บท
ตั้งค่า

Episode 01: จอมวายร้าย [2/1]

“ให้ตายเถอะเจมี นายไม่น่าพูดกับศาสตราจารย์แบบนั้นเลยนะ” พ้นจากบริเวณหน้าห้องบรรยายมาได้ อัลเบิร์ตก็หลุดตำหนิเพื่อนสนิทออกมา

เจเรมีไม่มีท่าทีสนใจกับคำร้องท้วงนั้น ก้าวเดินต่อไปให้อีกฝ่ายพ่นลมหายใจออกมาเต็มแรง ก่อนจะเอ่ยอีก

“เมื่อไหร่นายจะหยุดก่อกวนสักที เมื่อวานนายก็เพิ่งจะทำคุณอีตันโมโหไป วันนี้ก็ทำศาสตราจารย์คอร์ทนีย์หัวเสียอีก พักนี้นายจะหาเรื่องมากไปแล้วนะ”

“ตาแก่นั่นชื่อคอร์ทนีย์เหรอ” แทนที่จะฟังเพื่อนดันถามชื่อคนที่ตัวเองเพิ่งยั่วโทสะไปเสียอย่างนั้นทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วว่าเขาชื่ออะไร

อัลเบิร์ตถอนหายใจ ยกมือขึ้นคลึงขมับเล็กน้อย พึมพำอย่างเหนื่อยใจ

“ตั้งแต่เมื่อไหร่นะที่นายกลายเป็นพวกขวางโลกแบบสุดโต่งอย่างนี้ นายปั่นประสาทอาจารย์ไปกี่คนแล้ว”

กี่คนก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญที่ต้องมานั่งจำหรอก เอาเป็นว่าแทบจะไม่มีใครเหลือรอดจากการถูกเจเรมีปั่นหัวก็แล้วกัน และชายหนุ่มก็ไม่ใส่ใจด้วยเพราะนั่นเป็นนิสัยพื้นฐานของเขา

สงสัยก็ต้องถาม เห็นต่างก็ต้องโต้แย้ง คนพวกนั้นคิดว่าตัวเองมีความรู้สูงส่ง ไม่เปิดใจยอมรับฟังเอง มันก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องโดนลองภูมิ เพียงแต่การลองภูมิของทายาทตระกูลเมอร์ซีออกจะร้ายกาจและหยาบคายไปหน่อยก็เท่านั้น

“ฉันก็เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว”

เจเรมีว่าอย่างไม่ยี่หระ ทำเอาอัลเบิร์ตเหนื่อยใจหนักขึ้นไปอีก

“ใช่ ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เป็นมาตั้งแต่เด็กแล้วด้วย แต่พอเข้าสถาบันพัฒนาฯ เมื่อปีก่อน นายก็ทำตัวขวางโลกมากขึ้น ตอนนี้ขึ้นปีสองแล้ว แทนที่จะเป็นผู้ใหญ่ ดันนิสัยเสียยิ่งกว่าเดิมอีก เมื่อไหร่นายจะเพลาไอ้ความกวนประสาทนั่นลงสักที”

“เมื่อฉันตายล่ะมั้ง” เสียงหัวเราะขบขันหลุดออกจากริมฝีปากหนาของเจเรมี ทำเอาอัลเบิร์ตย่นปากยู่ ก่อนที่จอมวายร้ายจะถลาเข้าไปกอดคอเพื่อน “จริงจังไปได้น่า ฉันเป็นแบบนี้ นายน่าจะชินแล้วนี่อัล”

“ชินมันก็ชินอยู่หรอก แต่มันวางตัวลำบาก”

