Episode 03: คู่แห่งโชคชะตา [2/1]
ลมหายใจติดขัด หอบหนักเหมือนเพิ่งผ่านการออกกำลังกายนานนับชั่วโมงมา ร่างกายร้อนผ่าวราวถูกเผาไหม้ แข้งขาสั่นจนแทบจะไม่มีแรงยืนตัวตรง เจเรมีรู้สึกคล้ายจะตายให้ได้ ดีที่คริสพยุงเขามาพักยังห้องพยาบาลได้ทันท่วงที เจ้าหน้าที่ในห้องหันมามองอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นแขกมาเยือน ดีที่เจ้าหน้าที่เหล่านั้นไม่ใช่อัลฟ่า แต่เป็นพวกเบต้าที่เป็นพนักงานประจำในสถาบันแห่งนี้จึงทำให้คริสไม่ต้องคอยระวังให้คนที่เขาพยุงมาถูกจู่โจม
คริสไม่คิดจะตอบคำถามของเจ้าหน้าที่ที่ร้องถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่ามาทำอะไรด้วยเห็นว่าเขาใส่ชุดนักโทษ นอกจากพาเจเรมีไปนั่งบนเตียง ทันทีที่ทิ้งตัวได้ เจเรมีก็ฟุบลงไปนอนตัวงอทันใด เสียงหายใจหอบกระชั้นดังตามมา เขาไม่เคยทรมานอย่างนี้มาก่อน รู้สึกตัวดีทุกอย่างแต่บังคับร่างกายตัวเองไม่ได้
หากแต่ไม่ว่าจะทรมานเพียงใด สายตาของเจเรมีก็จับจ้องไปยังชายในชุดนักโทษที่เดินไปยังตู้ยา ก้มๆ เงยๆ อยู่พักหนึ่ง ไม่สนใจแม้กระทั่งเสียงร้องโวยวายของเจ้าหน้าที่ก่อนจะหันไปถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“ยาระงับฟีโรโมนอยู่ไหน”
“คะ?” เจ้าหน้าที่สาวชะงัก เลิกคิ้วสูง
“ถามว่ายาระงับฟีโรโมนของโอเมก้าอยู่ไหน” คริสถามย้ำอีกครั้ง
คำถามของเขาทำให้คนฟังประหลาดใจไม่น้อย ตั้งแต่ทำงานที่นี่มา แทบไม่มีใครมาถามหายาระงับฟีโรโมนของโอเมก้ากับเจ้าหล่อนเลย และหล่อนก็มั่นใจว่าไม่มี จึงถามกลับ
“เอาไปทำไมคะ”
“ตอบคำถามฉัน ถ้าไม่รู้ว่าอยู่ไหนก็ไปหามาซะ” คริสว่านิ่งๆ ดวงตาประกายวาบ บ่งบอกว่ารำคาญใจไม่น้อย
เจ้าหน้าที่สาวที่ถูกจ้องอย่างนั้นรีบกุลีกุจอไปค้นตามตู้ยาทันทีแม้จะรู้ว่ามันไม่มี ทว่าฉับพลันก็นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อวานนี้ ศาสตราจารย์คนหนึ่งของสถาบันได้นำยาระงับฟีโรโมนของโอเมก้ามาฝากแช่ไว้ในตู้เย็นเพราะเขาจะเอาไว้ฉีดให้กับโอเมก้าคนหนึ่งที่พามาประกอบการบรรยายในคลาสของเขาและน่าจะยังพอมีเหลืออยู่ เท่านั้นก็รีบพุ่งไปยังหยิบเอากล่องบรรจุหลอดยาสีใสและตรงไปคว้าเข็มฉีดยาอันใหม่ออกมาส่งให้คริส ชายหนุ่มรับมาถือไว้ ไม่ถามหรอกว่าทำไมถึงไม่หายาชนิดรับประทาน ขอแค่มียามาจัดการกับอาการของผู้ชายคนนั้นก็พอแล้ว เป็นยาชนิดฉีดสิดี จะได้ระงับอาการได้ชะงัด
ร่างสูงตรงมาที่เตียง ออกปากไล่เจ้าหน้าที่คนนั้นออกไปพลันรูดม่านปิดล้อมเตียงเอาไว้ มือจัดการบรรจุยาน้ำนั่นลงในกระบอกฉีดอย่างคล่องแคล่ว เจเรมีที่นอนคุดคู้อยู่เหลือบมองแล้วก็ใจเต้นระส่ำขึ้นมา
ไม่ใช่เพราะตื่นเต้น... หากแต่เป็นเพราะกลิ่นของคริสที่ลอยโชยเข้ามาในจมูกมากขึ้นกว่าเดิม
“สะ...ไสหัว...ไป...” คิดว่าทนกับกลิ่นหอมหวานนั่นไม่ได้อีกต่อไปจึงได้ออกปากไล่ บริเวณกลางลำตัวของเขาคับแน่นจนแทบจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว หัวสมองมึนงงไปหมด
ไม่เข้าใจเลยว่าเกิดบ้าอะไรขึ้นกับร่างกายของเขา!
