Episode 02: โรคพันธุกรรมบกพร่อง [2/1]
ตอนแรกตั้งใจว่าจะแยกย้ายกลับบ้านทันทีด้วยรู้สึกเหนื่อยล้ากับสิ่งที่พบเจอมาวันนี้เต็มทน ทว่าเอาเข้าจริงก็ไม่ได้กลับเพราะถูกเจเรมีลากมาที่บ้านแทน อัลเบิร์ตนึกอยากจะปฏิเสธอยู่หรอก แต่ก็ทำได้เพียงเก็บปากเงียบเมื่ออีกฝ่ายอ้างว่าบิดาของตนอยากพบด้วยไม่ได้เจอหน้าเขามาระยะหนึ่งแล้ว
ถูกเอาผู้ใหญ่มาอ้าง อัลเบิร์ตก็จนปัญญา ยอมตามมาแต่โดยดี หากแต่พอเข้าบ้านของเพื่อนสนิทไป ทักทายกับคุณนายเมอร์ซีที่เปิดประตูออกมาต้อนรับเรียบร้อยก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่าบิดาของเขาเองก็อยู่ในบ้านหลังนี้แล้วเช่นกัน
“พ่อ” สีหน้าตกใจพร่างพรายขึ้นบนใบหน้าของอัลเบิร์ต “มาทำอะไรที่นี่น่ะครับ” เอ่ยปากถามออกไปด้วยใจสั่นระรัว เกรงว่าที่บิดามาโผล่ในบ้านเพื่อนสนิทอย่างนี้เป็นเพราะรู้เรื่องวีรกรรมที่เจเรมีก่อในวันนี้แล้วเรียบร้อย
แมทธิว วอล์กเกอร์ ซึ่งกำลังยกถ้วยชาคาโมมายล์ขึ้นดื่มเหลียวมองหน้าลูกชายก่อนตอบเนือยๆ
“คุณเมอร์ซีมีเรื่องจะคุยกับพ่อนิดหน่อยก็เลยตามให้มา”
คนถูกเอ่ยถึงเป็นฝ่ายยิ้มทักชายหนุ่มบ้าง อัลเบิร์ตไม่รู้จะทำหน้าอย่างไร บิดาถูกเรียกตัวมาอย่างนี้แสดงว่ารู้เรื่องวันนี้ทั้งหมดแล้ว แน่นอนว่าหมายถึงเรื่องที่เจเรมีลากเขาไปยังตลาดค้าโอเมก้าด้วย
ย้ำให้ชัดเจนว่า...เจเรมีลากเขาไป!
“คือ...ผมอธิบายได้นะครับ พวกเรา...” ออกปากแก้ตัวไปโดยอัตโนมัติทั้งที่ยังไม่มีใครถามด้วยซ้ำ
แมทธิวยกมือขึ้นปรามลูกชายทันควัน “ไม่ต้องเล่า พ่อรู้หมดแล้ว มีคนมาบอกเรียบร้อย และก็ไม่ต้องห่วง คุณเมอร์ซีไม่ได้เรียกมาเพราะเรื่องนี้”
ไม่รู้อัลเบิร์ตจะโล่งใจดีหรือไม่ แต่เจเรมีไม่สะทกสะท้านอะไรสักนิด หัวเราะพลางเอ่ย
“ข่าวไวจริงๆ มีสายอยู่ทุกที่เลยนะพวกคนระดับสูงเนี่ย” หมายถึงชนชั้นสูงที่อยู่ในระดับสูงซึ่งเหนือกว่าชนชั้นสูงทั่วไป
แมทธิวหัวเราะให้กับความคึกคะนองของชายหนุ่มที่เห็นมาตั้งแต่เล็กยันโต ก่อนเจอโรมจะเป็นฝ่ายตัดบท
“ถ้าแกจะเพลาๆ ความบ้าลงบ้างมันก็ดี ฉันขี้เกียจฟังเรื่องร้องเรียนว่าแกไปก่อปัญหาอะไรมาบ้าง”
