังเกตการณ์ไป ปล่อยให้คริสนั่งอยู่อย่างนั้นกระทั่งผู้คุมมาช่วยแก้มัดเขาและพาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อกลับไปยังทัณฑสถาน
หลังจากวันที่ได้เจอกับคริส เจเรมีก็ไม่ได้กลับไปเหยียบที่สถาบันอีกเลยกระทั่งเวลาผ่านไปหนึ่งเดือนเต็มๆ การหายหน้าหายตาไปของเขาสร้างความประหลาดใจให้กับเพื่อนร่วมชั้นปีเป็นอย่างมาก ทว่าก็เป็นแค่ในระยะแรกเท่านั้นด้วยมีคนปล่อยข่าวลือว่า ‘ไอ้คนตายด้าน’ อย่างเขารู้สึกเสียหน้าที่มีอาการตอบสนองกับกลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าเพราะตลอดเวลาที่ได้ยินชื่อเสียงความร้ายกาจของผู้ชายคนนี้มา ยังมีเรื่องที่เขาไม่มีอาการตอบสนองใดๆ ต่อสิ่งเร้ามาให้ได้ยินอีกด้วย การที่ชายหนุ่มมีอาการแบบนี้ทำให้ความรู้สึกว่าตัวเอง ‘พิเศษ’ กว่าอัลฟ่าคนอื่นๆ ถูกลิดรอนไป
คงจะรับความจริงว่าอัลฟ่าทุกคนล้วนแล้วตอบสนองต่อฟีโรโมนของโอเมก้าไม่ได้ถึงได้หายหัวไปอย่างนี้ จะมีก็แต่อัลเบิร์ตเท่านั้นที่รู้ความจริง เขาไม่พอใจกับสิ่งที่ได้ยินเกี่ยวกับเพื่อนสนิทตัวเองนัก หากแต่ไม่พูดอะไรออกไปด้วยตระหนักถึงความปลอดภัยของเจเรมีมากกว่า เหนือสิ่งอื่นใดก็เพื่อความปลอดภัยของบิดาเขาด้วย ถ้าหากมีใครรู้ว่าบิดาเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับความลับของเจเรมี มีหวังครอบครัวเขาต้องเดือดร้อนแน่
ก็ยังดีที่เรื่องราวของเจเรมีไม่ได้ถูกพูดถึงกันทั่วสถาบันนานนักเมื่อมีเรื่องของนักโทษคนนั้นเข้ามาแทนที่ ใช่... คริส ฟ็อกซ์ ตอนนี้ชายหนุ่มเป็นที่กล่าวขวัญถึงกันไปทั่วว่าแท้จริงแล้วไม่ใช่อัลฟ่า แต่เป็นโอเมก้าที่ตระกูลฟ็อกซ์แห่งอาณาเขตปกครองพิเศษดีออนรับเลี้ยงไว้
มันก็ดีที่ใครต่อใครเอาแต่พูดถึงเรื่องนั้น เจเรมีจึงกลับมาปรากฏตัวที่สถาบันด้วยความไม่หัวเสียเท่าไหร่นัก... ก็หัวเสียนั่นแหละ มากเสียด้วย เอาเป็นว่าดีที่เขาไม่ทวีความหงุดหงิดไปมากกว่านี้ก็แล้วกัน
“ไหวไหมเนี่ย ถ้าไม่ไหวจะไปข้างนอกไหม” เห็นเจเรมีเอาแต่ฟุบหน้าลงบนโต๊ะหลังจากเข้ามารอผู้สอนในคลาสของเช้าวันนี้ อัลเบิร์ตก็อดชวนให้โดดเรียนขึ้นมาเสียไม่ได้แม้ว่าโดยปกติแล้วเขาจะเป็นคนออกปากห้ามอีกฝ่ายมากกว่า ทว่าการเห็นเพื่อนของตัวเองหมดลายไปอย่างนี้ก็เกิดสงสารขึ้นมา
เจเรมี เมอร์ซี ต้องไม่หงอยอย่างนี้สิ...