ไม่ใช่แค่เจเรมีเท่านั้นที่ทนไม่ไหว คริสเองก็เช่นกัน แม้จะได้รับยาต่อต้านฟีโรโมนของโอเมก้ามาแล้วแต่พอได้กลิ่นฟีโรโมนที่ถูกปล่อยออกมาเต็มที่ เขาก็เริ่มมีอาการกำหนัดบ้างแล้วเหมือนกัน หากแต่ยังครองสติได้อยู่ เคาะเข็มฉีดยาในมือแล้วหันไปจับแขนของอีกฝ่ายให้เหยียดตรง ก่อนจะต้องชะงักเมื่อเห็นว่าแขนข้างนั้นมีรอยจุดสีแดงๆ ที่ข้อพับอยู่เต็มไปหมด
ได้รับยามาตลอดงั้นเหรอ
ยังไม่ทันจะได้คิดอะไรต่อ น้ำเสียงแหบพร่าก็ดังมาให้เขาได้ยินอีกแล้ว
“บอกว่าให้ไสหัวไป...” ถูกแตะเนื้อต้องตัว เจเรมีก็แค่นเสียงออกมาอีกครั้ง
คริสเหลือบมองใบหน้าหล่อที่ดูทรมานแล้วก็แสร้งไม่สนใจ ใช้ปลายนิ้วกดตรงข้อพับหาเส้นเลือดขณะที่เจเรมีพูดออกมาอีก
“ไสหัว...”
“เงียบเถอะ” เห็นว่าอีกฝ่ายจะไล่อีก เขาก็แทรกขึ้นมาดักคอเสียก่อน
เจเรมีหงุดหงิดไม่น้อย ความรู้สึกคับข้องใจผสมปนเปกันไปหมด แต่ที่แน่ๆ คือเขาไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคริส ขณะที่อีกฝ่ายไม่สนใจอะไรเลย ตั้งหน้าตั้งตาจะเอาเข็มทิ่มลงมาบนผิวหนังของคนที่นอนพะงาบๆ อยู่อย่างเดียว
ทว่าในจังหวะที่เขายังคลำหาเส้นเลือดของเจเรมีอยู่นั้น ใบหน้าหล่อเหลาดันโน้มลงต่ำเข้าใกล้อีกฝ่ายมากขึ้น เจเรมีก็ออกอาการทุรนทุรายอีกระลอกเมื่อกลิ่นหอมฟุ้งหลั่งไหลเข้ามาจนเบลอไปหมด ร้ายกว่านั้นมันทำให้ความคับแน่นของเขาที่สั่งสมมาสักพักปะทุออกมาอย่างไม่อาจกักเก็บไว้ได้
ร่างกายช่วงล่างรู้สึกได้ถึงของเหลวบางอย่างที่หลั่งรินออกมา ลำตัวกระตุกเกร็งเล็กน้อย ริมฝีปากแห้งผากส่งเสียงน่าอับอายโดยไม่อาจห้ามได้ คริสชะงักไปทันที เงยหน้าจากการสำรวจหาเส้นเลือดขึ้นมามองคนตรงหน้า พอเห็นใบหน้าแดงเรื่อของเจเรมีก็รู้ได้ว่าความอดทนของอีกฝ่ายคงจะสิ้นสุดแล้ว หากแต่เขาไม่พูดอะไร ทำเพียงก้มหน้าหาเส้นเลือดอีกครั้งก่อนจะแทงปลายเข็มฉีดยาลงไป
ยาที่ถูกส่งเข้าไปในกระแสเลือดช่วยระงับอาการคลุ้มคลั่งนั่นได้พอสมควร เจเรมีกลับมามีสติสัมปชัญญะอีกครั้ง ทว่าร่างกายยังหนักอึ้งทำให้ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ จำต้องนอนนิ่งๆ ก่อน กระนั้นในใจก็นึกขุ่นแค้นขึ้นมาเมื่อนึกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขายามที่ผู้ชายคนนั้นขยับเข้ามาใกล้ แล้วก็ต้องโกรธจนกัดฟันกรอดเมื่อคริสว่าออกมาด้วยสีหน้านิ่งๆ
“กางเกงเปียกนะ”
เปียกตรงเป้าเสียด้วย เห็นอยู่จะจะคาตา
ใบหน้าของเจเรมีดูน่ากลัวขึ้นมาทันควันที่ถูกทัก
แล้วมันเป็นเพราะใครล่ะไอ้บัดซบ!