“พวกหนุ่มๆ ก็แบบนี้แหละครับ กำลังคึกคะนอง ไม่น่าเชื่อว่าเด็กตัวเล็กๆ จะโตขึ้นถึงขนาดนี้แล้ว อีกไม่นานก็จะได้ประทับรอยสักแล้วสินะ” แมทธิวเสริม สายตามองไปยังหัวไหล่ข้างขวาของเจเรมีที่ปราศจากรอยสักอันเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกเพศ
ไม่ใช่เจเรมีคนเดียวที่ยังไม่มี ลูกชายเขาเองก็ยังไม่ได้รับการสักเหมือนกัน แต่คงอีกไม่นานแล้ว ก็ทั้งคู่อายุครบยี่สิบปีบริบูรณ์แล้วนี่
“ผมว่ามันไร้สาระ” เจเรมีอดสวนไม่ได้
“ถึงจะไม่ชอบ แต่ก็อดทนหน่อยนะ เป็นธรรมเนียมปฏิบัติกันมานาน ใครๆ ก็ทำกัน” แมทธิวหัวเราะเมื่อเห็นว่าคำพูดของเขาทำคู่สนทนายู่หน้าด้วยเข้าใจดีเลยว่าเจเรมีเบื่อหน่ายกับจารีตประเพณีทางสังคมเพียงใด เขาเองก็เบื่อ ตอนที่อายุเต็มยี่สิบและต้องเข้าพิธีประทับรอยสัก เขาเองก็แอบต่อต้านในใจเล็กๆ เหมือนกัน
“มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นวัวในฟาร์มเพาะยังไงก็ไม่รู้” เจเรมีพูดตรงๆ เรียกเสียงหัวเราะจากแมทธิวได้อีกครั้ง
เจอโรมเหลือบมองลูกชายเล็กน้อย พอเห็นบางอย่างผิดปกติก็เอ่ยแทรก “แล้วเสื้อแกหายไปไหน”
เจเรมีเกือบลืมไปแล้วว่าตอนนี้ช่วงบนของตนเหลือเพียงเสื้อกล้ามสีขาวเท่านั้น หากแต่เขาไม่ตอบตามตรงว่ายกให้โอเมก้าในตลาดมืดไปแล้ว ทำเพียงยกยิ้ม เลิกคิ้วพลันลอยหน้าลอยตา
“ถูกอากาศแล้วหดมั้ง ใช้ผ้าคุณภาพต่ำตัดก็อย่างนี้”
อัลเบิร์ตแทบจะกระทืบเท้าใส่อีกฝ่ายที่เอาแต่เล่นอยู่ได้ ขนาดพ่อตัวเองแท้ๆ ความยียวนยังไม่ลดน้อยถอยลงเลย
เจอโรมมองลูกชายนิ่งๆ อีกเพียงครู่ ไม่อยากจะถือสาอะไรกับความกวนประสาทของคนที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายตัวเองตอนหนุ่มอย่างกับแกะนักก่อนออกปากไล่
“จะไปทำอะไรก็ไปซะ ฉันจะคุยธุระต่อ”
พูดมาอย่างนี้ก็รู้แล้วว่าเรื่องที่แมทธิวถูกเรียกมาคุยไม่ใช่เรื่องของพวกเขา เจเรมีพยักหน้ารับแล้วผละออกจากห้องรับแขกไป อัลเบิร์ตตามหลังไปอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงคุณนายเมอร์ซีร้องเรียกให้ทานมื้อเย็น
คล้อยหลังชายหนุ่มทั้งสองไปได้เล็กน้อย แมทธิวก็เปิดปาก
“ยังเฮ้วเหมือนเดิมเลยนะครับลูกชายคุณเนี่ย เห็นแล้วอย่างกับเห็นคุณตอนหนุ่มๆ”
“มันบ้ากว่าผมเยอะ เทียบกันไม่ติดหรอก” เจอโรมตอบอย่างขอไปที ทำเอาอีกฝ่ายหัวเราะร่วน
