Episode 03: คู่แห่งโชคชะตา [2/2]
“ชนชั้นสูงที่นี่ไร้มารยาทแบบนี้ทุกคนเลยหรือไง ดูเหมือนนายจะขาดการอบรมสั่งสอนที่ดีนะ”
หัวคิ้วเรียวสวยของเจเรมีขมวดเข้าหากันเป็นปม เขาเคยแต่กวนอารมณ์คนอื่น ไม่คิดว่าสักวันจะมีใครบางคนกวนเขากลับบ้าง แล้วก็คิดไม่ถึงด้วยว่าผู้ชายที่เอาแต่ปั้นหน้านิ่งจะตอกกลับมาอย่างนั้น แต่จะอะไรก็ช่าง เขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาหาเรื่องกับผู้ชายที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันเพียงครั้งเดียว แต่มาเพราะมีเรื่องจะถามต่างหาก
“นายได้รับการพิสูจน์แน่แล้วใช่ไหมว่าเป็นอัลฟ่า”
“เกิดในตระกูลอัลฟ่ายังเป็นข้อพิสูจน์ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ” คริสถามย้อน “เหมือนกับนายน่ะ”
ทำเจเรมีหน้าตึงไปอีกระลอก
“ฉันเป็นอัลฟ่า!” คราวนี้ถึงกับแผดเสียง รู้สึกได้เลยว่าคนตรงหน้าร้ายกาจไม่ใช่น้อยแม้จะดูนิ่งๆ ก็ตามที
คริสเหล่มอง เขาไม่ได้อยากจะยั่วประสาทคนตรงหน้านักหรอก แต่ออกจะรำคาญสักหน่อยที่เจเรมีเอาแต่ถามคำถามแนวยัดเยียดให้เขาเป็นโอเมก้า
เขาไม่ได้เป็น ได้รับการตรวจด้วยวิธีการทางการแพทย์มาแล้ว เลือดของอัลฟ่าข้นคลั่กเสียจนไม่รู้จะข้นกว่านี้ได้อีกไหม รอยสักที่เป็นตราประทับอัลฟ่าก็มีบนหัวไหล่ข้างขวาตั้งแต่สองปีก่อนแล้วเช่นกัน ถ้าจะเป็นฝ่ายไม่แน่ใจว่าเพศไหนกันแน่ก็มีแต่คนตรงหน้านี่แหละ ก่อนจะเผยอริมฝีปากเอ่ยออกไป
“นายเกิดในตระกูลอัลฟ่า แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นอัลฟ่า ที่นี่ไม่มีการใช้โอเมก้าเป็นเครื่องผลิตลูกเหมือนที่อื่นหรือไง นายอาจจะเป็นลูกที่เกิดจากโอเมก้าและดันไม่ได้เป็นอัลฟ่าก็ได้”
“นาย!”
ได้ยินอย่างนี้ เส้นความอดทนของเจเรมีก็ขาดผึง เขาลุกพรวดไปคว้าคอเสื้อของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว เกือบจะตะบันหน้าหล่อๆ อยู่แล้วถ้าหากว่าผู้คุมที่ยืนมองอยู่ไม่เข้ามาห้ามปรามเสียก่อน
แยกออกห่างจากคริสได้ เจเรมีก็สะบัดตัวหนีจากการเกาะกุม พยายามสงบจิตสงบใจ ขณะที่คริสทำเพียงจับคอเสื้อให้เข้าที่แล้วนั่งนิ่งเหมือนกับก่อนหน้า
“ฉันจะถามอีกครั้งว่านายแน่ใจใช่ไหมว่าเป็นอัลฟ่า”
“ฉันแน่ใจ” คราวนี้ไม่ยอกย้อนแล้ว ตอบไปตามตรง