วางตัวลำบากเพราะการกระทำของเจเรมีนี่แหละ เขาแทบจะกลายเป็นคนไม่มีสังคมเพราะเพื่อนสนิทเป็นคนน่ารังเกียจในสายตาคนอื่นอย่างนี้ เจเรมีเองก็ไม่เถียงหรอกว่าเขาร้ายกาจขนาดไหน หากนับตั้งแต่ตอนจบการศึกษาระดับตอนปลายจนมาเข้าสถาบันพัฒนาบุคลากรที่เป็นสถาบันบ่มเพาะเยาวชนอัลฟ่าเพื่อขัดเกลาก่อนจะออกไปเป็นบุคคลสำคัญในแวดวงชนชั้นสูงของมหานครเพิร์ล ก็ไม่รู้เลยว่าเขาก่อวีรกรรมชวนปวดกะโหลกให้กับเพื่อนและวงศ์ตระกูลมากี่ครั้งแล้ว เริ่มตั้งแต่เถียงไม่เลือกหน้า ก่อความวุ่นวาย จนถึงขั้นทะเลาะวิวาท เจเรมีล้วนทำมาแล้วทั้งสิ้น แต่นั่นเป็นเพราะเขาแค่ไม่ได้คำตอบในสิ่งที่เขาสงสัย ในเมื่อไม่ได้คำตอบก็ต้องถาม ใครจะไปรู้ล่ะว่ามันจะนำไปสู่ความขัดแย้ง ที่เขาทำมันไม่ใช่ความก้าวร้าวสักหน่อย เรียกว่ามีความคิดก้าวหน้าต่างหาก

“นายจะไปใส่ใจทำไม ก็แค่เรื่องเล็กน้อย”

“มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะเจมี ต่อให้จบการศึกษาจากที่นี่ไป เราก็ต้องเจอกับคนพวกนี้อยู่ดี แวดวงอัลฟ่ามันจะกว้างสักแค่ไหนกันเชียว จบออกไปแล้วก็ต้องไปทำงานเจอหน้ากันทั้งนั้น นายเป็นแบบนี้ ในอนาคตจะทำงานร่วมกับคนอื่นยากนะ”

อัลเบิร์ตเตือนตามความเป็นจริง กลุ่มอัลฟ่ามีจำนวนค่อนข้างน้อย นับเป็นหนึ่งในสี่ของพวกเบต้าเลยด้วยซ้ำ แต่อย่างไรเสีย กลุ่มโอเมก้าก็ยังมีน้อยกว่าอีกมากโข

เจเรมีรู้ดีแก่ใจว่าการเข้ามาศึกษาต่อในสถาบันพัฒนาบุคลากรอัลฟ่าเป็นไปเพื่อให้เหล่าทายาทตระกูลอัลฟ่าได้เรียนรู้ระบบแบบแผนของกลุ่มคนบนยอดพีระมิดพึงปฏิบัติ ก่อนจะออกไปทำหน้าที่ทางสังคมที่ได้รับมอบหมาย ดังนั้นอัลฟ่าอย่างเขาจะได้รับการศึกษาที่สูงกว่าพวกเบต้าที่ส่วนใหญ่ได้รับการศึกษาสูงสุดแค่การศึกษาระดับตอนปลายซึ่งเทียบเท่าอายุสิบแปดปีพอดี จากนั้นก็จะออกไปทำงานตามที่ตนถนัด มีส่วนน้อยเท่านั้นที่ได้รับการศึกษาต่อสูงขึ้นเพื่อมาช่วยงานในองค์กรใหญ่ๆ ของอัลฟ่า และแน่นอนว่าสถาบันที่ให้การศึกษานั้นไม่ใช่สถานที่เดียวกับพวกเขา

อย่างที่รู้กันว่าอัลฟ่ามีสิทธิพิเศษเหนือทุกชนชั้นในสังคม เรื่องอะไรที่จะยอมให้มีชนชั้นอื่นมาเจือปนความบริสุทธิ์ของพวกเขากันล่ะ แม้แต่สถานที่ก็ยังใช้หายใจร่วมกันแทบไม่ได้โดยอ้างว่าที่ต้องจัดการอย่างนี้ก็เป็นไปเพื่อความสงบสุข

สงบสุขบ้าบออะไร ความเห็นแก่ตัวชัดๆ เหยียดเพศกันเห็นๆ!