“นาย...” เสียงต่ำเล็ดลอดไรฟัน
คริสไม่ได้สนใจ จัดการฉีดยาให้เสร็จก็เก็บข้าวของลงในถาดเหล็ก ก่อนจะเดินออกไปยังหันมาพูดกับอีกฝ่ายสั้นๆ
“พักซะ ไว้อาการดีขึ้นกว่านี้ค่อยออกไป ตอนนี้ข้างนอกน่าจะวุ่นวายกันอยู่”
วุ่นวายเรื่องอะไรคงไม่ต้องให้คริสเป็นคนตอบ เจเรมีเม้มริมฝีปากแน่น ความสับสนจู่โจมเขาเป็นพัลวัน ไม่เข้าใจเลยว่าเมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้นแต่ก็พอจะลำดับเหตุการณ์ได้
เขามีอาการฮีท...
ไม่อยากจะยอมรับแต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันชัดเจนน่าดู และมันก็ทำให้เขาตกใจไม่น้อย สองมือกุมใบหน้า พึมพำออกมาอย่างสับสน
“เรื่องเวรอะไรวะเนี่ย”
คริสเหลือบมอง เป็นฝ่ายตอบให้ “นายเป็นโอเมก้า”
เป็นคำที่ไม่อยากได้ยินเลย ถึงอาการจะใช่ แต่ว่า...
“ฉันไม่ใช่โอเมก้า!” แผดเสียงออกไปดังลั่น ใบหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธเคือง
คริสไม่เข้าใจหรอกว่าการที่ผู้ชายคนนี้มาอยู่ในหมู่อัลฟ่ามันเป็นเพราะอะไร และเขาก็ไม่อยากจะยุ่งเกี่ยวด้วย มันไม่ใช่เรื่องของเขา แค่ตัวเองยังจะเอาไม่รอดจึงได้แต่บอกไปลอยๆ
“อยู่ที่นี่อาจจะไม่ดีกับนายสักเท่าไหร่นัก ถ้าอาการดีขึ้นแล้วก็รีบกลับบ้านไปก่อน ระวังพวกข้างนอกจะมารุมทึ้งนายให้ดี”
พูดจบก็ตลบม่าน เดินออกไปโดยไม่สนใจอะไรอีกเลย ปล่อยให้เจเรมีหัวเสียอยู่ตามลำพังที่ถูกเข้าใจว่าเป็นโอเมก้า มากไปกว่านั้น คำถามมากมายก็ผุดพรายขึ้นในหัวของเขา
เกิดอะไรขึ้น?
ทำไมถึงมีปฏิกิริยาตอบรับกับผู้ชายคนนั้น?
ใครกันแน่ที่เป็นโอเมก้า?
ให้ตาย! คำถามเยอะเสียจนเขาไม่รู้ว่าควรจะหาคำตอบของคำถามไหนก่อนดีแล้ว!
หลังจากที่คริสช่วยเหลือเจเรมีเสร็จเรียบร้อยและกลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าหายไป ทุกอย่างก็กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ที่ไม่ปกติเห็นจะเป็นความอลหม่านของบรรดาอัลฟ่าที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น มีหลายคนเข้าใจว่าคริสไม่ได้เป็นอัลฟ่า หากแต่เป็นโอเมก้า เพราะเชื่อมั่นว่าไม่ว่าอย่างไรคนอย่างเจเรมีก็ไม่ใช่โอเมก้าอย่างแน่นอน
หัวดื้อ มีทักษะ ฉลาดหลักแหลมแม้ว่าจะค่อนไปทางเจ้าเล่ห์เพทุบาย ซ้ำยังแข็งแกร่ง คุณลักษณะอย่างนี้ ดูอย่างไรมันก็อัลฟ่าชัดๆ!