คำตอบนั้นทำให้เจเรมีใจสั่น เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าคริสมั่นใจว่าตัวเองเป็นอัลฟ่า แล้วใครกันล่ะจะเป็นโอเมก้าที่ทำให้เขามีปฏิกิริยาตอบสนองรุนแรงอย่างนั้นได้ แล้วก็ต้องใจสั่นมากขึ้นไปอีกเมื่อเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาถามคืน
“แล้วนายมั่นใจเหรอว่าตัวเองเป็นอัลฟ่า”
เป็นคำตอบที่เจเรมีไม่กล้าเอ่ยเลย
...เขาไม่มั่นใจ
ตั้งแต่เล็กยันโตจนอายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์ เขาไม่เคยมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อฟีโรโมนของโอเมก้าสักครั้งไม่ว่ามันจะรุนแรงขนาดไหน กระทั่งเมื่อสัปดาห์ก่อนเขาได้กลิ่นของคริส สัญชาตญาณที่หลับใหลอยู่ก็ถูกปลุกขึ้นมาจนเจเรมีปวดหัวด้วยเอาแต่คิดถึงเรื่องนี้ไปเป็นอาทิตย์เลยทีเดียว
“ว่าไง นายมั่นใจไหม” พอเห็นอีกฝ่ายไม่ตอบก็ถามย้ำ
เจเรมีเหลือบมองหน้า ริมฝีปากหนาเผลอเม้มเข้าหากันแน่น แสดงความไม่มั่นใจออกมาโดยไม่รู้ตัว การกระทำนั้นทำให้คริสยกยิ้มบางๆ
เป็นสีหน้าที่น่าดู แต่เจเรมีไม่ชอบเอาเสียเลย
“ถ้านายไม่มั่นใจก็ควรจะไปถามครอบครัวของนายหรือไม่ก็ไปตรวจให้ชัดเจน ไม่ใช่มาถามฉัน” ว่าพลางจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่ง “จวนจะหมดเวลาเยี่ยมแล้ว กลับไปเถอะ” จากนั้นก็ตัดบทเอาดื้อๆ ด้วยเห็นว่าการพูดคุยนี้ช่างไร้สาระ
คริสเกือบจะยืนขึ้นอยู่แล้ว ทว่าเจเรมีไวกว่า เขารีบเอื้อมไปคว้าแขนของคนตรงหน้าไว้มั่น ชายหนุ่มหันมามองหน้าสลับกับมือของเขาที่จับอยู่ เจเรมีถึงได้รู้ตัวแล้วปล่อยออก
“ฉันขอถามอีกเรื่อง” ตั้งหลักได้ก็ว่าขึ้น
คริสผายมือเล็กน้อยเป็นสัญญาณว่าให้พูดได้ เจเรมีนิ่งคิดไปครู่ ลังเลใจว่าควรจะถามดีหรือไม่ แต่สุดท้ายความสงสัยก็กัดกินใจเขาจนต้องหลุดปากออกมา
“สมมติว่าถ้าฉันเป็นโอเมก้า การที่ฉันมีปฏิกิริยากับกลิ่นของนายตอนเจอหน้ากันครั้งแรก มันหมายความว่า...”
“คู่แห่งโชคชะตา” ถามยังไม่ทันจบ คริสก็โพล่งออกมาแล้ว
เจเรมีชะงัก ใบหน้ามีเครื่องหมายคำถามอันเบ้อเร่อแปะหราไว้อยู่ คริสจึงย้ำออกมาอีกครั้ง
“นายกับฉันเป็นคู่แห่งโชคชะตา เราเกิดมาเพื่อเป็นของกันและกัน”
ประโยคนี้ทำเอาเจเรมีหน้าชา
เป็นของกันและกันบ้าอะไร คิดว่าฉันจะไปนอนแยกขาให้นายอย่างนั้นเหรอ!