หากแต่เจเรมีไม่อยากจะใส่ใจนัก อย่างไรเสียหลังจบการศึกษาในอีกสองปีข้างหน้า เขาก็ต้องมารับช่วงต่อจากบิดาซึ่งเป็นผู้ถือครองตำแหน่งหนึ่งในสี่ตระกูลผู้ปกครองมหานครเพิร์ลอยู่ดี ถึงจะไม่ใช่ในระดับผู้นำแต่ก็หนีไม่พ้นแวดวงนั้น เพราะหากให้เขาไปทำอย่างอื่นก็ดูท่าจะไม่มีฝ่ายไหนอยากรับฝากฝังนัก

เป็นตัวก่อกวนถึงขนาดชื่อเสียงลือลั่นไปทั่วอย่างนี้ คงจะมีใครอยากเสี่ยงรับเข้าไปให้องค์กรวุ่นวายหรอก

ไม่ใช่เจเรมีแค่คนเดียวที่มีลักษณะนิสัยอย่างนี้ แต่ เจอโรม เมอร์ซี บิดาของเขาเองก็เช่นกัน ถึงจะเป็นหนึ่งในสี่ของตระกูลผู้ปกครองที่รั้งตำแหน่งในสภาระดับสูง แต่การที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘ฝ่ายค้าน’ ก็แสดงว่าความคิดความอ่านค่อนข้างจะขวางโลกอยู่ไม่น้อย หลายครั้งทีเดียวที่ความคิดเห็นของเขาไปขัดแย้งกับนโยบายของผู้นำจากอีกสามตระกูลจนเกิดเป็นเรื่องราวใหญ่โต แต่นั่นก็นับเป็นข้อดีอย่างหนึ่งเพราะทำให้เกิดการถ่วงดุลอำนาจกัน ทว่าอุปนิสัยอย่างนี้ก็ไม่มีใครชอบเท่าไหร่นัก หากไม่ใช่เพราะตระกูลเมอร์ซีมีอิทธิพลในการปกครองมหานครแห่งนี้มายาวนานหลายทศวรรษล่ะก็ ป่านนี้คงไม่ได้เชิดหน้าชูตาหยิ่งผยองอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้หรอก

“นายคิดมากเกินไปแล้วอัล” ได้ยินเพื่อนบ่นไม่เลิก เจเรมีก็อดรำคาญไม่ได้

“การกระทำของนายสมควรให้ฉันคิดมากหรือเปล่าล่ะ” อัลเบิร์ตชักสีหน้า “กว่าจะจบออกไป ฉันคงโดนคนทั้งสถาบันเกลียดขี้หน้าตามนายไปด้วย”

รอบนี้ไม่ได้บ่นลอยๆ สีหน้าเคร่งเครียดบ่งบอกให้รู้ว่าจริงจังแค่ไหน นั่นทำให้เจเรมีต้องเขย่าตัวเพื่อนเป็นการใหญ่

“เกลียดก็ดีสิ นายจะได้มีฉันเป็นเพื่อนสนิทชั่วชีวิต ดีออก เป็นเพื่อนกันตั้งแต่เกิดจนตาย มีใครเขาคบกันได้ยาวนานขนาดนี้บ้าง”

ยังมีหน้ามายิ้มกว้างอีก เขี้ยวคมๆ ที่เผยออกมาให้เห็นกับท่าทางทะเล้นทำให้อัลเบิร์ตหลุดหัวเราะ

“ฉันคงจะเส้นเลือดในสมองแตกตายก่อนวัยอันควรแน่”

สุดท้ายก็ต้องยอม อย่างที่เจเรมีพูด เขาเป็นเพื่อนสนิทกับอีกฝ่ายมาตั้งแต่จำความได้แล้ว นั่นก็เพราะบิดาของเขาซึ่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขค่อนข้างสนิทสนมกับตระกูลเมอร์ซี ทั้งคู่จึงได้พบปะกันบ่อยกระทั่งกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกันอย่างที่เห็น ความจริงเจเรมีก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร เพียงแต่หัวดื้อและซุกซนมากกว่าคนทั่วไปสักหน่อย มันเลยเกิดปัญหาตามมาให้แก้ไม่หยุดจนเขาต้องออกรับหน้าแทน หรือไม่ก็เป็นคนห้ามทัพไม่ให้เจเรมีทำสถานการณ์ให้เลวร้ายลงกว่าเดิมอยู่บ่อยครั้ง

“ฉันไม่ปล่อยให้นายตายหรอกน่า นายยังต้องตามเก็บตามเช็ดให้ฉันอีกนาน”

เจเรมีรู้ตัวว่าอัลเบิร์ตมักทำอย่างนั้นจึงเย้าแหย่ ก่อนจะเลื่อนมือไปยีเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนบนศีรษะเพื่อนแล้วผละออกไป