ความจริงตอนหนุ่มๆ เจอโรมก็ไม่ต่างอะไรจากเจเรมีนัก เพียงแต่รู้กาลเทศะมากกว่า ไม่หาเรื่องใครไม่เลือกหน้าอย่างนี้ ยังรู้ว่าคนไหนควรมีเรื่องด้วย คนไหนควรอยู่ให้ห่าง แต่สำหรับเจเรมีนั้นไม่ใช่ รายนั้นพร้อมจะประจันหน้ากับทุกคนที่ยืนอยู่ขั้วตรงข้ามกับเขาโดยไม่รีรอทันที
“อย่าไปคุยเรื่องความบ้าของมันเลย ผมไม่ได้เรียกคุณมาเพราะเรื่องนี้หรอกนะ” เจอโรมเข้าเรื่อง
แมทธิวพยักหน้ารับก่อนเริ่มบทสนทนาที่คุยค้างไว้ก่อนหน้านี้อีกครั้ง
“แล้วคุณจะให้มันเป็นอย่างนี้ไปอีกถึงเมื่อไหร่ มีแผนว่าจะหยุดทำอย่างนี้เมื่อไหร่ครับ”
“จนกว่าคุณจะมีทางเลือกอื่นให้ผม” เจอโรมว่าเสียงเรียบ สายตาจับจ้องไปยังชายตรงหน้าที่อายุไล่เลี่ยกับตนเอง “จนกว่าจะมียาที่ระงับอาการนั้นได้อย่างถาวร”
คนฟังรู้คำตอบดี เขาก็กำลังพยายามหาทางอยู่ แต่ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ก็นับว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว ยาที่เขาลักลอบให้แพทย์ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขแห่งมหานครเพิร์ลซึ่งเขาดูแลอยู่ผลิตออกมาเรียกได้ว่าเป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงเลยทีเดียว ตั้งแต่เริ่มใช้กับเจเรมีและค่อยๆ พัฒนามาเรื่อยๆ จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่มีวี่แววว่าชายหนุ่มคนนั้นจะออกอาการอย่างที่ควรจะเป็นใดๆ
ได้ผลชะงัด ไร้ซึ่งผลข้างเคียง เป็นยาคุณภาพดีที่สุดเท่าที่เขาเคยดำเนินการผลิตมาแล้ว
ทว่ากระนั้นเจอโรมก็ยังอดเป็นกังวลไม่ได้ ผลของมันเป็นที่น่าพอใจก็จริง หากแต่มันยังไม่เคยได้รับการทดลองใช้กับกรณีพิเศษ ซึ่งเป็นกรณีที่เขาไม่อยากให้เกิดขึ้น และเป็นกรณีที่... ไม่ว่าจะค้นหาอย่างไรก็ยังไม่เจอ ‘หนูทดลอง’ ที่เกิดมาเพื่อลูกชายเขาเลยสักครั้ง
เหตุผลนี้ทำให้เขาต้องเรียกแมทธิวมาปรึกษาเป็นการส่วนตัว อีกไม่นาน เจเรมีก็จะออกไปสู่สังคมอัลฟ่าเต็มตัวแล้ว มันไม่ได้สวยหรูอย่างที่พวกเขารู้กันดี ในหมู่ของพวกผู้นำก็มีการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน เขาจะไม่ยอมให้เจเรมีกลายเป็นเหยื่อเด็ดขาดแม้ว่าลูกของเขาจะได้รับการขนานนามว่าเป็นจอมวายร้ายที่ใครๆ พากันขยาดก็ตาม