“ว่าไงนะ!” เจเรมีเผลอเสียงดังขึ้นมาจนได้ แล้วก็ต้องถูกคริสเบรกด้วยการว่าเนิบๆ
“เรื่องสมมติไม่ใช่เหรอ”
ใช่ เป็นแค่เรื่องสมมติ แต่ทำให้ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของเขาเต้นระส่ำเลยทีเดียว ก่อนคริสจะพูดต่อ
“ภาษาทั่วไปเรียกการจับคู่ของอัลฟ่ากับโอเมก้าที่เจอหน้ากันครั้งแรกแล้วเกิดอาการฮีทแบบฉับพลันว่าคู่แห่งโชคชะตา แต่ในทางวิทยาศาสตร์มันก็แค่เรื่องของสารเคมีในร่างกายเข้ากันได้ดี ปกติแล้วไม่มีโอเมก้าคนไหนหรอกที่จะได้กลิ่นฟีโรโมนของอัลฟ่า เว้นก็แต่อัลฟ่ากับโอเมก้าที่มีสารเคมีขั้วตรงกัน เหมือนกับที่นายได้กลิ่นฉันนั่นแหละ”
เจเรมีไม่อยากจะยอมรับเลยขู่ฟ่อ “ถ้านายยังพูดอะไรเป็นเชิงว่าฉันเป็นโอเมก้าออกมาอีก ฉันไม่ปล่อยนายไว้แน่”
คริสไม่ได้กลัว เพียงแต่นึกขันในท่าทางแยกเขี้ยวของอีกฝ่ายพลันแย้มยิ้ม
“นายคงไม่อยากเสียเวลากับฉันหรอก แล้วนี่จะกลับไปได้หรือยัง จะหมดเวลาเยี่ยมแล้ว” คริสชี้นิ้วไปทางนาฬิกาบนผนังด้านข้าง
เจเรมีเหลือบไปมองก็เห็นว่าเป็นอย่างที่อีกฝ่ายพูด พลันพ่นลมหายใจออกมาอย่างหัวเสีย
“สวะเอ๊ย”
แทนที่จะขอบคุณที่ให้ข้อมูล กลับออกปากด่าคริสเสียนี่ ซ้ำยังเป็นคนแรกที่เดินเร็วๆ ออกจากห้องเยี่ยมอีกต่างหาก คริสมองตามหลังแล้วก็ได้แต่ขบคิด
เพิ่งมาค้นพบว่าตัวเองเป็นโอเมก้าเอาตอนนี้ ชีวิตต่อจากนี้คงจะลำบากหน่อยนะ...
ไม่ใช่คิดว่าเจเรมีจะลำบาก เขาเองก็คงจะลำบากเช่นเดียวกัน
คู่แห่งโชคชะตาของเขาช่างไม่น่าพิสมัยเอาเสียเลย...
เพราะได้คุยกับคริส เจเรมีเลยอยู่ไม่สุข ไม่สามารถสงบใจได้เลยแม้แต่น้อย ออกจากทัณฑสถานมาได้ก็มุ่งหน้ากลับบ้าน ทันทีที่มารดาเห็นหน้าเขาที่หายหัวไปหลายวันก็รีบพุ่งเข้ามากอดด้วยอารามตกใจระคนโล่งใจ ก่อนจะร้องเรียกคนที่อยู่ในบ้านให้ออกมาเป็นการใหญ่
เจอโรมเป็นคนแรกที่พุ่งออกมาจากห้องรับแขก ก่อนจะตามมาด้วยแมทธิวและนายแพทย์สังกัดกระทรวงสาธารณสุขแห่งมหานครเพิร์ลที่มีส่วนรู้เห็นในโครงการผลิตยาเพื่อเจเรมี ตบท้ายด้วยอัลเบิร์ตที่พอเห็นเพื่อนสนิทโผล่มาก็ทำหน้าตาตื่น ก่อนจะเอ่ยปากทักเป็นคนแรก
“นายหายไปไหนมา รู้ไหมว่าพวกเราตามหากันให้ควั่กเลยนะ”
“ห่วงไม่เข้าเรื่องน่า” เจเรมีทำทีไม่ยี่หระ ตอบด้วยน้ำเสียงรำคาญใจ
