Episode 02: โรคพันธุกรรมบกพร่อง [2/2]
ธีโอชะงัก สะบัดตัวออกจากการเกาะกุม ชี้นิ้วมาที่ตัวการและฟ้องเป็นการใหญ่
“มันหาเรื่องผม”
ครูฝึกมองตามปลายนิ้วไปก็เห็นว่าเป็นเจ้าจอมวายร้ายประจำสถาบันที่กำลังยืนแคะเล็บด้วยสีหน้าไม่รู้สึกรู้สา
“ก่อเรื่องอะไรอีกล่ะคุณเมอร์ซี”
ไม่ต้องเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจเลยว่าคนถูกกล่าวหาเป็นตัวต้นเหตุจริงหรือเปล่า แค่รู้ว่าเป็นเจเรมี เขาก็มั่นใจแล้ว ชื่อเสีย(ง)โด่งดังขนาดนั้น จะให้คิดว่าเป็นอื่นไปได้อย่างไร
เจเรมีเองก็กวนประสาท ว่าออกมาโต้งๆ
“ผมก็แค่ทำแบบนี้ให้หมอนั่นดูเฉยๆ” ตามมาด้วยทำแบบเดิมให้ครูฝึกดูอีก ทำเอาอัลเบิร์ตห้ามแทบไม่ทัน
“หยาบคายเกินไปแล้วเจมี”
แทนที่จะหยุด อีกฝ่ายดันหัวเราะขบขันเสียอย่างนั้น บรรยากาศในโรงยิมกร่อยลงไปทันตา ครูฝึกเองก็ไม่ชอบใจเท่าไหร่นักหรอก แต่ก็ไม่อยากจะเอาเรื่องเอาราวอะไรมากนักด้วยรู้สึกเสียเวลาเปล่าที่จะไปสั่งสอนนักศึกษารายนี้
“ถ้าจะทะเลาะกันก็เอาแรงเก็บไว้ใช้ตอนฝึกดีกว่า กลับเข้ามุมใครมุมมันไปเลย” ออกปากไล่แทบจะในทันที
มีแต่เจเรมีที่ไม่ขยับ ส่วนธีโอก็ถูกเพื่อนลากเข้ามุมไปแล้ว หากยังคงออกอาการกระฟัดกระเฟียดให้เห็นคล้ายกับว่าอยากจะตะบันหน้าเขาเต็มทน จนคนมองอดพูดขึ้นมาไม่ได้
“ใจเย็นๆ น่าคุณแฮร์ริสัน เดี๋ยวแกก็ได้ถูกฉันกระทืบจนอ่วม ยังไม่ต้องรีบร้อน”
“อย่ามาสะเออะเรียกฉันอย่างนั้น!” ธีโอแผดเสียง ทำเอาเจเรมีเลิกคิ้วแสร้งทำหน้าตาเหลอหลา
“เรียกแบบให้เกียรติก็ดันไม่ชอบ งั้นเรียกไอ้เวรดีไหม หรือไอ้สวะ หรืออะไรดี มีชื่ออยากเสนอไหม ขออะไรที่เข้ากับการกระทำของแกเมื่อวานนี้หน่อย”
“แก! ไอ้เจเรมี!”
ธีโอทำท่าจะพุ่งเข้ามาหาอีกระลอก ลืมไปสนิทเลยว่าตัวเองสู้เจเรมีไม่ได้ แต่ด้วยโทสะที่ถูกยั่วขึ้นมาทำให้เขาลืมตัว ความชุลมุนก่อกำเนิดอีกระลอก เจเรมีเองก็ตั้งท่าจะสู้เหมือนกัน ทำเอาใครต่อใครห้ามแทบไม่ทัน
สถานการณ์นั้นทำเอาครูฝึกหัวเสีย ความอดทนที่มีอยู่ถึงขีดจำกัดแล้วก่อนเขาจะตะคอกลั่น
“พวกคุณหยุดกัดกันสักที! ถ้าอยากจะซัดกันมากนักก็สวมนวมแล้วขึ้นเวทีไป!”