หากแต่คริสไม่คิดจะแก้ตัวใดๆ เขารู้ดีว่าตัวเองเป็นแบบไหน บรรดาผู้คุมที่ใกล้ชิดกับเขาก็รู้ แน่ล่ะ หลักฐานทางการแพทย์ชัดเจนว่าเขาเป็นอัลฟ่าถึงขนาดนั้น จะให้คิดว่าเป็นโอเมก้ามันก็เป็นไปไม่ได้แล้ว และถึงแก้ตัวกับพวกที่เข้าใจผิดไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา เพราะสุดท้ายแล้วเขาก็ต้องกลับไปอยู่ในซังเตเหมือนเดิม แค่กลับออกมาจากห้องพยาบาล พวกผู้คุมก็วิ่งหน้าตั้งมาจับกุมตัวเขาด้วยกลัวว่าจะหนีโดยไม่ต้องร้องถาม
ไม่สำนึกถึงบุญคุณที่ช่วยให้ไม่คลุ้มคลั่งเพราะฟีโรโมนของโอเมก้าไม่พอ ยังจะกล่าวหาว่าเขาคิดอาศัยช่วงชุลมุนหลบหนีอีก คนพวกนี้มันอกตัญญู!
ซ้ำยังมารู้ทีหลังด้วยว่าที่เขาถูกจับฉีดยาต่อต้านฟีโรโมนอะไรนั่นก็เพื่อป้องกันเหตุสุดวิสัยอย่างเช่นที่เกิดขึ้นครั้งนี้นี่แหละ
คงกลัวว่าเขาจะคลุ้มคลั่งแล้วเอาไม่อยู่... แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่จะต้องเก็บมาใส่ใจ เอาเป็นว่าเขากลับมาใช้ชีวิตในห้องขังเดี่ยวของทัณฑสถานแห่งมหานครเพิร์ลเหมือนเดิมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ชีวิตประจำวันเดิมๆ ก็วนเวียนกลับเข้ามา
ตื่นเช้า...
ทานอาหาร...
ทำหน้าที่ตามที่ทัณฑสถานมอบหมาย...
จัดการมื้อเที่ยง...
ช่วงพักทำกิจกรรมผ่อนคลายตามอัธยาศัย...
เวลามื้อเย็น...
กลับเข้าห้องขัง...
วนเวียนอย่างนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนเขาเลิกนับวันไปแล้วว่าทำอย่างนี้มากี่เดือน กี่ปีแล้ว
หากแต่วันนี้ต่างออกไปสักหน่อยเมื่อคริสได้ยินเสียงของผู้คุมร้องเรียกตั้งแต่เช้า
“คุณฟ็อกซ์ มีคนอยากเจอแน่ะ”
คนที่กำลังง่วนอยู่กับการวิดพื้นหยุดชะงัก หันไปมองผู้คุมพลันเรียวคิ้วสวยก็ยกขึ้นเป็นเชิงถาม
“รออยู่ที่ห้องเยี่ยม”
ใครก็ไม่รู้ ไม่เห็นจะรู้จัก ความจริงเขาจะปฏิเสธไปก็ได้ หากสุดท้ายก็ยอมดันตัวขึ้นยืน ตามผู้คุมออกไปด้วยอยากรู้ว่าใครกันที่มาเยี่ยมเพราะตั้งแต่ที่เขาติดแหง็กอยู่ที่นี่ ก็ไม่มีใครมาขอเข้าเยี่ยมเลย มันจะไปมีได้อย่างไรล่ะจริงไหม ก็เขาไม่ได้เป็นอัลฟ่าของมหานครแห่งนี้ ถูกจับในข้อหากบฏ ซ้ำคนในครอบครัวก็เสียชีวิตไปหมดแล้ว พวกที่ฝักใฝ่กับตระกูลเขา บ้างก็ถูกฆ่า บ้างก็กระจัดกระจายไปคนละทิศละทาง หากจะมีใครมาเยี่ยมก็คงไม่พ้นโดนจับตามๆ กัน มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หรอก
ร่างสูงถูกจับใส่กุญแจมือ ผู้คุมเดินนำมายังห้องเยี่ยมซึ่งอยู่อีกอาคารหนึ่งกับอาคารคุมขังนักโทษ ก่อนจะให้เข้าไปในห้อง พร้อมกับบอกว่าเขามีเวลาครึ่งชั่วโมงในการพูดคุยเท่านั้น น่าแปลกใจอยู่สักหน่อยที่การเยี่ยมนี้เหมือนจะพิเศษกว่าปกติ เท่าที่รู้มาจากเพื่อนนักโทษด้วยกัน เห็นว่าจะต้องคุยผ่านเครื่องพูดคุยที่รูปร่างคล้ายกับโทรศัพท์และเขาต้องอยู่ในห้องที่มีกระจกกั้น ซ้ำยังมีเวลาพูดคุยแค่สิบห้านาที
แสดงว่าคนที่ขอเข้าเยี่ยมเขาจะต้องเป็นคนใหญ่คนโตแน่...