มันไม่ใช่การห่วงไม่เข้าเรื่อง แต่เป็นเรื่องใหญ่ทีเดียวที่เขาหายตัวไปหลังจากเกิดเหตุ ตอนนี้ทุกคนที่ยืนอยู่ ณ ที่นี่รู้กันหมดแล้วว่าเจเรมีเป็นอะไร ไม่เว้นแม้แต่อัลเบิร์ตที่เป็นคนบอกเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้พวกผู้ใหญ่ฟัง เขาเองก็ตะลึงงันไปเหมือนกันกับความจริงที่ได้รู้ จะมีก็แต่เจเรมีเองนี่แหละที่ยังไม่รู้เรื่องอะไร แต่แววตากังวลนั่นก็พอจะบ่งบอกได้อยู่ว่าเจ้าตัวเองก็แคลงใจในสภาพร่างกายของตนอยู่เหมือนกัน
เจอโรมเห็นลูกชายตรงหน้าแล้วก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่งที่ยังไม่ถูกพาตัวไปไหน ก่อนจะถามเมื่อเห็นว่าเจเรมีเอาแต่เงียบ
“แกอยากพักก่อนหรืออยากจะคุยเลย”
พูดมาอย่างนี้แสดงว่าคนเป็นพ่อมีเรื่องจะบอกเป็นแน่ เจเรมีเหลือบมองใบหน้าคร้ามที่ดูตึงเครียดแล้วก็เอ่ยปาก
“พ่อคิดว่าผมสมควรรู้ได้หรือยังล่ะ เก็บเงียบมาตั้งยี่สิบปีแล้วนี่” เจเรมีสวนคืน ชัดเจนเลยว่าเขาไม่พอใจที่เกิดเรื่องอย่างนี้ และพานคิดไปด้วยว่าการที่ถูกใครต่อใครในครอบครัวพร่ำบอกว่าป่วย ต้องได้รับการรักษาอะไรนั่นมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เมื่ออาทิตย์ก่อนเหมือนกัน
เจอโรมจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่งๆ ก่อนจะพยักปลายคางไปทางห้องรับแขก “เข้าไปสิ ฉันจะบอกแกทั้งหมด”
ทุกชีวิตกลับเข้ามานั่งประจำที่ในห้องรับแขกอีกครั้ง ต่างออกไปจากก่อนหน้าเล็กน้อยที่ในตอนนี้มีเจ้าของเรื่องนั่งหน้าเครียดร่วมวงสนทนาอยู่ด้วย ความเงียบที่เข้าครอบงำเพราะไม่มีใครพูดอะไรสักทีทำให้เจเรมีที่ร้อนรุ่มใจอยู่แล้วหัวเสีย ออกปากด้วยน้ำเสียงดุดัน
“ตกลงจะมีใครบอกได้หรือยังว่าผมเป็นอะไร จะอมพะนำกันไปถึงไหน!”
“ใจเย็นก่อนเจมี” อัลเบิร์ตรีบหันมากระซิบกับเพื่อนเพื่อเตือนให้สงบใจลง ทว่าไม่ได้ช่วยเลย ยิ่งทำให้เจเรมีเดือดดาลมากขึ้นไปอีก
“ว่าไงพ่อ แค่พูดว่าผมเป็นลูกที่เกิดจากโอเมก้าแค่นี้มันทำให้ลำบากใจมากหรือไง”
ยั้งอารมณ์ไม่อยู่แล้ว ถ้าไม่ติดว่าเป็นพ่อ ดูท่าทางเจเรมีก็น่าจะไม่รอช้า ลุกขึ้นไปชกหน้าอีกฝ่ายให้สาสมใจ
ทว่าเจอโรมกลับเอาแต่นิ่ง ชวนให้ทุกคนที่รอดูสถานการณ์อยู่ชักอึดอัดขึ้นมา กว่าจะพูดได้ก็ทำเอาแทบหายใจไม่ออก
“แกไม่ใช่ลูกของโอเมก้า”
“แล้ว?”