อัลเบิร์ตหัวเราะให้กับการกระทำนั้น มองคนตัวสูงกว่าที่เดินลิ่วนำหน้าไปอย่างชื่นชม

ใช่ ชื่นชม ลึกๆ แล้วเขาชื่นชมในความกล้าของเจเรมีอยู่มาก

ใบหน้าคมคายหล่อเหลา รอยยิ้มที่แสนเย้ายวน ร่างกายสูงใหญ่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ล้วนแล้วแต่ทำให้ชายหนุ่มกลายเป็นที่พูดถึงของสาวๆ ทั้งอัลฟ่าและเบต้าได้ไม่ยากนัก หากไม่นับนิสัยห่ามๆ ของอีกฝ่ายกับการทำอะไรไม่ค่อยคิดก็สามารถพูดได้เต็มปากเลยว่าเจเรมีเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์มากเลยทีเดียว ต่างจากเขาที่รูปร่างสันทัด หน้าตาแค่พอดูได้ ซ้ำยังไม่ค่อยจะมีปากมีเสียงกับใครเท่าไหร่จนมักถูกกลั่นแกล้งจากอัลฟ่าด้วยกันอยู่บ่อยๆ

ถ้าไม่มีเจเรมีสักคน เขาคงจะเป็นไอ้ขี้แพ้ที่วันๆ เอาแต่ถูกแกล้งไม่ก็นั่งท่องตำราอย่างโดดเดี่ยวทุกช่วงพักระหว่างเรียน ไร้คนคบหาไปตลอดชีวิตแล้ว...

“จะยืนมองอีกนานไหม รีบตามมาเร็ว” เห็นเพื่อนไม่ยอมก้าวตามมาก็หันไปร้องเรียก

อัลเบิร์ตก้าวฉับอย่างรวดเร็ว ไม่กี่อึดใจก็ไปเดินเคียงข้าง ก่อนเอ่ยถาม “แล้วจะเอาไงต่อ ถูกไล่ออกมาอย่างนี้แล้วจะกลับเข้าไปไหม หรือค่อยเข้าฟังบรรยายคลาสต่อไป”

“นายยังคิดจะให้ฉันเข้าไปในห้องเส็งเคร็งนั่นอีกหรือไง” เจเรมีถามกลับโดยไม่มองหน้า สายตามองตรงคล้ายกับว่าไม่ได้สนใจคนข้างกายนัก

“ถ้าไม่กลับเข้าไป แล้วนายจะไปไหน”

ฉับพลันเจเรมีก็หยุดเดิน เหลียวมามองหน้าเพื่อนพลางยิ้มเจ้าเล่ห์ “มีที่สนุกๆ ให้ไปก็แล้วกัน”

“อย่าบอกนะว่า...ข้างนอก?”

เมื่อเจเรมีส่งเสียงขานรับว่า ‘อือ’ ออกมา อัลเบิร์ตก็ถอนหายใจอีกรอบทันที ถ้าวันนี้เขาทำอย่างนี้อีกหน มีหวังเส้นผมของเขาคงได้กลายเป็นสีขาวแน่

เมื่อวานก็เป็นอย่างนี้ ไปยั่วประสาทอาจารย์จนถูกไล่ออกมาแล้วสุดท้ายก็ออกไปเที่ยวเตร่ข้างนอก วันนี้ก็จะเอาอย่างนั้นอีกเหรอ

เอาอย่างนั้นแหละ เจเรมีเคยมีท่าทีว่าอยากฟังบรรยายในสถาบันเสียที่ไหน ยิ่งวันนี้ไม่มีคลาสเรียนวิชาที่โปรดปรานด้วย ชายหนุ่มไม่อยู่ให้เสียเวลาหรอก

“งั้นวันนี้จะไปไหนล่ะ” ยอมจำนนต่อความดื้อด้านของเจเรมีจนได้

อีกฝ่ายเผยอริมฝีปากขึ้น “ตลาดมืดเป็นไง นายยังไม่เคยไปนี่ ฉันเองก็ไม่เคยไป”

คนฟังเบิกตาโตทันควัน “อย่าบอกนะว่าตลาดมืดที่หมายถึงจะเป็น...”

