Episode 01: จอมวายร้าย [2/2]
ปล่อยให้เพื่อนรักเดินตามต้อยๆ เหลือบซ้ายแลขวาด้วยท่าทีอยู่ไม่สุขสักเท่าไหร่นัก
เดินมาได้ไม่กี่ร้อยเมตร เจเรมีชักจะเริ่มเบื่อ ที่ไหนๆ ก็เป็นเหมือนกันหมด เขาไม่เห็นโอเมก้าเลยสักคนด้วยซ้ำ รู้แต่ว่าพวกนั้นอยู่ด้านในอาคาร หากจะเข้าไปก็ต้องติดต่อพนักงานที่อยู่ทางด้านหน้าอาคารพวกนั้น บอกวัตถุประสงค์ว่ามาเช่าหรือซื้อ จากนั้นพนักงานถึงจะพาเข้าไปเลือก ซึ่งแน่นอนว่าเจเรมีไม่ได้มาเพื่อการนี้ เขาแค่อยากจะมาดูความสกปรกโสมมของระบบความคิดเหล่าอัลฟ่าเท่านั้น
คิดแล้วก็ขยะแขยงตัวเอง ไม่อยากนับรวมว่าเป็นพวกเดียวกับอัลฟ่าที่สร้างวัฏจักรเหล่านี้ขึ้นมาเลย และการที่เขามาอยู่ที่นี่นานๆ ก็เริ่มทำให้คลื่นเหียนกับคำว่า ‘เพื่อความสงบสุข’ เสียเหลือเกิน
มันสงบสุขอย่างไร เจเรมีไม่เห็นจะเข้าใจ ถ้าสงบสุขจริงมันต้องหมายถึงผู้คนทุกชนชั้นสิ ไม่ใช่แค่บางกลุ่มบางพวกอย่างนี้!
พลางนึกถึงคำพูดของบิดาที่เคยพูดกับเขาไว้ก่อนที่จะเข้าศึกษาในสถาบันพัฒนาฯ ได้ขึ้นมาฉับพลัน
‘หน้าที่ของทายาทที่มีสิทธิ์ในตำแหน่งหนึ่งในสี่ตระกูลผู้ปกครองมหานครก็คือการดูแลทุกข์สุขของประชาชน อย่าละเลยความสำคัญข้อนี้เด็ดขาด’
ประโยคนี้ฝังอยู่ในหัวของเขาตลอดมา เจเรมีไม่รู้หรอกว่าที่บิดาพูดนั้นหมายถึงประชากรชาวอัลฟ่าอย่างเดียวหรือเปล่า แต่ที่รู้ๆ คือมันเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาเริ่มออกอาการต่อต้านระบบความคิดดั้งเดิมอย่างรุนแรง
ประชาชนที่เขาคิดถึงคือทุกชีวิตที่อยู่ในมหานครแห่งนี้ ไม่ใช่จำกัดเฉพาะคนบางกลุ่มอย่างที่เป็นอยู่...
ถึงจะไม่เคยบอกใคร แต่การกระทำของเจเรมีก็สื่อออกมาชัดเจนหลายๆ อย่างว่าเขาพร้อมจะชนกับใครก็แล้วแต่ที่คิดคัดค้าน จนหลายคนเริ่มสังเกตเห็นแล้วว่าตัววุ่นวายในอนาคตอยู่ตรงนี้นี่เอง
“ไม่มีอะไรแล้ว จะกลับเลยไหม” เดินมาจนเกือบสุดทางของตรอกซึ่งเป็นทางทะลุออกไปยังถนนอีกฟาก อัลเบิร์ตก็เอ่ยปากถาม
เจเรมีเห็นดีด้วย คิดจะกลับเหมือนกัน ที่แวะเวียนมาก็แค่อยากเห็นสภาพความเป็นอยู่ของโอเมก้าเท่านั้น ได้ยินชื่อเสียงของตรอกนี้มานาน แต่ไม่เคยได้เห็นด้วยตาตัวเองสักที ก่อนจะพยักหน้า เดินตรงไปกะจะออกอีกทางแล้ววนกลับบ้าน ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อสายตามองเห็นร่างของเด็กหนุ่มร่างบาง ช่วงล่างนุ่งเพียงกางเกงขายาวสีมอขณะที่ช่วงบนไม่สวมเสื้อ... หรืออาจจะสวมแต่ถูกกระชากออกไปแล้วกำลังวิ่งกระหืดหอบมาทางเขา ท่าทางคล้ายกับว่ากำลังวิ่งหนีใครอยู่
แล้วก็จริงเสียด้วยเมื่อเห็นว่าด้านหลังของเด็กหนุ่มคนนั้นมีชายอีกสามคนวิ่งตามมาพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะร่วนอยู่ ในมือของคนที่วิ่งนำหน้าถือผ้าสีขาวด่างๆ เอาไว้ มองปราดเดียวก็เดาได้ทันทีว่าต้องเป็นเสื้อของคนที่วิ่งหนีมาแน่
เจเรมีอาจจะไม่สนใจเลยก็ได้ถ้าหากว่านั่นเป็นเพียงการวิ่งเล่นกันของเด็กๆ ไม่ใช่การวิ่งไล่กวดเพื่อล่าของนักศึกษาสถาบันเดียวกับเขา อีกทั้งยังเป็นคนที่ชายหนุ่มคุ้นหน้าคุ้นตาดี
เพื่อนร่วมชั้นเรียน...