“ผมกำลังกังวลว่าถ้าสักวันเราเจอหนูทดลองตัวนั้น เราจะจับมันมาทำการทดลองได้ทันการณ์ก่อนที่เจเรมีจะกลายเป็นเหยื่อหรือเปล่า” เจอโรมว่าออกไปตามตรงว่าเขากลัดกลุ้มเรื่องอะไร
แมทธิวพยักหน้ารับ ไร้คำพูดออกจากปากอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย
“ผมเองก็กังวลเรื่องนั้น กับพวกทั่วๆ ไปก็มั่นใจได้อยู่หรอกว่าใช้ได้ผล แต่กับคนคนเดียวที่เราไม่เคยเจอเลยมันก็พูดยากอยู่นะ”
“ผมถึงอยากให้คุณเร่งมือหน่อย เรื่องงบประมาณไม่ต้องเป็นห่วง ผมพร้อมจะสนับสนุนด้านนี้ ขอแค่ให้คุณเอ่ยปากมา แล้วก็เหยียบให้สนิท ทุกอย่างต้องเป็นความลับเหมือนเดิม”
แมทธิวพยักหน้า เขารักษาความลับได้อยู่แล้ว กับคนที่เคยมีบุญคุณต่อกันมาอย่างเจอโรม เขาไม่มีวันทรยศหักหลังครอบครัวของผู้มีพระคุณเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะเก็บความลับมาได้ถึงยี่สิบปี ซ้ำยังร่วมมือดำเนินงานโครงการลับกับอีกฝ่ายเพื่อเจเรมีถึงเจ็ดปีอย่างนี้เหรอ
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ผมจัดการให้ได้”
การกระทำของพวกเขาดูเหมือนกับพวกนักการเมืองที่เจรจากระทำการทุจริตก็ไม่ปาน ทว่าไม่ใช่ งบประมาณที่แมทธิวได้จากทางเจอโรมไม่ได้มาจากการคอร์รัปชัน หากแต่เป็นรายได้ของตระกูลเมอร์ซีเอง แต่การกระทำนี้ก็ไม่สามารถเปิดเผยได้ เมื่อมันเกี่ยวข้องกับชีวิตของเจเรมีโดยตรง มีเพียงแต่โครงการที่เขากำลังทำอยู่เท่านั้นที่ไม่ได้รับการเห็นชอบและอนุมัติจากอีกสามตระกูลอย่างเป็นทางการ ทว่ามันก็ไม่ได้สำคัญเมื่อมีเจอโรมอยู่เบื้องหลัง
สำหรับเจอโรมแล้ว เขาได้ยินสหายเก่าพูดอย่างนั้นก็สบายใจ เขาเชื่อใจแมทธิวและคาดหวังสูงอยู่เหมือนกัน แมทธิวเองก็เหมือนกับอัลเบิร์ต สนิทกับตระกูลเมอร์ซีมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก จากวัยเด็กสู่ตอนโตกระทั่งถึงตอนที่ต่างฝ่ายต่างมีหน้ามีตาทางสังคมอย่างนี้ แม้ว่าคำพูดคำจาจะเปลี่ยนไปตามการวางตัวในสังคมอยู่บ้าง แต่ความสนิทชิดเชื้อไม่ได้ลดน้อยถอยลงไปเลย
“ผมตั้งความหวังไว้สูงนะ” เจอโรมย้ำคำอีกครั้งให้แมทธิวได้หัวเราะน้อยๆ
เขาเองก็ตั้งความหวังไว้สูงเช่นเดียวกัน แต่ว่า...