“แต่แกเป็นโอเมก้า”
การพูดออกมาตรงๆ ทำให้เจเรมีรู้สึกเหมือนถูกตะบันจนหน้าหงาย สิ่งที่เขากลัวที่สุดมันกลายเป็นความจริงขึ้นมา เขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยินเลย ก่อนจะแค่นหัวเราะแห้งๆ ราวกับว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็นเพียงเรื่องตลก
“พ่ออย่าคิดว่าจะทำให้ผมตกใจได้ง่ายๆ หน่อยเลย คิดเหรอว่ามุกตื้นๆ จะทำให้ผมเชื่อได้ มันไม่ตลก”
“ฉันก็ไม่ได้ล้อเล่น” เจอโรมสวนกลับ ย้ำคำอีก “แกเป็นโอเมก้า”
เป็นเรื่องตลก... ตลกร้ายสุดๆ
สีหน้าของเจเรมีซีดเผือด เขาไม่เคยดูถูกพวกโอเมก้า แต่พอรู้ว่าตัวเองเป็นพวกนั้นก็อดรู้สึกเหมือนโลกจะถล่มไม่ได้
ไม่รู้สึกสิแปลก เพราะมันหมายถึงทุกสิ่งที่เขามีในมือ... สิทธิ... เสรีภาพ... อิสระ... มันสามารถเลือนหายไปได้ง่ายๆ เลยนะ ยิ่งไปกว่านั้น การที่เขาคลุกคลีอยู่กับอัลฟ่าโดยที่ทางครอบครัวปกปิดมันเป็นเรื่องผิดกฎหมายของที่นี่ด้วย โอเมก้าทุกคนต้องไปขึ้นทะเบียนพลเมืองชั้นสองและไม่สามารถอยู่ร่วมกับชนชั้นอื่นได้โดยเฉพาะกับอัลฟ่า การอยู่แบบนี้มาตลอดยี่สิบปี เท่ากับว่าทุกคนที่นั่งหน้าสลอนอยู่ที่นี่คือผู้สมรู้ร่วมคิดในการกระทำผิดขั้นร้ายแรงเลยทีเดียว
ทว่านั่นไม่สำคัญ ตอนนี้เจเรมีอยากรู้มากกว่าว่าทุกอย่างมีความเป็นมาอย่างไร
“ถ้าพ่อกับแม่ไม่มีใครเป็นโอเมก้า แล้วทำไมผมถึง...”
ไม่กล้าพูดออกมาว่า ‘แล้วทำไมผมถึงเป็นโอเมก้า’ แต่เจอโรมรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายต้องการจะเอ่ยอะไร เขาถอนหายใจออกมายาว ก่อนออกปากอธิบาย
“ในตระกูลของเรามีคนที่เป็นโอเมก้าอยู่ ปู่ของแกเป็นเด็กที่เกิดจากโอเมก้า” เจอโรมว่า “แต่เขาเกิดมาเป็นอัลฟ่าถึงได้ถูกนับรวมเข้าตระกูล”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผม” เป็นคำถามที่ฟังดูโง่เง่ามาก
แมทธิวเห็นแล้วก็อดอธิบายออกมาไม่ได้ “เธอเป็นลักษณะด้อยน่ะเจเรมี”
ใบหน้าของคนฟังดูไม่เข้าใจมากขึ้นไปอีก ให้แมทธิวได้อธิบายต่อ
“คืออย่างนี้นะ บางครั้งในกรณีที่มีเด็กอัลฟ่าซึ่งเกิดจากโอเมก้ามีการสืบลูกสืบหลาน ในรุ่นหลาน บางครั้งจะมีลักษณะด้อยปรากฏออกมา ซึ่งลักษณะด้อยมันก็คือการเป็นโอเมก้าแม้ว่าพ่อแม่จะเป็นอัลฟ่าทั้งคู่ก็ตาม และเธอก็เป็นลักษณะด้อย มันเลยเป็นเหตุผลที่ทำให้พวกเราต้องคอยดูแลเธออย่างใกล้ชิดไง”