ศัตรูคู่อาฆาต...
จะเรียกว่าอย่างไรดีล่ะ เอาเป็นว่าหมอนั่นชื่อ ธีโอ แฮร์ริสัน ลูกชายของนายพล หนึ่งในสมาชิกสภาระดับสูงที่สังกัดอยู่ในกระทรวงความมั่นคงแห่งมหานครเพิร์ล ซึ่งไม่ค่อยถูกชะตากับเจเรมีสักเท่าไหร่นักตั้งแต่เข้าเรียนใหม่ๆ แล้ว ที่ไม่ถูกชะตาก็เพราะความอวดดี อวดเบ่งด้วยเป็นลูกชายสมาชิกสภาระดับสูงของธีโอ ซัดกันมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ซึ่งทุกครั้งก็เป็นเรื่องใหญ่ แถมเลือดตกยางออกด้วยกันทั้งสิ้น ล่าสุดเขาก็เพิ่งจะทำธีโอหัวแตกเพราะจับโขกกับโต๊ะระหว่างการบรรยายของวิชาหนึ่งไปเองมั้ง สาเหตุเพราะอีกฝ่ายพูดดูถูกอัลเบิร์ตที่หงอไม่สู้คนจนเพื่อนอย่างเขาทนไม่ไหว และยิ่งเจเรมีเห็นคนที่ตนไม่ถูกชะตาวิ่งไล่เด็กหนุ่มผิวแทนที่ตัวเล็กกว่าโขมาต่อหน้าต่อตาจนล้มลุกคลุกคลานไปบนพื้นอย่างนั้นด้วย เขาก็อดไม่ได้ที่จะพุ่งเข้าไปหาพร้อมกับกระโดดตัวลอย ส่งฝ่าเท้าเข้าประทับตรงกลางอกของธีโอเข้าอย่างจัง
ไม่ได้ตั้งใจจะช่วยเด็กหนุ่มคนนั้นหรอก แค่เห็นหน้าธีโอแล้วจู่ๆ เกิดหมั่นไส้ขึ้นมาเลยต้องขอเสนอหน้าสักหน่อย
การถูกจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวส่งผลให้ธีโอหงายท้องตึงลงไปบนพื้น ความจุกแน่นทำให้เขาไอโขลกเป็นการใหญ่ เพื่อนๆ ที่วิ่งตามมาทั้งสองคนชะงักกึก เกือบจะโวยวายอยู่แล้วถ้าไม่ทันสังเกตก่อนว่าคนที่ส่งลูกพี่ของพวกเขาลงไปนอนแอ้งแม้งบนพื้นเป็นจอมวายร้ายประจำสถาบัน พอเห็นชัดว่าเป็นเจเรมีก็พากันถอยกรูด เรื่องอะไรจะเอาตัวเองไปรับหมัด รับฝ่าเท้าเล่นๆ กันล่ะแม้ว่าจะมีกันอยู่ถึงสองคนก็เถอะ
“อะ...อะไรวะ แค่ก...”