“แต่การฝืนสัญชาตญาณมันไม่ง่ายเลยนะ คุณควรคิดหาทางอื่นไว้เผื่อเป็นแผนสำรองด้วย”
เจอโรมรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอยากจะให้แผนการนี้สำเร็จถึงขั้นสูงสุดเสียก่อน เพราะแผนสำรองของเขามันไม่น่าประทับใจสักเท่าไหร่นัก
“ถึงได้บอกว่าคาดหวังกับคุณไว้สูงไง” เจอโรมว่าอีกครั้ง ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบบ้าง
แมทธิวไม่ว่าอะไรต่อ พอจะรู้มาอยู่หรอกว่าแผนสำรองของเจอโรมมันไม่เข้าท่าเพราะมันคือแผนการพาตัวเจเรมีหนีออกจากมหานครเพิร์ลในกรณีที่ทุกอย่างที่พวกเขาสร้างมาพังทลายลง ถ้าต้องทำตามแผนนั้นขึ้นมา เท่ากับว่าตระกูลเมอร์ซีต้องทิ้งทุกอย่างที่มีไปทันที
“หรือไม่อย่างนั้นคุณก็ต้องหาหนูทดลองให้พบก่อนที่จะเจอกับเจเรมี แต่นานขนาดนี้แล้วยังไม่พบตัว กลุ่มอัลฟ่าในเพิร์ลก็มีแค่หยิบมือ ในเมื่อเจเรมีไม่แสดงอาการออกมาก็อาจจะวางใจได้”
“ยังไม่แสดงอาการแค่ระยะนี้ แต่จะยังไงก็ช่างเถอะ ทำตามหน้าที่ให้ดีก็แล้วกัน ผมขอฝากชีวิตลูกชายเอาไว้ด้วย”
การสนทนาของทั้งสองเป็นไปอย่างยาวนานพอสมควร กว่าจะเสร็จสิ้น อัลเบิร์ตก็แทบจะหลับในห้องของเพื่อนสนิทแล้วถ้าหากว่าคุณนายเมอร์ซีไม่มาเคาะประตูเรียกพร้อมกับเอาชุดเข็มฉีดยามาให้ เจเรมีจัดการตัวเองอย่างคล่องแคล่ว ทำเอาเขาที่มองอยู่อดถามออกไปไม่ได้
“ต้องฉีดทุกวันเลยเหรอครับ” ไม่ได้ถามเจเรมี หากแต่ถาม มาเรีย เมอร์ซี ที่เก็บข้าวของหลังลูกชายฉีดยาให้ตัวเองเสร็จ
“ใช่แล้วจ้ะ”
“ทั้งเช้าและเย็นเลยเหรอ”
“ช่วงนี้ก็ต้องแบบนี้แหละนะ ป่วยนี่” ใบหน้าของคนตอบเปื้อนรอยยิ้มทำเอาอัลเบิร์ตไม่กล้าถามอะไรต่อ ถึงอยากถามก็ไม่มีโอกาสแล้วเมื่อมาเรียพูดขึ้นอีก “แล้วเธอจะกลับเลยไหมจ๊ะอัล เห็นว่าคุณวอล์กเกอร์คุยธุระเสร็จแล้ว หรือจะนอนค้างที่นี่กับเจมี”
คนถูกถามเหลือบไปมองเจเรมีที่โดดขึ้นเตียงเล็กน้อย เห็นอีกฝ่ายกระดิกนิ้วเรียกยิกๆ ด้วยท่าทางกวนประสาท อัลเบิร์ตก็ส่ายหน้า
“ไม่ล่ะครับ ผมกลับพร้อมพ่อดีกว่า”
ใครมันจะไปอยากอยู่ให้ปวดหัวมากกว่าเดิม ถึงจะมั่นใจว่าเจเรมีคงไม่ก่อเรื่องแล้ว แต่ก็คงจะกวนเขาน่าดู กลับไปพักผ่อนที่บ้านให้เต็มที่เพื่อรอรับมือกับความแสบสันของคนตัวใหญ่ในวันรุ่งขึ้นจะดีกว่า
“งั้นไปกันเถอะจ้ะ”
ได้ยินมาเรียพูดอย่างนั้น อัลเบิร์ตก็จัดการบอกลาเพื่อนแล้วออกจากห้องนอนไป มาเรียขอตัวไปเก็บข้าวของก่อน ปล่อยให้เพื่อนลูกชายเดินออกไปยังหน้าบ้าน หากแต่ยังไม่ทันจะถึงประตู แค่เข้ามาใกล้บริเวณหน้าห้องรับแขกเท่านั้น เขาก็ต้องหยุดกึกเมื่อหูได้ยินเสียงสนทนาลอยมา