ผู้คุมพาคริสเข้าไปนั่งรอบนเก้าอี้กลางห้องนั้นได้สักครู่ ประตูก็ถูกเปิดออกอีกครั้งพร้อมกับการมาถึงของใครบางคน ดวงตาสีดำสนิทเหลือบมองยังร่างของผู้มาใหม่ ก่อนจะประหลาดใจอีกครั้งเมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจน
โอเมก้าคนนั้นนี่นา...
คิดแต่ไม่พูด ปล่อยให้อีกฝ่ายเดินเข้ามานั่งยังเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามตัวเองโดยมีโต๊ะกั้น วันนี้เจเรมีสวมชุดลำลอง ดูแปลกตาจากชุดวอร์มที่เคยเห็นไปอีกแบบ ใบหน้าก็ดูแปลกตาไปกว่าเดิมเช่นกัน
เขาดูอิดโรย...
ดูตึงเครียดระคนกังวลด้วย...
ท่าทางจะมีเรื่องให้คิดหนัก
มีเรื่องให้คิดหนักแน่นอนอยู่แล้ว ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์วันนั้น พอตั้งหลักได้ เจเรมีก็ออกจากสถาบันมาทันที ทว่าไม่ได้กลับบ้าน แต่ไปหมกตัวอยู่ที่โรงแรมแห่งหนึ่งเพื่อครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และการที่เขาหุนหันออกมาจากสถาบันนั้นก็ไม่ใช่เพราะคำเตือนของคริสว่าการที่เขายังอยู่ที่นั่นมันไม่เป็นผลดี หากแต่เป็นเพราะเขาไม่อาจยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นในตอนนั้นได้ต่างหาก
ความจริงที่เกิดขึ้น... ที่ทำให้เจเรมีคิดว่าตัวเองอาจจะเป็นโอเมก้า
เป็นเพียงความคิดที่มาๆ หายๆ นั่นก็เพราะถูกคริสตราหน้าไว้อย่างนั้น ประกอบกับการที่เขาถูกฉีดยาระงับฟีโรโมนแล้วมีอาการกลับมาเป็นปกติก็ทำให้อดคิดไม่ได้เลยว่าแท้จริงแล้วตัวเองอาจจะเป็นอย่างที่คริสพูดไว้ หากแต่เจเรมียังมั่นใจว่าตัวเองเป็นอัลฟ่า แม้จะต้องยอมรับว่าลึกลงไปแล้วใจเขาสั่นคลอนมากทีเดียว
เกิดเหตุการณ์อย่างนั้นขึ้น ใครมันจะไปมั่นใจกันได้ล่ะ มันก็ต้องมีไขว้เขวกันบ้างแหละ ตั้งแต่เกิดมา เขาไม่เคยมีอาการอย่างนี้เลยสักครั้งโดยเฉพาะอาการครั่นเนื้อครั่นตัวเมื่อได้กลิ่นหอมหวาน ถ้าเป็นการครั่นเนื้อครั่นตัวจากการที่เกิดกำหนัดตามธรรมชาติหรือมีการกระตุ้นเร้าทางร่างกายก็ว่าไปอย่าง หากแต่อาการได้กลิ่นของคนอื่นแล้วเกิดกำหนัดขึ้นมานั้น พอคิดดูดีๆ แล้วอาการนี้มันอาจจะเป็นอาการของอัลฟ่ายามได้กลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าก็เป็นได้ ไม่เกี่ยวอะไรกับตัวเขาหรอก
บางทีคริสอาจจะเป็นโอเมก้า...
ไม่ใช่เขาที่เป็นโอเมก้าเสียเอง...
แต่ถึงความจริงจะเป็นอย่างนั้นก็ต้องมาถามให้แน่ใจ การเอาแต่หมกตัวอยู่ในโรงแรมโกโรโกโส บ้านช่องไม่กลับ ครุ่นคิดเรื่องนี้ไม่ตกเป็นอาทิตย์มันทำให้เขาใกล้จะเป็นบ้าอยู่รอมร่อ สุดท้ายก็ต้องมาโผล่ที่นี่จนได้ และต้องขอบคุณตระกูลเขาที่ใหญ่โตคับฟ้าเสียเหลือเกินที่ทำให้ได้รับสิทธิพิเศษเข้ามาคุยกับนักโทษที่ต้องดูแลความปลอดภัยแน่นหนาเป็นอันดับต้นๆ ของทัณฑสถานแห่งนี้ด้วย
คริสขยับเล็กน้อย วางท่าทางผ่อนคลาย รอให้อีกฝ่ายเป็นผู้เริ่มเปิดปากคุยธุระ หากแต่เจเรมีก็ไม่พูดอะไรสักที เอาแต่นั่งจ้องหน้าเขาด้วยสายตาน่ากลัวจนชายหนุ่มต้องเป็นฝ่ายเอ่ยถาม
“นายชื่ออะไร”
“เจเรมี”
“นามสกุลล่ะ”
“เมอร์ซี... เจเรมี เมอร์ซี” เปล่งเสียงออกไปแล้ว ที่ยอมแนะนำตัวก็เพื่อจะได้คุยง่ายๆ
ซึ่งมันก็น่าจะง่ายจริงๆ เมื่อคริสเบิกตาโตขึ้นเล็กน้อยเมื่อนึกออกว่าเคยได้ยินนามสกุลนี้มาจากไหน
“หนึ่งในตระกูลผู้ปกครองของเพิร์ลล่ะสินะ เป็นอะไรกับเจอโรม... ลูกชาย?”
เอ่ยชื่อบิดาของเขาออกมาอย่างนี้แสดงว่ารู้เป็นอย่างดีเลยว่าตระกูลเมอร์ซีมีอำนาจมากแค่ไหน
ทำไมจะไม่รู้ล่ะ ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่ทำให้ตระกูลของเขาพังพินาศนี่!
พลันคริสก็ไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมคนที่มาเยี่ยมเขาถึงได้รับสิทธิพิเศษเหนือกว่าคนอื่น และไม่ได้ถามอะไรต่อเมื่อตระหนักได้ว่าคนที่มีธุระจะคุยคือเจเรมี ไม่ใช่เขา ทว่าตอนนี้อีกฝ่ายกลับเอาแต่นั่งจ้องหน้าเขาด้วยสายตาดุดัน
จ้องอยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่เลยทีเดียว ไร้เสียงพูดคุย มีเพียงแต่เสียงนาฬิกาบนผนังเท่านั้นที่เดินดังติ๊กๆ ให้ได้ยิน คริสเหลือบมองไปก็เห็นว่ามันผ่านมาเกือบสิบนาทีแล้วถึงได้เอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“นายอยากจะถามอะไร” ถามออกมาตรงจุด อ่านท่าทางดูก็รู้ว่าเจเรมีต้องการรู้อะไรบางอย่าง
เจเรมีที่นั่งกอดอกอยู่ยืดตัวขึ้นเล็กน้อย ถามด้วยน้ำเสียงเย่อหยิ่ง “นายเป็นอัลฟ่าแน่เหรอ”
จู่ๆ ก็ถูกถามอย่างนั้นทำให้ดวงตาสีดำสนิทเหลือบมองคนถามทันใด “คำถามนั่น... นายถามฉันหรือถามตัวเอง”
แน่นอนว่าต้องถามคริสอยู่แล้ว การถูกตอกกลับมาอย่างนี้ทำให้เจเรมีที่ยังกังวลกับความผิดปกติของร่างกายตัวเองแสดงสีหน้าเกรี้ยวดกราดออกมา กระแทกมือลงบนโต๊ะ กดเสียงต่ำน่ากลัว
“อย่ามายอกย้อนฉัน”
คริสไม่แสดงสีหน้าใดๆ พ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อย