กว่าจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองก็นอนกองอยู่อย่างนั้นหลายนาที เจเรมีแสยะยิ้มขึ้น ทักทายด้วยน้ำเสียงยียวน
“ไม่คิดเลยนะว่าพวกแกก็จะโดดเรียนด้วยเหมือนกัน” ทักทายอย่างนั้นเพราะจำได้ว่าวันนี้ไม่เห็นพวกของธีโอในคลาส
น้ำเสียงคุ้นเคยเรียกให้ชายหนุ่มผมแดงที่ตัวใหญ่ไล่เลี่ยกับอีกฝ่ายเงยหน้าขึ้น ใบหน้าตกกระย่นยู่เหลือบมอง พอเห็นว่าเป็นคู่แค้นก็ตะโกนลั่น
“ทำบ้าอะไรของแก!”
“ฉันต้องถามแกต่างหากว่าทำบ้าอะไรอยู่ อยู่ในช่วงติดสัดหรือไง” เจเรมีเอียงคอ ยิ้มเย้ยถาม หางตาเหลือบมองยังเด็กหนุ่มคนที่ถูกไล่ล่ามาเล็กน้อยซึ่งตอนนี้นอนกองอยู่ที่พื้นไม่ต่างกันกับธีโอเป็นสัญญาณให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาหมายถึงอะไร
ธีโอรับรู้แต่มันใช่เรื่องอะไรของคนตรงหน้าไหมล่ะ เขาจะทำอะไรมันก็เรื่องของเขา ไอ้โอเมก้าสวะที่เสนอหน้าไปเดินลอยชายด้านนอกที่ที่มันควรอยู่ต่างหากที่ผิด เขาก็แค่ไล่ให้มันกลับไปอยู่ในที่ของมันเท่านั้น!
หากแต่ไม่ได้พูด ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องมาเสียเวลาอธิบาย นอกจากแค่นเสียงถาม
“แล้วแกมายุ่งอะไร”
“ก็ไม่อยากยุ่งหรอกนะ แต่เห็นแกวิ่งไล่โอเมก้าเป็นบ้าเป็นหลังก็อดสงสัยไม่ได้ ถ้าติดสัดก็บอกนะ ฉันมียาต้านฟีโรโมนโอเมก้าเหลืออยู่”
มันอยู่ในกระเป๋ากางเกงของอัลเบิร์ต อัลเบิร์ตเกือบจะล้วงยาเม็ดนั้นออกมาให้ธีโอจริงๆ อยู่แล้ว ทว่าต้องชะงักเมื่อธีโอแผดเสียงขึ้นมาก่อน
“ฉันจะทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน แกอย่ามาแส่!”
คราวนี้เจเรมีแสร้งทำหน้าตกใจที่ถูกพูดใส่อย่างนั้น พลันแสยะยิ้ม
“พูดอย่างนี้แสดงว่ามาหาความบันเทิง แล้วนี่แกซื้อหรือเช่าล่ะ”
ธีโอไม่ตอบ เขาไม่ได้มาทั้งซื้อและเช่า อย่างที่บอกว่าเห็นเด็กหนุ่มคนนั้นเดินเตร่อยู่ อยากจะเล่นสนุกขึ้นมาก็เลยเข้าไปแกล้ง แต่ไม่ยักคิดว่าเด็กนั่นจะวิ่งหนีตายอะไรขนาดนี้ สงสัยอาจจะแกล้งรุนแรงไปหน่อย
แต่เจเรมีก็ไม่สนหรอกว่าธีโอจะตอบว่าอย่างไร เขาหันไปหาเด็กหนุ่มที่นั่งสั่นเทาอยู่บนพื้น พลันออกปากถาม
“ไอ้เวรนั่นมันซื้อหรือเช่านายมา”
โอเมก้าคนนั้นเหลือบมองคนถามด้วยแววตาหวาดกลัว ท่อนแขนเรียวโอบกอดตัวเองไว้แน่น ส่งเสียงพร่า
“มะ...ไม่ได้ซื้อหรือเช่าครับ”
“งั้นก็แสดงว่ามันพยายามจะข่มขืนนายงั้นสิ”
เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ และเขาก็ไม่ได้คิดจริงจังขนาดนั้นด้วย รู้อยู่ว่าธีโอกับเพื่อนแค่กลั่นแกล้งตามประสาพวกขี้แพ้ หากแต่พูดอย่างนั้นเพื่อความสนุกของตนเองเท่านั้น ซึ่งมันก็ได้ผลเพราะทำให้ธีโอเบิกตาโพลงอย่างตกใจ
“ฉันไม่ได้...”
รีบแก้ตัวแต่พูดยังไม่ทันจบเจเรมีก็จุ๊ปาก แทรกขึ้นมาเสียแล้ว
“แกนี่ทุเรศนะ เป็นถึงลูกชายสภาชิกสภาระดับสูงแต่ทำตัวต่ำทรามอย่างนี้ ซื้อก็ไม่ได้ซื้อ เช่าก็ไม่ได้เช่า มาไล่ข่มขืนซะอย่างนั้น ถ้าเรื่องนี้หลุดออกไป พ่อแกคงจะเอาหัวมุดดินหนีอายไม่ต่างอะไรจากนกกระจอกเทศแน่”
ว่าแล้วว่าต้องเป็นแบบนี้! เจเรมีน่ะรู้ดียิ่งกว่าอะไรว่าธีโอเกรงกลัวผู้เป็นบิดาแค่ไหน ยิ่งบิดาเป็นพวกเสียอะไรเสียได้ แต่ไม่มีวันยอมเสียหน้าเป็นอันขาดด้วยแล้ว ถ้ามีข่าวแบบนี้หลุดออกไปเข้าหูล่ะก็ มีหวังเขาโดนเละแน่
“เจเรมี! แก!”
ธีโอตะโกนลั่น โกรธสุดกำลัง พยายามจะดันตัวลุกขึ้นมาหากแต่จุกเกินกว่าจะพยุงตัวเองให้ลุกขึ้นได้ เพื่อนของเขาที่มองอยู่รีบปรี่เข้ามาหาหมายจะช่วย ทว่าก็ต้องชะงักเมื่อเจเรมีไวกว่า แค่เห็นอีกฝ่ายจะตั้งหลัก ก็ปรี่เข้าไปยกขาถีบเข้าที่หน้าอกให้อีกรอบแล้ว
ธีโอหงายหลังล้มลงไปนอนกองบนพื้น มือรีบยันตัวเองไม่ให้นอนราบไปมากกว่านี้ หากแต่ก็ต้องร้องออกมาดังอั้กเมื่อเจเรมีวางเท้าลงไปบนแผ่นอกของเขา พื้นรองเท้าบูทแข็งๆ บดขยี้หน้าอกเล็กน้อย แรงกดที่ผ่านเนื้อผ้าทำให้ชายหนุ่มหายใจแทบไม่ออก ขณะที่เจเรมีโน้มตัวลงมาเอาแขนเท้าบนหัวเข่าของขาข้างนั้น
“เรียกทำไมรึคุณแฮร์ริสัน” ยกยิ้มขึ้นแล้วแสร้งเรียกชื่อตระกูลถามอย่างยียวน
“เอาเท้าของแกออกไป...” ธีโอใช้ความพยายามเป็นอย่างมากทีเดียวที่จะแค่นเสียงออกมา
เจเรมีหัวเราะออกมาดังหึ ทำหน้าเยาะเย้ย “เจ็บงั้นสิ” จากนั้นก็บดแรงจากฝ่าเท้าลงไปอีก
“อะ...เอาออกไป” ธีโอใช้ทั้งสองมือมาจับที่หน้าแข้งของอีกฝ่าย พยายามยกออกแต่ความจุกเสียดทำให้เขาไม่มีแรงเอาเสียเลย
ทั้งที่ตัวก็สูงใหญ่ไล่เลี่ยกัน แต่เวรเอ๊ย! ไอ้หมอนี่แข็งแรงเป็นบ้า!
ก็อย่างว่า เจเรมีได้คะแนนสูงสุดในวิชาศิลปะการต่อสู้ของชั้นปี เป็นวิชาที่เขาถนัดและชื่นชอบที่สุดด้วย จะมาแพ้ให้กับพวกพฤติกรรมต่ำทรามที่มีดีแค่เป็นลูกชายของนายพลแต่ฝีมือไม่เอาไหนได้อย่างไร
ยิ่งเห็นท่าทางจนมุมของอีกฝ่ายที่เอาแต่ปากดีก่อนหน้า เจเรมีก็ได้ใจใหญ่
“ถ้าอยากให้ฉันยกเท้าออกก็หันไปจัดการกับคนของนายก่อนซี่” พยักเพยิดปลายคางไปด้านข้างประกอบการพูด
เจเรมีไม่ได้พูดถึงเพื่อนทั้งสองคนของธีโอแน่นอน ทว่าเป็นร่างบางแคระแกร็นของเด็กหนุ่มผิวแทนที่นั่งสั่นอยู่ตรงนั้นต่างหาก
ธีโอเหลือบมองแล้วก็กัดฟันแน่น “เกี่ยวอะไรกับไอ้โอเมก้าโสโครกนั่น”
“เกี่ยวสิ แกเป็นคนทำให้หมอนั่นตกใจ แถมยังทำให้เจ็บตัวอีก รู้ไม่ใช่เหรอว่าควรทำยังไง”
ธีโอรู้อยู่แล้วว่าเจเรมีต้องการให้เขาเอ่ยคำว่าขอโทษ แต่มันเรื่องอะไรที่ชายหนุ่มจะต้องพูดอย่างนั้นกับโอเมก้าชั้นต่ำกัน! ชั้นต่ำอย่างเดียวไม่พอ ยังมีสถานะเป็นได้แค่ของเล่นบำเรอกาม มันเรื่องอะไรที่เขาจะลดตัวลงไปด้วย
หากแต่การไม่ยอมพูดก็ทำให้เจเรมีเม้มปาก ถอนหายใจออกมาคล้ายกับว่าเบื่อหน่าย
“แกนี่มันหัวดื้อจริงๆ น้า ก็แค่พูดว่า ‘คุณครับ ผมขอประทานอภัยอย่างสุดซึ้งที่จู่ๆ ไอ้หนูของผมมันก็ซุกซนอยากจะเข้าไปในตัวคุณขึ้นมา’ มันยากตรงไหนกัน” แล้วก็ยกขาขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะกระแทกซ้ำลงไปที่จุดเดิม
ธีโอส่งเสียงดังอั่ก ความเจ็บปวดแล่นพล่านไปทั่วจนใบหน้าของเขาเหยเก ป่านนี้อกเขาคงช้ำในไปหมดแล้ว
“ปะ...ปล่อย” แค่นเสียงออกมาอีกครั้ง รู้สึกว่าเหมือนจะเริ่มหายใจไม่ออก
“ถ้ามันยาวไปก็สั้นๆ ก็ได้ พูดขอโทษมันไม่ยากหรอกมั้ง เอ้า พูดสิ”
เจเรมีไม่ได้ฟังเสียงผะแผ่วนั่นเลยแม้แต่น้อย เอาแต่ทำหน้าระอา บดขยี้ปลายรองเท้าพลางปากก็ข่มขู่ไปเรื่อย
ปีศาจ! หมอนี่มันปีศาจ!
เสียงในหัวของธีโอดังซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขาอยากหลุดรอดออกไปจากเงื้อมมือของจอมวายร้ายนี่แต่ก็ไม่อยากจะเสียหน้าไปพูดขอโทษโอเมก้าอย่างนั้น ทำให้เจเรมีทวีความรุนแรงในการประทุษร้ายอีกฝ่ายมากขึ้นไปอีก
การกระทำของเจเรมีนับว่าอุกอาจเลยทีเดียว แม้แต่เพื่อนสนิทที่เห็นเขาทะเลาะวิวาทอยู่บ่อยครั้งยังใจสั่น โอเมก้าที่เป็นตัวต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดเองก็กลัวว่าการกระทำของเจเรมีจะส่งผลเสียมาถึงตนจึงรวบรวมความกล้า เปล่งเสียงออกไป
“ยะ...หยุดเถอะครับ ผมไม่เป็นไร ปล่อย...ปล่อยเขาไปเถอะ เป็นความผิดของผมเอง” พูดแล้วก็ก้มหน้าก้มตา ตัวหมอบลงกับพื้น แสดงท่าทางยอมแพ้อย่างชัดเจน
เจเรมีหันไปมองแล้วร้องดัง ‘หา!?’ คล้ายกับกำลังคิดว่าทำไมถึงได้ยอมจำนนง่ายดายขนาดนั้น ทว่ายังไม่ทันที่จะได้พูดอะไร อัลเบิร์ตที่มองดูอยู่นานก็อดไม่ได้ ว่าออกมาบ้าง
“พอเถอะเจมี เดี๋ยวมันจะบานปลายใหญ่นะ”
ที่ไม่ห้ามตั้งแต่ตอนแรกเพราะตัวเองก็เขม่นกับธีโออยู่เหมือนกัน เพราะรู้ว่าสู้ไม่ได้เลยยืมมือเจเรมีจัดการ ส่วนตัวอัลเบิร์ตเองก็ยืนชมความสนุกนั้นอย่างเพลิดเพลินไป
“แล้วไง” เจเรมีเอียงคอมามองอัลเบิร์ตทำหน้าเครียด
“คนที่เดือดร้อนจะไม่ใช่นายน่ะสิ”
กะว่าจะไม่สนใจอยู่แล้ว แต่พออัลเบิร์ตว่ามาอย่างนี้พร้อมกับเหลือบมองไปยังร่างสั่นเทาบนพื้น เจเรมีก็พ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง หงุดหงิดเล็กน้อยที่การเล่นสนุกของเขาต้องจบลงก่อนถึงเวลาอันสมควร
“สำนึกในบุญคุณของหมอนั่นเอาไว้ให้ดีล่ะ ถ้าไม่เป็นเพราะหมอนั่น ฉันจะเหยียบแกให้จมดิน” เจเรมียอมยกขาขึ้นจากอกของธีโอได้ แต่ก็ไม่วายกระทืบส่งท้ายเต็มแรงไปอีกที
ธีโอถึงกับโก่งตัวงอด้วยความเจ็บปวด พอเจเรมีผละออกมา พวกเพื่อนของชายหนุ่มที่ยืนรอดูสถานการณ์อยู่ถึงได้รีบปรี่เข้าไปลากเขาออกห่างจากปีศาจตนนั้น
“พวกสวะ” เจเรมียิ้มเผล่ สะใจไม่น้อยที่จู่ๆ ก็ได้เล่นสนุกก่อนกลับ
รอยยิ้มที่ผุดพรายบนใบหน้าเจเรมีเป็นรอยยิ้มที่ดูร้ายกาจ และธีโอก็ไม่ชอบมันทุกครั้งที่เห็นเสียด้วย ทว่าก็ไม่ได้สำคัญอะไรแล้วเมื่อเจเรมีเปล่งเสียง
“ไสหัวไปภายในสามวิ...”
“คอยดูเถอะแก ฉันเอาคืนแกแน่” ธีโอไม่วายขู่
เจเรมีกลอกตาแล้วออกปาก “สาม...”
ไร้ซึ่งการนับหนึ่งและสองพลันทำท่าจะถลาเข้าไปอีก คราวนี้ไม่ได้ไปมือเปล่า หันไปคว้าท่อนเหล็กที่วางพิงกำแพงอยู่ใกล้ๆ มากระชับในมือมั่น แค่นั้นก็ไม่มีเหตุผลที่จะให้ธีโอและผองเพื่อนอยู่อีกต่อไป ทั้งหมดรีบพากันออกไปจากสถานที่แห่งนั้น ไม่ใช่ว่ากลัวเจเรมีหรอกนะ แต่คำนวณดูแล้ว ทะเลาะกับคนบ้าไม่ได้มีประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย
เห็นพวกนั้นไปหมดแล้ว เจเรมีก็โยนท่อนเหล็กทิ้ง ปัดมือที่เปื้อนฝุ่นออกสองสามครั้ง สะบัดคอแล้วว่าด้วยท่าทางไม่ยี่หระ
“ไร้น้ำยากันซะจริง เดี๋ยวพรุ่งนี้เจอหน้าจะเล่นสนุกกับพวกมันอีก นายอยากให้ฉันจัดอะไรพิเศษให้มันไหม”
“พอเถอะน่าเจมี แค่นี้ก็หนักพอที่จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้แล้วนะ” ได้ยินเพื่อนคาดโทษ อัลเบิร์ตก็รีบแทรก
จริงอย่างที่อัลเบิร์ตว่า กระทืบลูกชายสมาชิกสภาระดับสูงที่เจอหน้ากันโดยบังเอิญเสียอ่วมเพราะโอเมก้าคนเดียวขนาดนั้น มันชวนให้ความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลเมอร์ซีกับตระกูลแฮร์ริสันสั่นคลอนได้เลยทีเดียว
ไม่รู้ว่าเจเรมีตระหนักถึงผลเสียข้อนี้หรือไม่ รู้แต่ว่าเขาไม่สนใจ นอกจากเดินไปใกล้โอเมก้าคนนั้น ปรายตามองยังต้นแขนผ่ายผอมข้างขวาที่มีรอยสักเป็นสัญลักษณ์โอเมก้าขนาดเท่าปลายนิ้วก้อยตรงหัวไหล่และมีรอยสักเป็นจุดๆ อยู่ด้านล่างซึ่งเป็นเครื่องหมายให้รู้ว่าเขาเคยถูกขายทอดตลาดมาแล้วกี่ครั้ง
เท่าที่เห็นเหมือนจะมีสี่จุด...
ส่วนเครื่องหมายโอเมก้านั้นเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกเพศที่ทุกคนจำเป็นต้องสักเอาไว้เมื่ออายุครบยี่สิบปีไม่เว้นแม้แต่ชนชั้นอื่นๆ สำหรับโอเมก้าอาจจะพิเศษหน่อยตรงที่ไม่จำเป็นต้องอายุครบกำหนดก็สามารถสักได้ แค่รู้ว่าเป็นโอเมก้าก็ถูกตีตราแล้ว เพราะอย่างไรเสียพวกโอเมก้าก็ต้องไปขึ้นทะเบียนตั้งแต่แรกเกิดเพื่อให้อยู่ภายใต้นโยบายการควบคุมประชากรของรัฐ
เจเรมีมองคนตรงหน้านิ่งๆ อยู่ครู่ใหญ่ให้คนถูกมองเสียวสันหลังวาบ ก่อนจะถามด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“นายชื่ออะไร”
“ละ...ลูก้า” อีกฝ่ายตอบรับเสียงสั่น ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมองคนถามเลยแม้แต่น้อย
เจเรมีก็ไม่สน ถามต่ออีก “ตอนนี้นายเป็นของใคร”
เดาว่าน่าจะเพิ่งถูกขายทอดตลาดมาถึงมาอยู่ในที่แบบนี้ ซึ่งก็จริงอย่างที่เขาคิดเมื่อลูก้าตอบ
“ตอนนี้...มะ...ไม่มีครับ”
พวกอัลฟ่าก็เป็นอย่างนี้ เบื่อแล้วก็ทิ้งขว้าง อยากได้ก็มาซื้อใหม่ หนักหน่อยก็ถึงขั้นฆ่าทิ้ง ดีที่ลูก้ายังรอดมาได้เพราะถูกขายต่อมาเรื่อยๆ อาจจะเป็นเพราะยังเด็กอยู่ก็เป็นได้
ได้คำตอบเสร็จสิ้น เจเรมีก็ยืนมองอยู่นาน ลูก้าชักตัวสั่นมากกว่าเดิม อยากหนีไปให้พ้นจากตรงนี้จะแย่ อัลเบิร์ตเองยังอดอึดอัดกับการจ้องมองของเจเรมีไม่ได้เลย อันที่จริงเขาอึดอัดเพราะต้องมาอยู่ใกล้ๆ กับโอเมก้าในตลาดมืดอย่างนี้มากกว่า ก่อนจะตัดสินใจโพล่งขึ้นเพื่อเตือนให้เพื่อนรู้ว่าควรไปจากที่นี่ได้แล้ว
“เจมี เสร็จเรื่องแล้วพวกเราก็...”
จู่ๆ ก็หยุดพูดไปเพราะเจเรมีเหลือบมามอง ก่อนที่เขาจะแกะกระดุมเสื้อเครื่องแบบของตัวเองออก ถอดมันออกมา เหลือเพียงเสื้อกล้ามตัวใน จากนั้นก็เอาเสื้อตัวนั้นไปคลุมให้ลูก้า
“นายคงไม่อยากให้ใครเห็นว่าถูกขายมากี่ครั้งหรอกมั้ง”
ลูก้าชะงัก เงยหน้าขึ้นมองด้วยความตกใจ เจเรมีวางท่าทีเฉยชาก่อนพยักปลายคางไปยังอีกทิศ
“เอ้า ไสหัวไปได้แล้ว จะอยู่อย่างนี้อีกนานไหม”
ไม่เข้าใจว่าอัลฟ่าอย่างผู้ชายคนนี้จะมาช่วยเขาไว้ทำไม ไม่ถามด้วยซ้ำว่าเขาไปทำอะไรไว้ถึงได้ถูกผู้ชายสามคนนั้นไล่ตามมา แต่ก็ไม่คิดที่จะอธิบายอะไรให้เสียเวลาอยู่แล้ว เมื่อถูกไล่ก็รีบลุกขึ้นพรวด ริมฝีปากแห้งผากเอ่ยขึ้นหลายๆ ครั้ง
“ขะ...ขอบคุณครับ ขอบคุณ...”
แล้วก็ชำเลืองมองใบหน้าของคนที่ช่วยเขาเล็กน้อย พอเห็นได้ชัดเจนก็รีบหันหนีแล้วออกวิ่งไปอย่างไม่คิดชีวิต ทิ้งให้เจเรมีกับอัลเบิร์ตมองตามหลังอยู่อย่างนั้น
พอลูก้าจากไปแล้ว อัลเบิร์ตก็ยกมือขึ้นลูบใบหน้า
“ให้ตายเถอะเจมี วันนี้นายก่อเรื่องเป็นครั้งที่สองแล้วนะ ครั้งนี้บานปลายใหญ่หลวงเลยเนี่ย”
“นายว่าหมอนั่นอายุเท่าไหร่” ไม่ได้ฟังที่อัลเบิร์ตพูดสักนิด ถามเรื่องอื่นแทรกเสียอย่างนั้น
อัลเบิร์ตอ้าปากอย่างไม่เชื่อว่าเขาจะทำแบบนี้ พลันรีบพูดโพล่ง
“นี่เจมี นายเลิกสนใจ...”
“ฉันว่าน่าจะสักสิบเจ็ดสิบแปด แต่ตัวเล็กขนาดนั้น อาจจะสิบหกก็ได้ ยังเด็กอยู่เลยนายว่าไหม”
ยังคงไม่สนใจสิ่งที่อัลเบิร์ตจะพูดอยู่ดี สุดท้ายเพื่อนสนิทก็ถอดใจแล้วกลอกตาพลางโบกมือไหวๆ ในอากาศเป็นเชิงว่าอย่ามาพูดกับเขา
“นึกภาพไอ้พวกคนแก่ตัณหากลับนอนกับเด็กนั่นไม่ออกเลยแฮะ คงทุเรศน่าดู”
แต่พอเจมียังพึมพำคนเดียวไม่หยุด ก็อดไม่ได้ที่จะยุติการกระทำบ้าๆ นี้
“พอเถอะ กลับกันได้แล้ว ฉันปวดหัวจะตายอยู่แล้ว”
“นายนี่ไม่มีอารมณ์ขันเอาซะเลย”
ถ้าสิ่งที่เจเรมีพูดเป็นเรื่องตลกก็คงจะเป็นตลกร้ายหรือไม่ก็มีแค่เจเรมีเท่านั้นที่หัวเราะร่วนอยู่คนเดียว
อัลเบิร์ตไม่มีอารมณ์จะมาเล่นด้วยแล้ว สีซีดขาวไม่ต่างอะไรจากกระดาษ สงสัยวันนี้จะเกินรับกับวีรกรรมเขาได้ไหวแล้วล่ะ
“ไปๆ กลับก็กลับ แล้วก็เลิกทำหน้าอย่างนั้นสักที เห็นแล้วปวดหัว”
ถึงจะยอมกลับแต่โดยง่าย ทว่าก็ไม่วายยอกย้อน
อัลเบิร์ตไม่รู้จะแสดงอาการเหนื่อยหน่ายออกมามากกว่านี้ได้อย่างไรแล้ว ยังดีที่เจเรมียอมทำตามคำขอของเขา ก่อนที่จะถูกอีกฝ่ายกอดคอแล้วลากออกไปจากตลาดมืดอย่างสบายอารมณ์ จะมีก็แต่เขานั่นแหละที่เป็นกังวล
เครื่องแบบของเจมี... ให้โอเมก้าคนนั้นไปมันจะเป็นอะไรหรือเปล่านะ
เหลือบมองคนข้างกายที่ทำท่าทางสบายใจเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ไล่ความกังวลนั้นทิ้ง
คงจะไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง... หวังว่านะ ก็เจมีเป็นจอมวายร้ายนี่ ใครจะทำอะไรได้