“ขอบคุณที่มานะคุณวอล์กเกอร์”
“สำหรับคุณแล้ว ผมยินดีครับ แต่ผมก็คงต้องขอยืนยันคำเดิมว่าการต่อสู้กับสัญชาตญาณมันไม่ง่ายเลย คุณลองหาแผนการอื่นสำรองไว้เพิ่มเติมเผื่อเป็นทางเลือกด้วยก็แล้วกัน แผนสำรองแค่แผนเดียวมันไม่น่าจะพอ”
“ผมรู้ ไปเถอะ ผมจะไปส่ง”
ไม่ได้ตั้งใจจะฟังแต่ได้ยินไปเรียบร้อยแล้ว พลันก็สงสัยว่า ‘ต่อสู้กับสัญชาตญาณ’ ที่ว่าคืออะไร หากแต่ก็ต้องรีบทำเป็นเหมือนไม่ได้ยินเมื่อเห็นผู้ใหญ่ทั้งสองโผล่หน้าออกมา ก่อนรีบบอกลาเจอโรมทันที
สองพ่อลูกวอล์กเกอร์เดินไปตามทางเรียบของถนน ตรงไปยังรถคันหรูที่จอดเทียบอยู่ข้างทาง ทั้งหมดควรจะดำเนินไปอย่างปกติ หากแต่ในใจของอัลเบิร์ตไม่เป็นปกติเลย เขาสงสัย อึดอัด แล้วก็อยากรู้ ความรู้สึกหลายอย่างปะปนกันไปหมดจนเขาอดถามออกมาไม่ได้
“พ่อ เจมีป่วยเป็นอะไร”
แมทธิวที่กำลังจะเปิดรถหันไปมองหน้าลูกชายทันที “ไม่ใช่เรื่องที่ลูกต้องรู้”
คำตอบเดิมหลุดออกจากปากผู้เป็นพ่ออีกแล้ว หากแต่ครั้งนี้อัลเบิร์ตไม่ยอมล่าถอยไปง่ายๆ ไม่ว่าอย่างไร วันนี้เขาก็ต้องรู้ว่าเพื่อนตัวเองป่วยเป็นอะไรกันแน่ พลันล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบเม็ดยาที่เจเรมีทำตกเมื่อช่วงเช้าออกมาให้ดู
“เมื่อเช้าศาสตราจารย์คอร์ทนีย์พาโอเมก้ามาที่คลาสเรียน ก่อนเริ่มบรรยาย เขาให้พวกเรากินยาต้านฟีโรโมนของโอเมก้า มีแค่เจมีที่ไม่ได้กิน แต่เขาไม่มีอาการอะไร มันหมายความว่ายังไงครับ”
แมทธิวชะงักไปอีกครั้ง คิดอยู่แล้วว่าสักวันอัลเบิร์ตจะต้องสังเกตเห็นความผิดปกตินี้ ก่อนจะมองซ้ายขวาแล้วพยักหน้าเป็นสัญญาณให้ลูกชายรีบขึ้นรถ
ขึ้นมาได้ก็เอ่ยถามทันที “มีคนอื่นนอกจากลูกรู้เรื่องไหม”
อัลเบิร์ตส่ายหน้า ทำให้แมทธิวถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก
“ตกลงเขาป่วยเป็นอะไรครับ” คิดว่าบิดาคงจะยอมเปิดปากแล้วจึงถามย้ำออกไปอีก
แมทธิวเหลือบมอง มาถึงขั้นนี้แล้วคงต้องบอก
“ทุกอย่างที่คุยกันจะเป็นความลับ ใครก็รู้ไม่ได้เข้าใจไหม แม้แต่เจเรมีเองก็ห้ามบอก”
ไม่รู้ว่าทำไมแต่อัลเบิร์ตก็พยักหน้ารับ แต่จนแล้วจนรอดแมทธิวก็ไม่พูดเสียที คล้ายกับว่าชั่งใจว่าควรจะบอกดีไหม สุดท้ายก็เป็นลูกชายที่ต้องถามย้ำ
“ตกลงป่วยเป็นอะไรครับ”
“โรคพันธุกรรมบกพร่อง”
คนฟังทำหน้าไม่เข้าใจขึ้นมาฉับพลัน
“พ่อจะบอกว่ามันมีผลทำให้เจมีไม่เกิดอาการตอบสนองต่อฟีโรโมนของโอเมก้า?”