“ตลาดค้าโอเมก้า” เจเรมียักคิ้วขณะให้คำตอบ

อัลเบิร์ตตั้งท่าจะร้องห้ามด้วยไม่เป็นการดีสักเท่าไหร่นักหากพวกเขาจะไปเดินเตร่อยู่ในนั้น ถ้าบังเอิญเจอคนรู้จักขึ้นมา มีหวังถูกมองในแง่ลบแน่แม้จะเป็นที่รู้กันดีว่าพวกอัลฟ่าไปยังตลาดค้าโอเมก้าเพื่ออะไร กระนั้นก็ไม่ได้เป็นการกระทำที่สามารถเปิดเผยได้ แต่คนอย่างเจเรมีจะสนใจอะไรล่ะ เห็นเพื่อนอ้าปากจะห้ามก็คว้าคอมากอดไว้อีกระลอก

“อย่ามัวชักช้าน่า รีบไปกัน”

“เดี๋ยวเจมี อย่าเพิ่ง...”

ปากกำลังจะร้องห้าม ขืนตัวไม่ยอมออกเดิน ทว่าก็เห็นอะไรบางอย่างตกออกมาจากกระเป๋ากางเกงของเจเรมีเสียก่อน เหลือบมองไปก็เห็นว่าเป็นยาเม็ดที่ศาสตราจารย์คอร์ทนีย์แจกจ่ายให้นักศึกษาทุกคนก่อนจะเริ่มคลาสเพื่อต่อต้านการตอบสนองต่ออาการฮีทของโอเมก้าที่เขานำตัวมาสาธิตประกอบการบรรยาย

อัลเบิร์ตยกแขนล่ำของเพื่อนออกจากตัว ก้มลงเก็บยาเม็ดนั้นพลางชูขึ้นตรงหน้า

“นายไม่ได้กินยานี่เหรอ”

เจเรมีหันไปมอง พยักหน้ารับ “ก็เห็นๆ อยู่”

ความสงสัยประดังประเดเข้ามาในสมองของอัลเบิร์ตทันที

ในเมื่อไม่ได้กินยาต้าน แล้วทำไมเขาถึงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองกับอาการฮีทของโอเมก้า ทั้งที่คนอื่นๆ กินยาต้านเข้าไปแล้วแต่ก็ยังมีอาการเมื่อโอเมก้าปล่อยฟีโรโมนออกมาในปริมาณมาก...เพราะอะไรกัน

“ทำไมล่ะ” สงสัยจนทนไม่ไหวจึงต้องถามออกไป ใจอยากจะถามเหตุผลด้วยซ้ำว่าทำไมเจเรมีถึงยังมีอาการปกติได้

เจเรมียื่นแขนซ้ายออกไปตรงหน้า ถกแขนเสื้อเครื่องแบบที่ยาวจนถึงข้อมือขึ้นให้เห็นข้อพับ รอยจุดแดงๆ บนนั้นทำให้อัลเบิร์ตย่นคิ้วยู่เข้าไปอีก

“เมื่อเช้าฉันเพิ่งถูกฉีดยามา หมอบอกว่าช่วงนี้อาการแย่ ต้องฉีดยาเช้าเย็นแล้วก็ห้ามรับยาตัวอื่นเพื่อป้องกันผลข้างเคียงน่ะ”