เจเรมีออกอาการยินดีอย่างไม่ปกปิด มีหน้าไปถามครูฝึกอีก
“ไหนนวมครับ”
กวนประสาท!
ครูฝึกกัดฟันกรอด อัลเบิร์ตเห็นท่าไม่ดีจึงรีบออกปากปรามเพื่อน
“พอได้แล้วน่าเจมี ยังเช้าอยู่เลย จะก่อเรื่องทำไมตั้งแต่หัววัน”
“ฉันรีบ” ไม่กวนแค่คนนอก แม้แต่เพื่อนตัวเองก็ไม่เว้น
จนปัญญาจะพูดเหลือเกิน ครูฝึกเองก็ไม่ปล่อยให้สถานการณ์แย่ลงมากกว่านั้น แค่นี้เขาก็ปวดกะโหลกจะตายอยู่แล้ว ถึงจะชื่นชมเจเรมีว่าเป็นนักศึกษาที่เขาภาคภูมิใจ แต่เรื่องความสุดโต่งของอีกฝ่ายก็ทำให้เขาสุดจะทนเหมือนกัน
“ไม่ต้องรีบ ได้ใช้กำลังแน่ แต่ต้องขอโทษทีที่ฉันพูดผิดไปหน่อย วันนี้พวกคุณจะไม่ได้ซัดกันเอง แล้วคุณก็กลับไปยืนที่เดิมได้แล้วคุณแฮร์ริสัน สงบสติอารมณ์ได้แล้ว” พูดพลางไล่ธีโอให้ถอยออกห่าง
เจเรมีชักสีหน้าทันควัน อุตส่าห์ดีใจแล้วเชียวว่าจะได้ซัดกับธีโอให้สมใจอยาก ขณะที่อัลเบิร์ตถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งใจ ถ้าครูฝึกปล่อยให้ทั้งคู่ซัดกันล่ะก็ ไม่อยากจะคิดเลยว่าธีโอจะโดนอ่วมแค่ไหน
แล้วครูฝึกก็เรียกความสนใจของทุกคนไปด้วยการอธิบายการฝึกฝนที่จะทำกันในคลาสเรียนวันนี้
“ที่วันนี้ไม่ให้พวกคุณซัดกันเองเพราะมันไม่เหมือนกับสถานการณ์จริงถ้าจำเป็นต้องใช้ทักษะการต่อสู้ วันนี้ผมก็เลยพาคู่ต่อสู้จากข้างนอกมาให้”
บรรยากาศการเรียนกลับเป็นปกติอีกครั้ง ความน่าสนใจอบอวลไปทั่วทั้งโรงยิม ตั้งแต่เรียนวิชานี้มา นักศึกษาอัลฟ่าในระดับชั้นปีที่สองยังไม่เคยสู้กับใครอื่นนอกจากเพื่อนในชั้นปีตัวเองเลยแม้แต่ครั้งเดียว นับว่าการเรียนการสอนวันนี้น่าสนใจมาก ทว่าก็มีเรื่องให้น่าผิดหวังเล็กน้อยเมื่อครูฝึกพูดต่อ
“แต่ต้องบอกไว้ก่อนว่าอาจจะไม่ได้ทดลองสู้กับเขากันทุกคน เขาไม่น่าจะรองรับพวกคุณที่มีกว่าร้อยชีวิตได้ไหว เอาเป็นว่าผมจะเลือกตัวแทนจากพวกคุณสาธิตให้ดู จากนั้นค่อยจับคู่ฝึกก็แล้วกัน” จากนั้นก็เหลือบมองไปรอบๆ และเรียกชื่อของใครบางคนออกมา “ตัวแทนเป็นคุณก็แล้วกัน คุณเมอร์ซี”
เจเรมีก้าวออกมาข้างหน้า เอียงคอแล้วยกยิ้มร้าย มีเสียงโห่เบาๆ ดังขึ้นเล็กน้อยแต่ก็ไม่มีใครพูดอะไรเพราะรู้ดีว่าเจเรมีเป็นคนเดียวที่มีทักษะการต่อสู้สูง เขาเป็นอันดับหนึ่งของชั้นปี ถ้าจะให้พูดบรรยายถึงตัวเขาก็อาจบอกได้ว่าเป็นพวกสมองทึบ ชำนาญแต่การใช้กำลัง
คำปรามาสนี้มันเป็นคำนิยามของตัวปัญหาอย่างชัดเจน...