“เป็นเหตุผลที่ผมต้องได้รับการรักษาเพราะบอกว่าป่วยอย่างนั้นใช่ไหม”
แมทธิวพยักหน้า
“ยาที่ให้ผมกินกับฉีดก็เป็นยาระงับอาการเป็นฮีทด้วยงั้นสิ”
แมทธิวพยักหน้าช้าๆ อีกที
เจเรมีทิ้งตัวพิงพนักโซฟาอย่างหมดเรี่ยวแรง
ตอนนี้เข้าใจแล้ว... เข้าใจชัดเจนเลยว่าทำไมถึงไม่มีใครยอมบอกว่าเขาป่วยเป็นอะไร ที่แท้ก็กลัวว่าความลับนี้จะรั่วไหลออกไปนี่เอง ปกติแล้วเด็กที่เป็นโอเมก้าและเกิดมาในตระกูลอัลฟ่ามักถูกกำจัดทิ้งหรือไม่ก็ขาย การที่บิดาทำแบบนี้ก็เพื่อปกป้องเขาล่ะสินะ
ส่วนอัลเบิร์ตเองก็เข้าใจแล้วเช่นกันว่าทำไมแมทธิวถึงได้บอกว่าเจเรมีป่วยเป็นโรคพันธุกรรมผิดปกติ... มันไม่ได้ผิดปกติหรอก เพียงแต่เพื่อนสนิทของเขาเกิดมาพร้อมลักษณะด้อยอันไม่พึงประสงค์ตามค่านิยมของเหล่าอัลฟ่าก็เท่านั้น เขาเหลือบมองเจเรมีที่ยกมือขึ้นปิดหน้าด้วยความสงสารสุดกำลัง
ผู้ชายที่ได้ชื่อว่าเป็นจอมวายร้ายกำลังหมดท่า ความเย่อหยิ่ง ดื้อรั้น และทุกความภาคภูมิใจในตัวเขาถูกทำลายลงจนพังพินาศ ก่อนเจเรมีจะเปล่งน้ำเสียงแห้งผากออกมา
“ใครก็ได้บอกทีว่ามันเริ่มต้นขึ้นยังไง”
ชายวัยกลางคนทั้งสองเหลือบมองหน้ากันเล็กน้อย พลันแมทธิวก็ให้นายแพทย์ที่คอยดูแลดำเนินงานโครงการยาสำหรับเจเรมีเป็นคนอธิบาย
“โดยปกติแล้ว โอเมก้าที่เข้าสู่ช่วงวัยรุ่นสักอายุประมาณสิบสองสิบสามจะเริ่มมีอาการที่เรียกว่าฮีท อาการนี้จะเกิดขึ้นเดือนละหนึ่งครั้ง กินระยะเวลาประมาณเจ็ดถึงสิบวัน แต่สำหรับคุณที่ไม่เคยมีอาการนี้เลยเป็นเพราะพวกผมได้จ่ายยาระงับอาการนั้นไว้และพัฒนาตัวยามาโดยตลอดเพื่อให้มีประสิทธิภาพในการยับยั้งฮอร์โมนที่ผลิตออกมามากขึ้นตามการเจริญเติบโตของร่างกาย ยาที่ได้รับในแต่ละวันจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดฮีท ผมสามารถพูดได้ว่าความเสี่ยงเท่ากับศูนย์”
“เท่ากับศูนย์กับผีน่ะสิ แล้วไอ้ที่ผมเป็นวันนั้นมันคืออะไร!” เจเรมีแผดเสียงลั่น เขาหมายถึงการที่มีปฏิกิริยากับกลิ่นของคริส
คนถูกตะคอกถึงกับสะดุ้ง เจอโรมจึงจำเป็นต้องออกโรง
“วันนั้นแกไม่ได้ฉีดยาใช่ไหม”
ความจริงนี้ทำให้เจเรมีหน้าตึง ก่อนที่คนเป็นพ่อจะพูดออกมาอีกที
“ความผิดมันอยู่ที่แกแล้ว” จากนั้นก็หันไปพยักหน้าให้กับนายแพทย์คนนั้นเล็กน้อย “พูดต่อสิครับ”
“การที่คุณไม่ฉีดยา ความจริงแล้วมันยังพอมีฤทธิ์ยับยั้งไม่ให้เกิดอาการฮีทอยู่ครับ แต่ก็มีกรณียกเว้น อย่างเช่น...”
จู่ๆ ก็หยุดพูดไป ทำให้เจเรมีปั้นหน้าโกรธขึ้ง
“อย่างเช่นอะไร”
“คุณเจอคู่แห่งโชคชะตา กรณีนี้ถ้าคุณไม่ได้รับยาระงับ คุณจะออกอาการฮีททันทีที่ได้กลิ่นอีกฝ่ายครั้งแรก แต่เจอกันครั้งต่อๆ ไปจนเริ่มคุ้นชินกันและกันก็ไม่เป็นไรแล้วครับ นอกจากจะไปเจอกันช่วงใกล้ก่อนระยะเกิดอาการฮีท ถ้าได้รับยาต้านก็น่าจะพอระงับได้อยู่”
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมตอนที่ไปหาคริสเมื่อเช้า เขาไม่มีอาการอะไรเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะเขาทำความคุ้นชินกับกลิ่นของคริสได้ไวและฉีดยาระงับอาการมาด้วยก็เป็นได้ถึงทำให้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างครั้งแรกที่เจอกัน ทว่าก็ต้องย่นคิ้วยู่เมื่ออีกฝ่ายว่าขึ้นมาอีก
“แต่มันก็ไม่ชะงัดสักเท่าไหร่นักเพราะการได้เจออัลฟ่าที่มีสารเคมีขั้วตรงกันมันจะทำให้อาการฮีทแสดงออกมาอยู่บ้างในบางครั้ง อันนี้ต้องเสี่ยงดวงเอาผมยังไม่ได้พัฒนายาไปถึงขั้นนั้นเพราะไม่รู้ว่าคู่แห่งโชคชะตาของคุณคือใคร เลยพัฒนาให้มันออกมาโดยรวม”
“แล้วทำไมไม่ทำให้มันดีไปเลยวะ” หลุดแสดงอารมณ์หุนหันออกมาอีก
ทว่าตอนนี้เหมือนนายแพทย์หนุ่มจะเริ่มชินกับกิริยาท่าทางแบบนั้นเสียแล้ว
“ปกติแล้วโอเมก้าจะไม่ได้กลิ่นของอัลฟ่าหรอกครับ จะได้กลิ่นกันก็ต่อเมื่ออัลฟ่าคนนั้นมีสารเคมีบางอย่างเข้ากันได้กับสารเคมีในร่างกายคุณ ซึ่งมันจะต้องใช้เวลาในการศึกษาค้นคว้าก่อนว่าระดับสารเคมีที่เข้ากันได้ของพวกคุณมันสูงขนาดไหน ถึงจะเริ่มขั้นตอนการทดลองพัฒนายาได้”
เหมือนกับที่คริสพูดไว้ไม่มีผิดเรื่องสารเคมีเข้ากันบ้าบออะไรนั่น เจเรมีอยากจะอาละวาดให้บ้านแตกเสียให้รู้แล้วรู้รอด หากแต่ทำได้แค่ปิดเปลือกตาลง ทำใจให้สงบเท่าที่จะทำได้แม้ว่ามือของเขาในตอนนี้เริ่มจะสั่นเทาขึ้นมา ก่อนที่หูทั้งสองข้างจะได้ยินเสียงของแมทธิว
“ผมเคยบอกแล้วว่าการต่อสู้กับสัญชาตญาณมันไม่ง่ายนัก จู่ๆ ก็เกิดเรื่องไม่คาดฝันแบบนี้ จะทำให้เรื่องเงียบคงต้องใช้เวลานานสักหน่อย นอกจากแผนสำรองที่ว่าจะให้เจเรมีหนีไปอยู่ที่อื่นแล้ว คุณมีแผนอื่นอยู่ใช่ไหมคุณเมอร์ซี”
เจอโรมพยักหน้ารับ เขาเตรียมการไว้เรียบร้อยแล้วทันทีที่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“สร้างข่าวลือให้เข้าใจว่าเจ้านั่นเป็นโอเมก้าซะ นอกจากพวกเรา ตอนนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ว่าลูกผมเป็นโอเมก้า มันคงไม่ยากอะไรเท่าไหร่หรอกมั้งถ้าจะสร้างเรื่องขึ้นมาให้เข้าใจเป็นอย่างนั้น”
คำตอบของเจอโรมทำให้ทุกฝ่ายเงียบงัน จริงอย่างที่เขาพูด การสร้างเรื่องมันไม่ยากหรอก แค่สั่งให้ทุกคนในที่นี่ปิดปากให้สนิทและปล่อยข่าวลือออกไป ยิ่งยังไม่มีใครรู้ว่าต้นเหตุของกลิ่นฟีโรโมนมาจากใครก็ยิ่งง่ายขึ้นไปใหญ่ เจเรมีน่ะอยู่คลุกคลีกับพวกอัลฟ่าคนอื่นๆ ในสถาบันมาตั้งนานแต่ไม่เคยมีอาการ มามีอาการตอนที่ผู้ชายคนนั้นโผล่ออกมา มันก็ไม่ยากอยู่แล้วที่จะทำให้เข้าใจเป็นอย่างนั้น
“แล้วหลังจากนี้ล่ะครับ” แมทธิวถามอีก เรียกสายตาคมของเจอโรมให้เหลือบไปมอง
“ไปพาตัวมันมา แล้วจะทำอะไรก็ทำไป ขอแค่ผลิตยาออกมาให้เร็วที่สุดก็พอ” คำสั่งหลุดออกมาแล้ว ‘มัน’ ที่ว่าก็ไม่ได้หมายถึงใครอื่นนอกจากคริส
นายแพทย์ที่รับฟังอยู่ก็พลันพยักหน้า ก่อนบทสนทนาจะดำเนินต่อไปอย่างเคร่งเครียด เจเรมีทนฟังไม่ไหว ขอตัวลุกออกมาก่อน เขาอยากจะพักสมองเต็มทน กระนั้นก็อดคิดไม่ได้เลยว่าการที่เขามีสารเคมีที่ขั้วตรงกันกับคริสจะเป็นปัญหาอะไรหรือเปล่า
...เป็นสิ เป็นแน่ เป็นปัญหาใหญ่เลยล่ะ
ถึงจะไม่มีกฎหมายมาตราไหนบัญญัติไว้ว่าอัลฟ่าและโอเมก้าที่มีขั้วสารเคมีตรงกันจะต้องครองคู่กัน แต่เขาก็รู้ดีว่ามันเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ทั้งคู่ดึงดูดเข้าหากันไม่ว่าจะพยายามหลีกหนีหรือไม่เต็มใจสักแค่ไหนก็ตาม ถึงจะไม่ได้มีใจปฏิพัทธ์ แต่ร่างกายก็ไม่อาจต่อต้านแรงดึงดูดนั่นได้อยู่แล้ว ดูอย่างที่เขาเจอกับคริสครั้งแรกสิ เจเรมียังถึงจุดสุขสมทั้งที่อีกฝ่ายไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ มันถึงได้ถูกเรียกว่า ‘คู่แห่งโชคชะตา’ อย่างไรล่ะ
ตอนที่เข้าใจว่าตัวเองเป็นอัลฟ่าก็อุตส่าห์โล่งใจแล้วว่าตัวเองไม่มีคู่แห่งโชคชะตาอะไรนั่น ถึงมีก็มีความเสี่ยงน้อยที่จะเจอเพราะโอเมก้ามีจำนวนเพียงหยิบมือ แต่พอรู้ตัวว่าเป็นโอเมก้า ซ้ำยังรู้ตัวเพราะเจอคู่แห่งโชคชะตา มันทำให้เขาอยากจะมุ่งหน้าไปที่ทัณฑสถานแล้วจัดการฆ่าผู้ชายคนนั้นด้วยมือตัวเองนัก
ถ้าไม่มีนายสักคน ฉันคงไม่ต้องตกอยู่ในสภาพน่าทุเรศอย่างนี้!
สมควรตายจริงๆ คริส ฟ็อกซ์!