เมื่ออธิบายออกมาแล้ว อัลเบิร์ตก็ไม่สงสัยต่อ รู้ดีว่าที่เจเรมีต้องฉีดยาทุกวันอย่างนี้เป็นเพราะชายหนุ่มมีโรคประจำตัวตั้งแต่กำเนิด แม้จะไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไรก็ตาม เขาเคยถามบิดาของตัวเองแล้วเพราะดูท่าทางจะรู้กันกับครอบครัวเมอร์ซีว่าอีกฝ่ายป่วยเป็นอะไร หากแต่ได้เพียงคำตอบว่าไม่ใช่ธุระกงการอะไรของเขา พร้อมกับเหตุผลว่าจำเป็นต้องปิดเรื่องที่เจเรมีป่วยเป็นความลับด้วยเกรงว่าจะมีผลต่อการเข้ารับตำแหน่งสืบต่อจากเจอโรมในอนาคตได้ อย่าว่าแต่อัลเบิร์ตไม่รู้เลยว่าเขาป่วยเป็นโรคอะไร เจเรมีเองก็ไม่รู้เช่นกัน แค่พ่อแม่บอกว่าร่างกายของเขาไม่ปกติ จำเป็นต้องได้รับการรักษา ชายหนุ่มก็รับยาอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่อายุสิบสาม ...จากแค่รับประทานเฉยๆ ก็เริ่มกลายมาเป็นฉีดเข้าเส้นเลือด จากแค่รับยาอาทิตย์ละครั้ง กลายมาเป็นสองสามวันครั้ง ไม่นานก็เป็นวันละครั้ง จนตอนนี้ถูกฉีดเช้าฉีดเย็นไปแล้วก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองป่วยเป็นอะไร ถามทีไรก็ถูกปฏิเสธที่จะให้คำตอบมาทุกครั้งจนเขาเลิกถามไปแล้ว รู้เพียงอย่างเดียวว่า...

...เขาไม่มีปฏิกิริยาตอบรับอะไรกับฟีโรโมนของโอเมก้า

อาจจะเป็นความผิดปกตินี้ก็เป็นได้ที่ทำให้เขาต้องได้รับการรักษาเพื่อให้มีสภาพร่างกายเหมือนกับอัลฟ่าคนอื่นๆ และไม่จำเป็นที่จะต้องกินยาต่อต้านฟีโรโมนอะไรนั่น สำหรับอัลเบิร์ตแล้ว เขาไม่เห็นว่าเจเรมีจะดูเหมือนคนป่วยแม้แต่น้อย ร่างกายแข็งแรงกำยำขนาดนั้น ต่อให้ถูกรถบรรทุกชนก็ยังไม่ตายเลย เขาต่างหากที่ดูเหมือนคนป่วยมากกว่า

“จะถือมันอีกนานไหม ถ้านายไม่ใช้ก็ทิ้งมันไปซะ” เห็นเพื่อนยืนถือยาค้างอยู่นานก็เอ่ยปาก

อัลเบิร์ตพยักหน้า เก็บยาลงกระเป๋ากางเกงแล้วก้าวขาเดินตามหลังของเจเรมีออกไป สายตาจับจ้องไปยังแผ่นหลังกว้าง ในหัวครุ่นคิดไม่หยุด

ชายหนุ่มผมบลอนด์นั่นไม่มีปฏิกิริยาต่อโอเมก้า เคยได้ยินมาอย่างนี้เหมือนกันแต่ไม่คิดว่าจะเป็นจริง ก่อนหน้านั้นที่เขาเห็นโอเมก้ายังสั่นระริกจนแทบจะคลั่งตาย ที่เจเรมีเป็นแบบนี้มันน่าแปลก

แต่...ในเมื่อไม่มีปฏิกิริยาต่อโอเมก้าที่เป็นฮีท แล้วถ้ากับอัลฟ่าล่ะ เจเรมีจะมีปฏิกิริยาอะไรไหม

คิดแล้วก็นึกขำในความคิดของตัวเอง เพื่อนเขาเป็นอัลฟ่านะ แล้วอัลฟ่ามันจะไปมีฟีโรโมนกระตุ้นอารมณ์อัลฟ่าด้วยกันได้อย่างไร อัลฟ่าไม่สามารถเป็นฮีทได้ถ้าไม่มีโอเมก้ามากระตุ้น การสืบพันธุ์ระหว่างอัลฟ่าด้วยกันก็ไม่ต่างอะไรจากพวกเบต้าเลยแม้แต่น้อย

เรื่องแบบนั้นมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว…

“เอ้า ยืนทำอะไรอยู่ ตามมาเร็วๆ เข้า” เจเรมีหันมาเห็นอัลเบิร์ตยืนนิ่งก็ร้องเรียกอีก

คนถูกเรียกสะดุ้ง ไม่รู้ตัวเลยว่าหยุดเดินไปตอนไหน ก่อนจะรีบสาวเท้าเข้าไปหาแล้วเดินออกไปนอกสถาบันพร้อมกัน เผลอเหลือบมองซีกหน้าหล่อของเจเรมีเป็นระยะพลางสรุปความคิดของตัวเองไปด้วย

มีปฏิกิริยากับอัลฟ่างั้นเหรอ... เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เจมีก็แค่ป่วยเท่านั้น...