“ก่อนที่จะพาคู่ต่อสู้มาให้เจอ ผมต้องขออธิบายหน่อยว่าคนที่คุณเมอร์ซีจะสาธิตการต่อสู้ด้วยเป็นอัลฟ่าเหมือนกันกับพวกเรา แต่เป็นอัลฟ่าจากที่อื่น ดังนั้นการสาธิตออกจะอันตรายเล็กน้อย ผมถึงได้เลือกคนที่คิดว่าแกร่งที่สุดในบรรดาพวกคุณมาเป็นตัวแทน”
“อัลฟ่าจากที่อื่นเหรอครับ” เสียงใครบางคนร้องถามขึ้น
ครูฝึกพยักหน้าก่อนขยายความ “อัลฟ่าจากอาณาเขตปกครองพิเศษดีออน”
ทุกชีวิตเงียบรอฟังทันใด ต่างรู้ดีว่าอาณาเขตปกครองพิเศษดีออนเป็นอาณาเขตที่มหานครเพิร์ลเพิ่งจะเข้าปฏิวัติและยึดอำนาจการปกครองมาเมื่อสองปีก่อน นับว่าเป็นอาณาเขตล่าสุดที่ถูกมหานครเพิร์ลรุกราน แน่นอนว่าเหตุผลก็คือ เพื่อความสงบสุขเช่นเดียวกันเนื่องจากอาณาเขตนี้มีระบบการปกครองที่เอื้อประโยชน์ต่อประชาชนชนชั้นเบต้าและโอเมก้า ซึ่งขัดกับแนวความคิดของพวกเขา ทางมหานครเพิร์ลจึงจำเป็นต้องยึดศูนย์กลางอำนาจการปกครองมาไว้ที่นี่ด้วยไม่ต้องการให้อาณาเขตเล็กๆ นอกเหนือการควบคุมนั้นก่อความวุ่นวาย
ความจริงแล้ว เมื่อหลายทศวรรษก่อนมหานครเพิร์ลก็เป็นเพียงอาณาเขตเช่นเดียวกัน หากแต่เมื่อมีแนวความคิดแบ่งแยกชนชั้นเกิดขึ้น มหานครเพิร์ลก็เริ่มส่งทูตไปเจรจากับอาณาเขตอื่นๆ ให้เข้าร่วม ถ้าอาณาเขตอื่นยินยอมก็ถือว่าเป็นพันธมิตร ทว่าถ้าไม่ยินยอมก็จะถูกบังคับให้เป็นอาณาเขตปกครองพิเศษ หากขัดขืน ผู้ปกครองอาณาเขตนั้นๆ ก็จะถูกยัดเยียดข้อหากบฏให้
ไม่มีอาณาเขตใดยินยอม ใครมันจะไปยอมรับบรรทัดฐานสังคมแบบไร้มนุษยธรรมกัน แต่ด้วยความที่มหานครเพิร์ลเป็นอาณาเขตที่กว้างใหญ่และเก่าแก่ ซ้ำยังมีพันธมิตรมากมาย กองกำลังในการรุกรานก็แข็งแกร่งจึงไม่มีอาณาเขตใดต้านทานได้ อาณาเขตเล็กๆ อย่างดีออนจึงตกอยู่ใต้อาณัติอย่างไร้ทางเลือก
ถึงจะไม่ใช่คนที่หัวดีอะไรมาก แต่เจเรมีก็รู้ดีว่าการส่งทูตไปเจรจาเพื่อให้อาณาเขตอื่นร่วมเป็นพันธมิตรกับมหานครเพิร์ล แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นไปเพื่อความสงบสุขแม้แต่น้อย กลุ่มคนที่มีอำนาจแค่อยากจะได้ทรัพยากรโอเมก้าจากแหล่งอื่นมาเป็นสินค้าสร้างเงินตราอย่างลับๆ ให้พวกเขาเท่านั้น ถึงจะเอาแต่พูดว่าพวกโอเมก้าสกปรก ควรกำจัด แท้จริงแล้วก็แค่ไม่อยากยอมรับว่าอัลฟ่าอย่างพวกเขาต่อกรกับโอเมก้าไม่ได้
โอเมก้ามีอาการฮีท... อัลฟ่าเกิดปฏิกิริยา เท่ากับอัลฟ่าถูกโอเมก้าควบคุม
เรื่องอะไรที่ชนชั้นซึ่งคิดเอาเองว่าตัวเองอยู่เหนือกว่าจะยอมเป็นเบี้ยล่างกัน ความสงบสุขอะไรนั่นก็แค่ข้ออ้างในการกุมอำนาจเท่านั้นแหละ ส่วนเรื่องการยึดอำนาจนั้น เจเรมีคิดอยู่บ่อยๆ ว่าขนาดในกลุ่มอัลฟ่าด้วยกันเองก็ยังมีการแบ่งแยกยิบย่อย ไม่เชื่อก็ดูสิ แค่ต่างถิ่นกำเนิด ถิ่นที่อยู่อาศัยก็ถูกแบ่งแยกแล้ว ถึงได้บอกว่าความสงบสุขอะไรมันมีที่ไหนกันล่ะ ทุกอย่างก็เพื่อผลประโยชน์ของพวกพ้องคนบางกลุ่มเท่านั้น
ทว่าเจเรมีก็ไม่ได้สนใจอะไร เขาออกจะตื่นเต้นสักหน่อยที่มีโอกาสได้สู้กับอัลฟ่าจากที่อื่น ครูฝึกพามาให้เป็นคู่สาธิตอย่างนี้แสดงว่าต้องมีฝีมือการต่อสู้ไม่ธรรมดาแน่ ก่อนครูฝึกร่างยักษ์จะเอ่ยอีกครั้ง
“ผมคิดว่าพวกคุณน่าจะรู้จักเขากันดีนะ คริส ฟ็อกซ์... นักโทษข้อหากบฏ”
คุ้นหูเลยทีเดียว เสียงฮือฮาดังขึ้นในโรงยิมฉับพลันด้วยทุกคนต่างเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามอัลฟ่าคนนี้มาบ้างเหมือนกันว่าเป็นลูกชายคนสุดท้องของตระกูลฟ็อกซ์ซึ่งเป็นตระกูลผู้ปกครองเพียงหนึ่งเดียวของอาณาเขตการปกครองพิเศษดีออน เห็นว่าเป็นสมาชิกวงศ์ตระกูลที่เหลืออยู่เพราะสมาชิกคนอื่นๆ ได้สละชีวิตให้กับการปฏิวัติของมหานครเพิร์ลไปหมดแล้ว ที่เขารอดชีวิตมาได้ก็เพราะถูกจับเป็นตัวประกันในการต่อรอง หากสุดท้ายคริสก็ถูกยึดอิสรภาพอยู่ในทัณฑสถานไปถึงสองปี
“เชิญขึ้นไปเตรียมตัวรอบนสังเวียนได้เลยคุณเมอร์ซี เดี๋ยวผมจะไปพาตัวเขามา”
เจเรมีพยักหน้ารับ ตรงขึ้นไปยังเวทีมวยตรงหน้า อัลเบิร์ตมองตามแล้วไม่อยากให้เพื่อนไปเป็นตัวแทนเท่าไหร่นัก สังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาอย่างไรก็ไม่รู้ว่าอีกเดี๋ยวจะต้องเกิดเรื่องร้ายๆ ขึ้นแน่
เรื่องร้ายๆ กับนักโทษที่ชื่อว่า คริส ฟ็อกซ์ อะไรนั่นน่ะ ไม่ใช่กับเจเรมีหรอก เพื่อนสนิทเขาเคยออมมือกับใครที่ไหน
หากแต่ห้ามไป เจเรมีก็ไม่สนทั้งนั้น ถึงเขาจะไม่อยากสู้กับคนที่มีชะตากรรมน่าสังเวชอย่างนี้สักเท่าไหร่ แต่ประวัติอันโชกโชนของคริสก็ทำให้ชายหนุ่มอดอยากรู้ไม่ได้ว่าอีกฝ่ายจะฝีมือดีสักแค่ไหนกันเชียว ครูฝึกถึงได้พามาเป็นคู่สาธิตอย่างนี้
ครูฝึกหายออกไปจากโรงยิมครู่หนึ่ง ก่อนจะกลับเข้ามาพร้อมกับเจ้าหน้าที่ผู้คุมนักโทษร่างใหญ่อีกสองคนที่เดินประกบชายหนุ่มคนหนึ่งเข้ามา ทุกสายตาจับจ้องไปยังผู้มาใหม่ มองปราดเดียวก็รู้ว่าชายในชุดนักโทษสีส้มนั้นคือคนที่ถูกกล่าวถึงเมื่อครู่นี้
หากแต่ชายหนุ่มคนนั้นดูไม่เหมือนนักโทษเลยแม้แต่น้อย รูปร่างสูงใหญ่พอๆ กับเจเรมีหรืออาจจะสูงกว่าด้วยซ้ำ ดูโดดเด่น ใบหน้าคมคาย ดวงตาสีดำสนิทและผมสีน้ำตาลเข้มต่างช่วยกันขับเสน่ห์ของเขาออกมาจนไม่มีใครละสายตาไปได้ แต่เพียงแค่ใบหน้าหล่อเหลามันยังไม่พอที่จะสะกดทุกสายตา ที่ทำให้ทุกคนต้องจ้องเขานิ่งเป็นเพราะท่าทางสง่าผ่าเผยที่แลดูหยิ่งผยองของคริส ฟ็อกซ์ต่างหากที่ทำให้เป็นอย่างนั้น
มองดูก็รู้ว่าเป็นชนชั้นสูง... ท่าทางอย่างนั้นมันเจ้าชายชัดๆ!
จะเรียกว่าเจ้าชายก็ไม่ผิด เขาเป็นทายาทตระกูลนักปกครองเพียงหนึ่งเดียวจากอาณาเขตปกครองพิเศษดีออนนี่ แม้ว่าตอนนี้จะเป็นเพียงนักโทษกบฏ มันก็ไม่ได้ทำให้ความน่าเกรงขามของเขาลดลงเลยแม้แต่น้อย ยิ่งถูกดวงตาเรียวจับจ้อง คนที่มองเขาอยู่ก็ถึงกับต้องหลบสายตาหนี
ดวงตาคู่นั้นมีอำนาจบางอย่างที่ทำให้คนถูกมองเกรงกลัวได้...
ไม่เว้นแม้แต่เจเรมีที่รอการมาถึงของคู่ต่อสู้ พอถูกดวงตาคู่นั้นจ้องมองมาแต่ไกล ก้อนเนื้อในอกข้างซ้ายของเขาก็เต้นระทึกขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ไม่ได้หวั่นเกรง ไม่ได้ตื่นเต้น...แต่เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูก
คราวแรกก็นึกว่าตื่นเต้นนั่นแหละ ทว่าผ่านไปเพียงเสี้ยววินาที เจเรมีก็รู้ว่ามันไม่ใช่เมื่อมือเขาเริ่มสั่นเทาขึ้นมา จมูกได้รับกลิ่นประหลาดที่ลอยโชยเข้ามาใกล้
มันเป็นกลิ่นหอมหวาน... แบบที่ไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน
อธิบายไม่ได้... บอกไม่ได้ว่ามันเป็นกลิ่นอะไร รู้อย่างเดียวคือมันทำให้เขาเริ่มจะเวียนหัวขึ้นมาน้อยๆ แล้ว
ไม่สิ... ไม่น้อย มากเลยทีเดียวล่ะ ยิ่งอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ กลิ่นนั้นก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเสียจนร่างกายเขาเริ่มร้อนผะผ่าว เริ่มร้อนจากใบหน้า ไล่ลามลงไปยังลำคอ หน้าอก และพร่างพรายไปทั่วทั้งกายคล้ายกับเป็นไข้หนัก ร้ายกว่านั้นมันทำให้เริ่มหายใจติดขัดจนทรงตัวไม่อยู่
เจเรมีถอยไปพิงเสาที่มุมเวที พยายามควบคุมลมหายใจให้เป็นปกติแต่ไม่ง่ายเลย แล้วก็ร้ายกว่าเดิมด้วยเมื่อผู้ชายที่ชื่อคริสถูกไขกุญแจมือ จับสวมนวมแล้วก้าวขึ้นมาบนเวที การประจันหน้ากันตรงๆ ทำให้เขาได้กลิ่นของอีกฝ่ายชัดเจน
แย่แล้ว... แย่ที่สุด ตอนนี้ความร้อนมันลามไปทั่วทุกส่วนแล้ว ไม่เว้นแม้แต่... ตรงนั้น
มันชูชันขึ้นมาแล้ว!
เจเรมีไม่เคยรู้สึกทรมานอย่างนี้มาก่อนเลย เขาสูญเสียการควบคุม ท่าทางระริกระรี้ก่อนหน้าหายวับไปทันตา กลายเป็นว่าตอนนี้เขาเริ่มยืนตรงไม่ได้ อาการแปลกๆ ทำให้อัลเบิร์ตที่มองอยู่นานเลิ่กลั่กก่อนจะรีบพุ่งเข้าไปหาแล้วกระซิบถาม
“เจมี นายโอเคไหม”
ไม่มีคำตอบจากปากของเพื่อน มีเพียงดวงตาหรี่ปรือเท่านั้นที่มองกลับมา ก่อนเจเรมีจะพยายามยืนตรงอีกครั้ง ทว่าคราวนี้มันไม่ง่ายนัก เผลอหน่อยเดียวเขาก็เสียหลักล้มลงบนเวทีเสียงดังตึง
ทุกสายตาปราดมองไปยังต้นเสียงทันทีด้วยสงสัยว่าจอมวายร้ายเป็นอะไร อัลเบิร์ตกังวลหนัก รีบร้องเรียกด้วยใจไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก
“เจมี ถ้าไม่ไหวก็ลงมา ฉันจะพานายไปห้องพยาบาล”
ไม่มีเสียงตอบรับจากจอมวายร้ายเช่นเคย ไม่ใช่ไม่อยากพูด แต่เขาพูดไม่ออก เสียงหายใจของเจเรมีดังขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นหอบหนัก ครูฝึกสังเกตเห็นก็ตั้งท่าจะเข้ามาถามไถ่ว่าเป็นอะไร ทว่าจู่ๆ ก็มีอะไรบางอย่างทำให้เขาต้องนิ่งค้าง
ไม่ใช่แค่ครูฝึกเท่านั้น ทุกชีวิตที่นี่ด้วย...
มันมีกลิ่น...
กลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้า!
ทุกคนเริ่มออกอาการทุรนทุราย มีปฏิกิริยาตอบสนองกับกลิ่นนั้นอย่างรวดเร็วจนต้องพยายามอดกลั้นกันสุดชีวิต เว้นเสียก็แต่คนมาใหม่เท่านั้นที่ยืนมองเหตุการณ์แล้วก็ได้แต่ย่นคิ้ว อีกฝ่ายจำได้ดีว่าหลายวันก่อนผู้คุมมาบอกให้เขาเตรียมตัวไปเป็นคู่สาธิตให้กับนักศึกษาของสถาบันอะไรนั่นจนถูกเตรียมความพร้อมทางร่างกายหลายๆ อย่าง ไม่เว้นแม้แต่ถูกฉีดยาต่อต้านฟีโรโมนของโอเมก้าซึ่งก็ไม่เข้าใจว่าจะฉีดให้ทำไมในเมื่อเขาถูกพาไปเจอแต่พวกอัลฟ่าด้วยกัน หากไม่รู้ทำไมพอถึงเวลาจริง เขากลับได้ดูการแสดงปาหี่ไปได้
คริสยืนนิ่งมองสถานการณ์นี้อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจมูกจะเริ่มได้กลิ่นหอมหวานขึ้นมาบ้าง และทวีความรุนแรงขึ้นทุกวินาทีที่เขาเดินเข้าไปใกล้กับคนตรงหน้าจนกระทั่งขึ้นมาบนเวทีเพื่อเผชิญหน้ากับเจเรมี
กลิ่นฟีโรโมนของโอเมก้าที่ปล่อยออกมาถึงขีดสุด...
ไม่ผิดแน่ๆ ยิ่งใกล้เจเรมีมากเท่าไหร่ กลิ่นก็เริ่มชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น
ร่างใหญ่เดินเข้าไปใกล้เจเรมี ทรุดตัวนั่งลง เปล่งเสียงต่ำออกมาพอที่จะได้ยินกันแค่สองคน
“นาย...เป็นโอเมก้า”
เจเรมียังพอจะมีสติสัมปชัญญะเหลืออยู่ เขาได้ยินเสียงนั้นชัดเจน ทว่าไม่ยอมรับ
เขาจะเป็นโอเมก้าได้อย่างไร! ถ้าเป็นโอเมก้าจริงก็คงไม่มาอยู่ในกลุ่มอัลฟ่าอย่างนี้หรอก!
“ยะ...อย่ามาพูดพล่อยๆ” ขนาดไม่มีแรงก็ยังกัดฟันพูด จังหวะการหายใจยังคงรุนแรง
คริสไม่ได้สนใจเท่าไหร่นัก มั่นใจว่าอีกฝ่ายเป็นโอเมก้าแน่ๆ ยิ่งเข้ามาพยุงให้ลุกขึ้นยืนก็ยิ่งได้กลิ่นฟีโรโมนชัดเจนจนเขาเองก็เริ่มจะมีปฏิกิริยาขึ้นมาบ้างแล้ว
แม้แต่ยาต้านฟีโรโมนของโอเมก้ายังเอาไม่อยู่ เป็นโอเมก้าที่มีฟีโรโมนรุนแรงมากเลยทีเดียว
“ออกไปข้างนอกก่อน ขืนอยู่นี่ต่ออีกเดี๋ยวนายได้กลายเป็นเหยื่อแน่”
ความจริงเขาจะปล่อยให้สถานการณ์มันเลวร้ายกว่านี้ก็ได้แต่ไม่ทำด้วยเห็นว่าผู้ชายคนนี้ดูสับสนระคนตกใจกับเหตุการณ์นี้พอสมควร
เจเรมีอยากจะปฏิเสธแต่ก็ไร้เรี่ยวแรง ปล่อยให้คริสได้ยกแขนขึ้นพาดคอแล้วพยุงออกไป
ทว่า...การไม่ขัดขืนเหมือนจะเป็นความคิดที่ผิด เขาได้กลิ่นหอมหวานนั่นแรงขึ้น ปฏิกิริยาทางร่างกายก็รุนแรงขึ้น... รุนแรงจนเขารู้สึกได้ว่าร่างกายของเขาร้อนจนจะระเบิดอยู่แล้ว บริเวณส่วนนั้นก็อึดอัดคับแน่นแทบจะทำให้เขาคลั่งตาย อีกนิดเดียวก็จวนเจียนจะปะทุออกมา
ชัดเจนเลยว่าเขามีการตอบสนองกับกลิ่นของ...คริส ฟ็อกซ์!
ไม่เคยมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อฟีโรโมนของโอเมก้า แต่ดันมามีปฏิกิริยาตอบสนองกับกลิ่นของอัลฟ่าอย่างทายาทตระกูลฟ็อกซ์ที่เพิ่งเคยเจอหน้ากันครั้งแรกเนี่ยนะ!?
มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย!