“ประมาณนั้น”
“ยังไงครับ”
“รู้แค่นี้ก็พอแล้ว”
เห็นอัลเบิร์ตกระตือรือร้นถามไม่หยุดก็รีบเบรก ลูกชายถึงกับมุ่ยหน้า อยากรู้มากกว่าเดิมเสียอีก หากแต่เห็นสีหน้าของบิดาแล้วก็รู้ว่าถามไปก็คงไม่มีประโยชน์อะไร จึงได้แต่ปิดปากเงียบกระทั่งแมทธิวเริ่มสตาร์ทรถและขับออกไป
โรคพันธุกรรมบกพร่อง... ต่อสู้กับสัญชาตญาณ... มันเกี่ยวโยงกันใช่ไหม
ในหัวของอัลเบิร์ตคิดครุ่นไม่หยุดเลย อยากจะรู้มากกว่าเดิมว่ารายละเอียดมันเป็นอย่างไร แล้วทำไมพ่อของเขากับเจอโรมถึงได้ทำอย่างกับว่าเป็นเรื่องใหญ่เหลือเกิน
ถ้าหากเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น ทำไมถึงไม่บอกเจเรมีล่ะว่ากำลังป่วยเป็นอะไร
ไร้ซึ่งคำตอบ ไม่เห็นเหตุผลใดๆ เลย แต่เอาเถอะ อย่างน้อยอัลเบิร์ตก็ได้รู้แล้วว่าการที่เพื่อนเขาไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อฟีโรโมนของโอเมก้าเป็นเพราะอะไร
ช่างเป็นอัลฟ่าที่...น่าสงสาร ...หรือเปล่านะ?
จะว่าไปเจเรมีก็เบื่อหน่ายกิจวัตรประจำวันของตัวเองมากอยู่เหมือนกัน ตื่นเช้าไปฟังบรรยายที่สถาบัน จากนั้นก็กลับบ้าน วนเวียนอยู่อย่างนี้แทบทุกวัน เบื่อหน่ายที่สุดคือการต้องจัดการฉีดยาให้ตัวเองทั้งเช้าและเย็น หลายครั้งที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงโดยแสร้งทำเป็นลืม หากแต่ก็โดนมารดามาเตือนตลอดทำให้เลี่ยงไม่ได้
เว้นเสียแต่วันนี้ที่มารดามีธุระต้องออกจากบ้านแต่เช้า ส่วนบิดาก็มีประชุมกับสมาชิกสภาระดับสูง ทำให้เขาเมินเฉยใส่เข็มฉีดยาที่คนเป็นแม่จัดเตรียมไว้ให้ แต่งตัวเสร็จก็พุ่งออกจากบ้าน มุ่งหน้าไปยังสถาบันอย่างรวดเร็ว ไม่ฟังแม้แต่เสียงคนรับใช้ในบ้านที่ร้องท้วงว่าเขายังไม่ได้ฉีดยาเลย
ฉีดมาเกือบตลอดชีวิตแล้ว ไม่ฉีดวันเดียวคงไม่ตายหรอกมั้งไอ้โรคบ้านี่น่ะ!
แล้วคนรับใช้จะทำอะไรได้ นอกจากจะรายงานผู้เป็นนายทั้งสองที่ไม่อยู่บ้านไปเท่านั้น ส่วนเจเรมีก็ไม่สนใจอะไรแล้ว วันนี้เขาอยากไปถึงสถาบันเพื่อเริ่มคลาสแรกของวันให้เร็วที่สุดมากกว่า
ทำไมเขาถึงได้กระตือรือร้นที่จะเข้าคลาสเรียนอย่างนี้น่ะเหรอ
วันนี้มีวิชาที่เขาโปรดปรานน่ะสิ... วิชาศิลปะการป้องกันตัว
“นายมาเช้าผิดปกตินะ”
เสียงทักดังขึ้นแผ่วเบาในคลาสขณะที่มีเสียงครูฝึกจากหน่วยทหารของกองทัพอัลฟ่ากำลังอธิบายเรื่องการเรียนการสอนของวันนี้เรียกให้เจเรมีต้องละสายตาจากครูฝึกร่างยักษ์คนนั้นเหลียวไปมองเพื่อนที่กระซิบกระซาบอยู่ข้างตัว
“มีวิชาโปรดนี่” เขากระซิบกลับไปบ้าง
อัลเบิร์ตก็ไม่น่าจะต้องสงสัยหรอก รู้อยู่แล้วว่าเจเรมีชื่นชอบวิชาที่ใช้ทักษะทางร่างกายมากเพียงใด ยิ่งหัวข้อการเรียนในวันนี้เป็นการต่อสู้มือเปล่าแล้วด้วย เขาก็ได้เห็นเจเรมีที่เปลี่ยนเครื่องแบบเป็นชุดวอร์มมารอในโรงยิมก่อนใครเพื่อนอย่างที่นานๆ ครั้งจะได้เห็นที
คลาสเรียนนี้พิเศษตรงที่ครูฝึกจะให้จับสลากเลือกคู่ต่อสู้ ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลสำคัญเลยทีเดียวที่ทำให้เจเรมีมาแต่เช้า สายตาเขาจับจ้องไปยังร่างสูงของชายหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามพลางแสยะยิ้มพราย
“โอกาสเล่นสนุกกับมันต่อหน้าคนเยอะๆ อย่างนี้มีบ่อยซะที่ไหน ต้องกระตือรือร้นกันหน่อย”
อัลเบิร์ตชำเลืองมองตามไปบ้าง พอเห็นว่าคนที่ถูกสายตาของเจเรมีจับจ้องอยู่คือธีโอก็รีบออกปากปราม
“ล้มเลิกความคิดนั้นไปซะ เมื่อวานยังไม่พออีกหรือไง”
“กระทืบไปไม่กี่ทีจะไปพอได้ไง มันต้องโดนชุดใหญ่” พูดแล้วก็แสยะยิ้มเจ้าเล่ห์ ดวงตาเป็นประกายวิบวับราวกับเด็กได้ของเล่นถูกใจ
ธีโอรู้สึกตัวว่าถูกจับจ้องอยู่ก็มองตอบ พอเห็นว่าเป็นใคร สีหน้าก็เกรี้ยวกราดขึ้นมาทันควัน ยังแค้นใจที่เมื่อวานถูกหักหน้าไม่หาย ขณะที่เจเรมีหัวเราะหึ ชี้นิ้วไปที่อีกฝ่ายแล้วหันนิ้วชี้กลับมายังเป้ากางเกงตัวเอง จากนั้นก็สลับมาชูนิ้วกลางขึ้นในอากาศ แลบลิ้นเลียเล็กน้อยเป็นการดูถูกเชิงสัญลักษณ์ ทำเอาธีโอโกรธจนหน้าแดงก่ำ แทบจะถลาเข้ามาหาเขาแล้วถ้าหากลูกสมุนที่ยืนอยู่ข้างหลังไม่ห้ามปรามเสียก่อน
ความชุลมุนบังเกิดขึ้นในทันที ธีโอเริ่มโวยวายที่ถูกห้ามพลางก่นด่าตัวต้นเหตุเสียงดัง ทว่าเจเรมีกลับแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้น ตอนนี้อัลเบิร์ตชักคิดไปแล้วว่าคนที่ชอบกลั่นแกล้งคนอื่นน่าจะเป็นเจเรมีมากกว่า ไม่ใช่ธีโอ ก่อนจะต้องละสายตาไปยังครูฝึกเมื่อเสียงดุดังขึ้น
“ทำบ้าอะไรของพวกคุณกัน!”