มาหยุดยืนอยู่หน้าตรอกแคบๆ ซึ่งเป็นทางผ่านเข้าไปยังตลาดมืดหรือที่รู้จักกันดีว่าเป็นตลาดค้าโอเมก้า อัลเบิร์ตก็ถอนหายใจออกมาแรงๆ จนรู้สึกว่าเครื่องในของเขาแทบปลิ้นออกทางรูจมูก วันนี้ถอนหายใจนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เจเรมีจะสังเกตเห็นบ้างไหมว่าทำให้เพื่อนสนิทเพียงคนเดียวมีความหนักอกหนักใจเพียงใด

แน่นอนว่าไม่ทันได้สังเกตเห็น เขาไม่สนใจที่จะเหลือบมองเลยด้วยซ้ำ เอาแต่มองเข้าไปในตรอกนั้น ดวงตาสีฟ้าสว่างคู่สวยเป็นประกายระยับ

“ดูโสโครกสุดๆ เลยว่าไหม”

ไม่รู้จะตื่นเต้นทำไมในเมื่อภาพที่เห็นตรงหน้ามันไม่ได้เชิญชวนให้อยากมองสักนิด สภาพตรอกนั้นค่อนข้างแคบพอให้คนเดินสวนกัน บนพื้นถนนปูด้วยอิฐสีแดงที่จางจนซีดแล้ว สองข้างทางมีอาคารหนึ่งชั้น บ้างก็สองชั้นหลังย่อมๆ เรียงรายกันเป็นแถว รอบข้างแทบจะไม่มีผู้คนเลยด้วยซ้ำนอกจากชายฉกรรจ์หลายคนที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าอาคารเหล่านั้นเป็นจุดๆ พอถูกเจเรมีลากให้เดินเข้าไป ชายพวกนั้นก็มองมายังผู้มาใหม่ด้วยสายตาประหลาดใจ

ก็แน่ล่ะ เป็นใครจะไม่ประหลาดใจบ้าง จู่ๆ มีนักศึกษาจากสถาบันพัฒนาบุคลากรอัลฟ่ามาเดินเตร็ดเตร่ในเครื่องแบบเต็มยศอย่างนี้ก็ต้องสงสัยบ้างล่ะ เครื่องแบบที่เป็นชุดเสื้อแขนยาวและกางเกงขายาวสีน้ำตาล สวมบูทหนังยาวถึงหน้าแข้งแบบนั้นเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของสถาบันชนชั้นสูงแห่งนี้อยู่แล้ว

“ฉันว่าเราไม่ควรมาที่นี่เลย” อัลเบิร์ตทนกับสายตาที่มองมาอย่างมีคำถามของคนรอบข้างไม่ได้จึงจำเป็นต้องพูด

เจเรมีไม่หันมามอง ใบหน้าเหยียดยิ้มพรายราวกับเด็กที่ได้เข้าไปเล่นในสวนสนุก “เดินเข้ามายังไม่ทันถึงร้อยเมตรเลยก็ร้องจะกลับละ คิดถึงแม่หรือไงเจ้าหนูอัลเบิร์ต”

ถูกล้อเลียนกลับแบบนั้น อัลเบิร์ตก็ได้แต่หน้าม้าน เขาไม่ได้คิดถึงมารดาสักหน่อย แค่รู้สึกว่าไม่ควรมาอยู่ตรงนี้ต่างหาก นึกโกรธตัวเองไม่น้อยที่ตัดสินใจตามเจเรมีมา

ไม่...ไม่ใช่ เขาไม่ได้ตามเจเรมีมา พยายามห้ามแล้ว ปฏิเสธก็แล้วแต่ถูกลากมาในที่สุดน่าจะถูกต้องกว่า คนอย่างเจเรมีถ้าคิดจะทำหรืออยากได้อะไรแล้วก็ต้องให้ได้ดั่งใจเท่านั้น

“นายจะอยู่ที่นี่อีกนานเท่าไหร่ ฉันเริ่มจะหายใจไม่ออกแล้ว” หายใจไม่ออกจริงอย่างที่ปากพูด เขาอึดอัดขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ

เจเรมีหยุดเดิน หันไปมองหน้าเพื่อนด้วยความรำคาญ “ทำไมนายทำตัวน่ารำคาญอย่างนี้วะ”

“ฉันอึดอัดจริงๆ นี่หว่า ที่แบบนี้มันไม่ใช่ที่ที่เราสมควรจะมาเลยนะ ถ้ามีคนมาเห็นแล้วพ่อแม่นายรู้จะว่ายังไง”

“พ่อแม่ฉันไม่ว่าอะไรหรอก ฉันเป็นผู้ชายนี่ แถมอายุก็ยี่สิบแล้ว ถ้าอยากจะเที่ยวตามประสาคนหนุ่มบ้างมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก” เจเรมีตอบพลางเชิดจมูกขึ้น

อัลเบิร์ตหมดคำจะเถียง จริงอย่างเจเรมีพูด การที่ชายหนุ่มมาโผล่ในสถานที่แบบนี้จะคิดเป็นอื่นไกลไม่ได้เลยนอกจากมาหาโอเมก้าเพื่อระบายอารมณ์ทางเพศ เพราะตลาดมืดแห่งนี้นอกจากจะได้ชื่อว่าเป็นตลาดค้าโอเมก้าที่ใหญ่ที่สุดในมหานครเพิร์ลแล้ว ยังเป็นสถานบริการทางเพศที่มีโอเมก้าเป็นสินค้า พวกอัลฟ่าบางคนที่มีโอเมก้าในครอบครองก็มักจะเอามาขายหรือให้เช่าในลักษณะชั่วคราวในที่แห่งนี้

แต่จะอย่างไรก็แล้วแต่ มันไม่ใช่สถานที่ชวนพิศมัยสำหรับอัลเบิร์ตเลย ขนาดอัลฟ่าที่ชอบการสะสมของเล่นพรรค์นี้ยังแทบไม่เคยมาเหยียบย่างแถวนี้ด้วยตัวเอง มีแต่ส่งตัวแทนมา แล้วนี่เขามาถึงถิ่นเลยนะ มันทำให้อวัยวะภายในกระอั่กกระอ่วนอย่างไรก็ไม่รู้

“พ่อแม่นายไม่ว่า แต่มันไม่เหมาะสม ขืนมีใครมาเห็นว่าลูกชายคนเดียวของหนึ่งในตระกูลผู้ปกครองมาเยี่ยมเยียนแถวนี้เข้า มันจะกลายเป็นข่าวเสียหายนะ”

“คิดว่าฉันสนเหรอ” เจเรมีตอบห้วนๆ

จนปัญญาจะหาข้ออ้างแล้วเพราะอัลเบิร์ตรู้ดีว่าเจเรมีไม่เคยสนคำนินทาอะไรพวกนั้น แต่ไม่ใช่แค่เจเรมีคนเดียวหรอก พวกเมอร์ซีทั้งครอบครัวยังไม่สนเลย

เรียกได้ว่าเป็นพวกไม่สนโลกกันทั้งบ้านได้หรือเปล่านะ

คำตอบนั้นทำให้อัลเบิร์ตหน้าเจื่อน เจเรมีเหลือบมองท่าทางนั้นแล้วก็หัวเราะ

“หยอกเล่นแค่นี้ถึงกับจะร้องไห้เลยเหรอฮะ เด็กจริงๆ ด้วยนายเนี่ย” แล้วก็ตามมาด้วยการยีผมของเพื่อนสนิทจนยุ่ง

อัลเบิร์ตรีบจัดแต่งทรงผมทันทีที่อีกฝ่ายปล่อยมือ ก่อนจะเม้มริมฝีปากแน่นเมื่อได้ยินเจเรมีพูดขึ้นมาอีกครั้ง

“ขอเวลาสักชั่วโมง ไหนๆ ก็มาถึงแล้ว เดินให้ได้สักรอบก่อนแล้วค่อยกลับ นายคงจะโอเคนะ”

“ถ้าบอกว่าไม่โอเคแล้วนายจะฟังหรือไง” เสียงบ่นอุบอิบลอยมาให้ได้ยิน

เจเรมีหัวเราะตบท้ายเล็กน้อยก่อนจะเดินอาดๆ ไปตามถนนหนทางของตรอก

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel