Prologue
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม มีความหลากหลาย มีอัตลักษณ์เป็นของตนเอง ทว่าบางครั้งความหลากหลายเหล่านั้นก็ก่อให้เกิดปัญหา หนทางที่จะขจัดปัญหาเหล่านั้นออกไป ดูเหมือนจะมีเพียงหนทางเดียว... ควบคุมระบบความคิดของมนุษย์ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน
การจำแนกลักษณะทางกายภาพของมนุษย์จึงถือกำเนิดขึ้น การจัดลำดับทางชนชั้นเพื่อให้สมาชิกในสังคมปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่ที่พึงมีของตนถูกนำมาใช้เป็นรากฐานในการดำรงชีวิตอยู่ร่วมกัน การผลักดันให้กลุ่มคนที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นตัวปัญหาหลักของสังคมลงไปอยู่ชั้นล่างสุดของห่วงโซ่อาหารเป็นเรื่องที่ควรกระทำ กลุ่มคนที่มีจำนวนมากทว่าไร้ความสามารถถูกนับเป็นประชากรส่วนใหญ่ ขณะที่กลุ่มคนจำนวนมากที่สุดเป็นลำดับสองและมีความสามารถมากเป็นกลุ่มผู้มีอำนาจในการถือครองสิทธิ์และควบคุมปัจจัยต่างๆ แนวความคิดจารีตประเพณีของสังคมล้วนกลั่นกรองออกจากมันสมองของคนกลุ่มนี้ แน่นอนว่าเป็นความคิดที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนรวมและประเสริฐที่สุดแล้วสำหรับทุกชีวิต
ทุกคนจำเป็นต้องปฏิบัติตาม จำเป็นต้องยอมรับอย่างไร้เงื่อนไข การกระทำตามบทบาทหน้าที่ทุกอย่างต้องไปในแนวทางเดียวกันตามสถานะทางสังคมของตนเอง ทั้งหมดก็เพื่อ...ความสงบเรียบร้อย
หากแต่การจัดลำดับชนชั้นของกลุ่มคนจากยอดพีระมิดออกจะแปลกเสียหน่อย พวกเขาไม่ได้วัดค่าคนจากความสามารถหรือจำแนกบุคคลจากต้นกำเนิดและวงศ์ตระกูล หากแต่เป็น... เพศ
ในโลกนี้มีเพศสรีระที่มองเห็นได้ด้วยตาอยู่สองลักษณะซึ่งก็คือเพศชายและเพศหญิง ทว่าเพศที่เป็นเครื่องมือในการแบ่งชนชั้นกลับเป็นเพศอีกรูปแบบหนึ่งที่แยกออกมาจากเพศสรีระ
อัลฟ่า [ α ] ...เพศที่ถือครองสิทธิ์ทุกอย่างในสังคม ความสามารถอันโดดเด่นทำให้ได้รับการยกย่องเป็นชนชั้นสูงของสังคม
เบต้า [ β ] ...เพศส่วนมากของประชากรทั่วไป ชนชั้นกลางของสังคมที่มีชีวิตตามครรลองที่อัลฟ่ากำหนดให้
และโอเมก้า [ Ω ] ...เพศที่ถูกบีบให้เป็นชนชั้นล่างและแทบจะไม่ถูกเรียกว่ามนุษย์ด้วยถูกขนานนามว่าเป็น ‘ตัวปัญหาของสังคม’
ชนชั้นสุดท้ายเป็นประชากรชั้นสองที่มีจำนวนน้อยที่สุดชนิดเรียกได้ว่ามีเพียงหยิบมือและที่ถูกเรียกว่าเป็นตัวปัญหามีสาเหตุมาจากเหล่าอัลฟ่าเห็นว่าพวกโอเมก้ามีอำนาจบางอย่างที่ได้จากธรรมชาติในการทำให้อัลฟ่าแตกคอกันเอง ในภาษาทางการเรียกว่าการ ‘ฮีท (Heat)’ อาการอันเป็นสัญลักษณ์ของการเรียกร้องการสืบพันธุ์ซึ่งจะมีการปล่อยฟีโรโมนออกมาในแต่ละช่วงของทุกเดือน และสารเคมีจากร่างกายของโอเมก้านั้นมีผลต่อปฏิกิริยาคลุ้มคลั่งของอัลฟ่า
กี่ทศวรรษแล้วที่เหล่าอัลฟ่าต้องเปิดศึกนองเลือดฆ่ากันเองเพียงเพราะแย่งชิงโอเมก้า เพื่อไม่ให้เสียบุคลากรในกลุ่มอัลฟ่าไปอย่างไร้ประโยชน์ การจำกัดการขยายพันธุ์ของโอเมก้าจึงเป็นวิธีป้องกันที่ดีที่สุด การกวาดล้างครั้งใหญ่ก่อกำเนิดขึ้นเมื่อไม่ช้านานนี้ เด็กที่เกิดมาพร้อมกับเพศนี้มักจะถูกสังหารตั้งแต่ลืมตาเป็นทารก หากแต่ในระยะหลังการสังหารเริ่มจะเบาบางลงเมื่อมีเรื่องของเงินตราเข้ามาเกี่ยวข้อง
จาก ‘สิ่งมีชีวิตที่ควรกำจัด’ กลายเป็นชิ้นเนื้อไร้ค่าที่มีดีแค่ตอบสนอง ‘ความต้องการ’ ให้กับอัลฟ่าเท่านั้น แต่มีหลายครั้งเช่นกันที่โอเมก้ากลายเป็น ‘เครื่องจักรผลิตทายาท’ ตามแต่จุดประสงค์ของอัลฟ่าผู้ถือครองแต่ละคน
และใช่... เพศโอเมก้า ไม่ว่าสรีระจะเป็นชายหรือหญิงต่างสามารถให้กำเนิดทายาทได้ หากแต่ถ้าตั้งท้องให้กับอัลฟ่าแล้วเด็กที่เกิดมาเป็นโอเมก้า ชีวิตเล็กๆ นั่นจะไม่ได้รับการไยดี อาจถูกสังหารหรือส่งขายทอดตลาดมืดก็เป็นเรื่องที่อัลฟ่าผู้เป็นเจ้าของจะตัดสินใจ ถึงจะเป็นผู้สืบสายเลือด แต่ถ้าหากเป็นโอเมก้าแล้ว ชนชั้นสูงอย่างอัลฟ่าก็ไม่มีทางยอมรับ สายเลือดบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะได้รับการนับญาติ แม้ความจริงจะเกิดจากเศษสวะชั้นต่ำของสังคม แต่อัลฟ่าก็คืออัลฟ่า และอัลฟ่าก็จะไม่มีทางเป็นโอเมก้าเด็ดขาด
ไม่มีวัน...
บทเรียนในชั้นเรียนของสถาบันพัฒนาบุคลากรของชนชั้นสูงแห่งมหานครเพิร์ลสร้างความเบื่อหน่ายให้กับชายหนุ่มผมบลอนด์ไม่น้อย เขาจำไม่ได้ดีนักว่าตนได้ยินผู้เป็นอาจารย์สาธยายความสูงส่งของอัลฟ่าและสาเหตุที่ทำให้เกิดการแบ่งแยกชนชั้นมากี่ครั้งแล้ว แต่จำได้ว่าได้ยินเรื่องพวกนี้มาตั้งแต่จำความได้ ระบบความคิดว่าอัลฟ่าเป็นเพศที่สูงส่ง ส่วนโอเมก้าเป็นเพศที่ต่ำช้าเข้าหูเขานับครั้งไม่ถ้วน หากชายหนุ่มกลับไม่เห็นว่าจะสมเหตุสมผลตรงไหนเลย นอกจากคิดว่ามันไม่ยุติธรรม
ถูกแล้ว... ไม่ยุติธรรมสำหรับพวกโอเมก้าหรือแม้แต่เบต้าที่เรียกได้ว่าเป็นแรงงานสำคัญของระบบเศรษฐกิจเอง ถึงระบบความคิดนี้จะเอื้อให้อัลฟ่าอย่างเขาได้รับผลประโยชน์สูงสุด แต่หากมองในมุมของเขา เขากลับคิดว่าถึงความยุติธรรมจะมีไม่เท่าเทียมกัน อย่างน้อยพวกโอเมก้าก็สมควรได้รับการมองว่าเป็น ‘มนุษย์’ บ้าง ไม่ใช่เครื่องมือผลิตทายาท สิ่งของบำบัดความใคร่ หรือของเล่นในเการเรียนการสอนปัญญาอ่อนอย่างที่เขาเห็นตรงหน้านี้
ดวงตาสีฟ้าสว่างกลอกขึ้นบนเล็กน้อยเมื่อเห็นโอเมก้าชายคนหนึ่งในสภาพเปลือยท่อนบนถูกมัดติดกับเก้าอี้หน้าชั้นเรียน สีหน้าของอีกฝ่ายดูทุกข์ทรมาน เนื้อตัวแดงเรื่อให้พอรู้ได้ว่าเลือดภายในสูบฉีดเพียงใด ดวงตาเรียวหรี่ปรือ หายใจหอบหนักและดูไม่ค่อยจะมีสติสักเท่าไหร่ ดูท่าอีกไม่นาน สติสัมปชัญญะคงจะหลุดเป็นแน่
“เพราะโอเมก้ามีกลิ่นฟีโรโมนที่มีฤทธิ์ในการกระตุ้นอารมณ์ทางเพศซึ่งส่งผลกระทบต่ออัลฟ่าโดยตรง เราจึงจำเป็นต้องควบคุมจำนวนอย่างที่พวกคุณรู้กันเพราะไม่อย่างนั้นมันจะเป็นปัญหา ผมเชื่อว่าพวกคุณบางคนคงเคยเห็นโอเมก้ามากันบ้าง แต่บางคนอาจจะไม่เคยรู้ว่าฤทธิ์ของกลิ่นฟีโรโมนมันรุนแรงขนาดไหน ต่อให้พวกคุณอัดยาต่อต้านการตอบสนองต่อฟีโรโมนของโอเมก้าเข้าไป แต่ถ้าโอเมก้าปล่อยฟีโรโมนออกมาถึงขีดสุด ยาอะไรก็ยากที่จะระงับ เหมือนอย่างตอนนี้ที่ผมให้ยากระตุ้นฟีโรโมนกับโอเมก้าเข้าไป พวกคุณจะรู้สึกตื่นเต้นโดยไม่มีสาเหตุ ส่วนโอเมก้าก็จะมีอาการประมาณนี้”
ผู้สอนประจำคลาสอธิบายพลางใช้เลเซอร์พอยเตอร์ส่องไปยังร่างกายของโอเมก้าคนนั้น ขณะที่บรรดานักศึกษาในชั้นเรียนที่ผ่านการทานยาต่อต้านการตอบสนองต่อฟีโรโมนของโอเมก้าเข้าไปแล้วมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวเมื่อจมูกได้กลิ่นหอมหวานแปลกๆ ลอยโชยมา อัลฟ่าชายบางคนมีอาการตอบสนองขึ้นมาเล็กน้อยด้วยซ้ำ
สายตาของหนุ่มผมบลอนด์เหลือบมองยังเป้ากางเกงของเพื่อนร่วมชั้นที่มีรอยนูนขึ้นมาพลันหัวเราะหึในลำคอ
น่าสมเพช!
อาจจะมีแค่เขาคนเดียวที่คิดว่าแนวความคิดที่ถูกยัดเยียดฝังหัวในสังคมนี้มันเป็นเรื่องทุเรศ
“ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมบางครั้งพวกเราต้องกำจัดโอเมก้าทิ้ง เพื่อรักษาจำนวนของอัลฟ่าและความสงบสุขของสังคมเอาไว้ ต่อให้การกระทำนั้นมันโหดร้ายไปหน่อยก็ต้องทำ”
พอได้ยินศาสตราจารย์อธิบายต่ออย่างนั้น คนที่มองเหตุการณ์อยู่ตลอดก็ผินหน้าหนี ยกแขนขึ้นเท้าคาง ทำหูทวนลมด้วยความระอา
รักษาความสงบสุขของสังคมงั้นเหรอ... ตั้งแต่เกิดมาเห็นจะมีแต่อัลฟ่านี่แหละที่รังแกโอเมก้า ไม่เคยเห็นโอเมก้าคนไหนก่อความวุ่นวายเลย ดูอย่างตอนนี้สิ มีแต่โอเมก้าที่ถูกรังแก ไหนว่าเป็นตัวปัญหาไง ย้อนแย้งชะมัด
แนวความคิดทุเรศจนไม่อยากจะได้ยินได้ฟังอีก หากแต่ปฏิเสธไปก็เท่านั้นเมื่อผู้สอนเห็นว่าลูกศิษย์ในคลาสคนหนึ่งออกอาการเมินต่างจากคนอื่นๆ ที่ตื่นเต้นกันจนเนื้อตัวสั่น
“ตั้งใจฟังหน่อยคุณเมอร์ซี ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะที่คลาสของผมจะพาโอเมก้าตัวเป็นๆ มาให้พวกคุณศึกษาอย่างใกล้ชิดได้”
คนถูกเรียกว่าเมอร์ซี หรือชื่อเต็มๆ เจเรมี เมอร์ซี เหลือบสายตากลับไปยังชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่กลางห้อง คำพูดนั้นทำให้เขาต้องแสยะยิ้มออกมา
“ก็คุณไม่พาเขาออกมาจากห้องนอนของคุณ แล้วผมจะศึกษาอย่างใกล้ชิดได้ไงล่ะศาสตราจารย์ วันหลังก็รู้จักพาเขาออกจากห้องบ้าง ไม่ใช่ให้อยู่แต่บนเตียง”
คนถูกย้อนหน้าม้าน จริงอยู่ที่โอเมก้าซึ่งใช้เป็นตัวอย่างในการศึกษาเป็น ‘คนของเขา’ แต่จะเป็นไปเพื่ออะไรนั้นก็ไม่เห็นต้องพูดออกมาเลยนี่ รู้กันอยู่แก่ใจแล้ว การพูดออกมาโต้งๆ แบบนี้มันไร้มารยาทชะมัด
“ระวังคำพูดด้วย สำหรับผม เขาก็แค่เพื่อการศึกษา”
“ระวังอย่าหักโหมก็แล้วกันครับ คุณอายุมากแล้ว” เจเรมียังคงยอกย้อน
ไม่รู้ทำไมทุกครั้งที่ได้สอน ชายหนุ่มคนนี้มักแสดงท่าทีกระด้างกระเดื่องออกมาเสมอ ต่างจากอัลฟ่าคนอื่นๆ ที่เห็นดีเห็นงามด้วย และไม่ใช่แค่กับเขาคนเดียว กับผู้สอนคนอื่นๆ ก็เป็นอย่างนี้เช่นกัน หากคิดถึงตรงนี้ก็ไม่แปลกใจนักเมื่อตระหนักได้ว่าคนคนนี้มาจากตระกูล ‘เมอร์ซี’
...ตระกูลหนึ่งในสี่ของกลุ่มผู้มีอำนาจในการปกครองมหานครแห่งนี้ที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘ฝ่ายค้าน’ ของสภา
ถึงจะเป็นพวกชอบค้านกันตั้งแต่ต้นตระกูลยันรุ่นลูกหลาน กระนั้นก็ไม่ใช่เหตุผลที่เจเรมีจะมาอวดเบ่งในคลาสเรียนของเขาอย่างนี้ ก่อนศาสตราจารย์จะยกมือขึ้นกอดอก พูดอย่างจริงจัง
“ผมไม่รู้หรอกนะว่าคุณไม่ชอบหน้าผมเพราะอะไร แต่อยากจะขอแนะนำว่าคุณควรตั้งใจให้มากกว่านี้ ต่อให้เหม็นขี้หน้าหรือหัวข้อประวัติศาสตร์การปกครองของผมจะน่าเบื่อ มันก็เป็นสิ่งที่อัลฟ่าต้องเรียนรู้ไว้โดยเฉพาะคนที่มาจากตระกูลนักปกครองอย่างคุณ”
ใจก็แค่อยากจะเตือนให้อีกฝ่ายตระหนักถึงหน้าที่ของตน หากแต่เจเรมีไม่ได้สนใจสักนิด ได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มพราย
“การสอนของคุณก็ใช่ว่ามันจะห่วยแตกหรอกนะ แต่ผมคิดว่าแนวความคิดการปกครองอะไรนั่นมันฟังดูล้าหลังไปหน่อย”
ถูกปรามาสไม่พอ ยังโดนลูบคม คนฟังถึงกับหน้าตึง สูดลมหายใจเข้าปอดเต็มแรงแล้วถามออกมา
“ล้าหลังยังไง ลองพูดมาสิ”
อยากจะแลกเปลี่ยนความคิดงั้นเหรอ ก็ได้ เขาจะลองรับฟังดูสักหน่อย อยากรู้เหมือนกันว่าคนที่เอาแต่ต่อต้านไปเสียทุกเรื่องจะพูดอะไรได้บ้าง
ในเมื่อเปิดโอกาสให้แล้ว เจเรมีก็ยืดตัวขึ้น ว่าด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“ผมคิดว่าไอ้ความคิดเรื่องโอเมก้าต้องถูกกำจัดถ้ามีปริมาณเยอะขึ้นมันทุเรศน่ะ เอาจริงๆ พวกนั้นมันก็เป็นมนุษย์เหมือนกับเราใช่ไหมล่ะ ทำไมถึงถูกกำหนดให้เป็นเหยื่อ ในเมื่อเลือกเกิดไม่ได้ เลือกเพศก็ไม่ได้ อย่างน้อยก็น่าจะมีสิทธิ์เลือกวิถีชีวิตตัวเองสิจริงไหม ผมว่าจริงๆ แล้วตัวปัญหาของสังคมอะไรที่คุณพูดนั่นไม่น่าจะใช่โอเมก้าด้วยซ้ำไปนะ แต่เป็นพวกอัลฟ่าอย่างคุณกับผมนี่แหละ”
เอาอีกแล้ว...
ศาสตราจารย์รำพึงในใจขึ้นมาทันที สุดท้ายก็กลายเป็นเรื่องที่เจเรมีมักพูดบ่อยๆ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชายหนุ่มคนนั้นถามอะไรทำนองนี้ และไม่ใช่กับเขาคนเดียวด้วย เจเรมีมักจะมีแนวความคิดต่อต้านสังคมแบบนี้เสมอ ตั้งแต่เข้ามาศึกษาในสถาบันแห่งนี้ก็ไม่เคยมีผู้สอนคนไหนรอดพ้นไปจากคำถามท้าทายเชิงต่อต้านสังคมเลยสักคน แรกๆ ก็ตกใจ ผ่านไปสักพักก็รู้สึกว่าท้าทาย หากหลังๆ ชักกลายเป็นความน่ารำคาญ เขาเองก็ไม่อยากจะตอบสักเท่าไหร่นักด้วยรู้ว่าถ้าตอบไปแล้ว คำถามอื่นๆ ต้องตามมาแน่จึงได้แต่เบนความสนใจไปเป็นการตักเตือน
“ความคิดต่อต้านสิ่งที่เป็นบรรทัดฐานของสังคมนี่ไม่ใช่เรื่องดีเลยนะคุณเมอร์ซี”
“จะบอกว่าผมไม่มีสิทธิ์ตั้งคำถามต่ออะไรก็แล้วแต่ที่สังคมบอกว่าดีงั้นสิ” เจเรมีเลิกคิ้วสูง สีหน้ากวนประสาทปรากฏออกมาให้เห็นชัดเจน “น่าเสียดาย นึกว่าคุณจะมีความสามารถพอที่จะตอบคำถามผมซะอีก”
คนมองต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมากทีเดียวที่จะไม่หัวเสียกับคำพูดท้าทายของชายหนุ่มรุ่นลูกก่อนอธิบายออกไป
“ผมก็ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น แต่สิ่งที่คนรุ่นก่อนคิดและวางแบบแผนให้มันเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว คุณไม่ต้องนึกสงสัยหรอก ถ้ามันไม่ดีจริงคงจะไม่ยึดถือปฏิบัติกันมาหลายทศวรรษ”
การเลี่ยงที่จะตอบคำถามแบบขอไปทีทำให้เจเรมีพูดขึ้นมาลอยๆ
“คิดกันไปเองว่าดีล่ะสิไม่ว่า”
พูดแล้วก็จับจ้องยังใบหน้าของชายวัยกลางคนตรงหน้า คนอาวุโสกว่าไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับเขามากนัก ต่อปากต่อคำไปก็รังแต่จะเสียเวลา ซ้ำยังทำให้อารมณ์เสีย ตอนนี้บรรยากาศในคลาสเรียนก็เริ่มกร่อยแล้วด้วย ตัดบทไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราวเลยจะดีกว่า
“จะคิดยังไงก็เอาเถอะคุณเมอร์ซี แต่ผมขอเตือนไว้อย่างนึง”
เจเรมีเลิกคิ้วสูง
“ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าเสนอความเห็นอะไรที่มีแนวโน้มเอื้อผลประโยชน์ให้กับพวกโอเมก้า สำหรับตอนนี้น่ะอาจจะถามได้เพราะคุณกำลังศึกษาในสถาบัน แต่ถ้าคุณออกจากที่นี่ไป และพูดอะไรทำนองนี้ในชีวิตจริง ระวังจะใช้ชีวิตไม่ราบรื่นนะ อย่าลืมว่าคุณไม่ใช่โอเมก้า ไม่ต้องเรียกร้องสิทธิ์ให้คนพวกนั้น ทำตามที่อัลฟ่าควรจะทำก็พอแล้ว”
ได้ยินแล้วก็ขัดใจ ทำไมล่ะ ในเมื่อเขาไม่เห็นด้วยก็อยากจะแสดงความคิดเห็นบ้างไม่ได้งั้นเหรอ
ขนาดในหมู่อัลฟ่าด้วยกันยังไร้ซึ่งความยุติธรรมในการใช้สิทธิ์เลยให้ตายสิ!
แต่คนอย่างเจเรมีไม่ใช่พวกที่จะหุบปากเงียบแล้วทำตัวสงบเสงี่ยมเชื่อฟังโดยง่าย ถูกตอกกลับมาอย่างนั้น เขาก็สวนคืนทันที
“แล้วถ้าผมเป็นคนพวกนั้น... เวลาเห็นผมแล้วคุณจะเกิดอาการติดสัดด้วยไหมล่ะศาสตราจารย์”
“พูดอะไรของคุณ” คนถูกทักย่นคิ้ว ก่อนหน้าก็รู้สึกว่าตัวเองโดนดูถูกแล้ว แต่ครั้งนี้กลับรู้สึกเหมือนถูกอีกฝ่ายกดลงให้ต่ำมากกว่าเดิมเสียอีก
เจเรมีไม่ตอบในทันที ค่อยๆ ไล่สายตาจากใบหน้าย่นยู่ลงมายังเป้ากางเกงของอีกฝ่ายแล้วพยักปลายคางเล็กน้อย
“ไอ้หนูของคุณน่ะออกอาการแล้ว เก็บอาการหน่อยครับศาสตราจารย์ ไม่จำเป็นต้องติดสัดตามผู้เรียน เอ หรือว่ามันจะเป็นเรื่องปกติของคุณ”
คำพูดอวดดีหลุดออกจากริมฝีปากหนา ใบหน้าหล่อเหลาไร้ซึ่งความรู้สึกผิดที่พูดจาโอหัง ซ้ำยังยกยิ้มขึ้น ดูอย่างไรก็เป็นการยิ้มเย้ย และเหิมเกริมมากขึ้นไปอีกเมื่อเห็นว่ายั่วโมโหอีกฝ่ายได้จนศาสตราจารย์กำมือแน่น จ้องเขาอย่างเกรี้ยวกราด เห็นอย่างนั้น เจเรมีก็บิดตัวออกจากโต๊ะมาด้านข้าง อ้าขาออกกว้างแล้วชี้นิ้วไปยังส่วนกลางของลำตัว
“ว่าไงล่ะ ถ้าผมเป็นโอเมก้า เห็นผมทำท่าแบบนี้แล้วคุณจะออกอาการติดสัดไหม”
“คุณเมอร์ซี!”
คนมองแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างปกปิดไม่มิดด้วยสุดจะทนกับคนคนนี้แล้ว ขณะที่คนยั่วเย้ารอดูอย่างใจจดใจจ่อว่าศาสตราจารย์ที่เอาแต่อวดภูมิความรู้ใส่เขาจะตอบโต้อย่างไร ทว่ายังไม่ทันจะได้เห็น ชายหนุ่มอีกคนที่นั่งมองเหตุการณ์โดยตลอดก็รีบเอื้อมมือไปสะกิดเพื่อนให้หยุดการกระทำบ้าๆ
“เจมี หยุดทำแบบนั้นน่า”
เจเรมีหันไปตามต้นเสียง เห็นหน้าเพื่อนสนิทที่ชื่ออัลเบิร์ตดูกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกก็หัวเราะลั่น
“นายเองก็อยากจะติดสัดเหมือนศาสตราจารย์เหรออัล เอาสิ โอเมก้าอย่างฉันจะถ่างขารอ”
“เจมี...”
“เอ้า คงไม่ต้องรอแล้วล่ะมั้ง นายติดสัดไปแล้วนี่”
ยังคงล้อเลียนไม่ยอมหยุด พลางชี้นิ้วไปยังบริเวณกลางลำตัวของเพื่อนที่มีอาการเดียวกันกับคนอื่นๆ ด้วย ก่อนอัลเบิร์ตจะหน้าแดงก่ำด้วยความอับอายขึ้นมา
ไม่สิ ไม่ใช่แค่อัลเบิร์ต ศาสตราจารย์เองก็เช่นกันทว่าเป็นเพราะความโกรธ เขาตบโต๊ะดังปัง เรียกสายตาของเจเรมีให้หันกลับไป
“ถ้าคุณไม่พร้อมที่จะเรียนในคลาสผมก็ขอเชิญออกไปก่อนแล้วกัน พร้อมเมื่อไหร่ค่อยกลับเข้ามา”
“ช่วยไม่ได้นะ” เจเรมียืดตัวขึ้น บิดขี้เกียจเล็กน้อย ทำท่าทางไม่ยี่หระกับสิ่งที่เกิดขึ้นสักนิด หันไปชักชวนเพื่อนอีก “นายก็ไปกับฉันด้วยสิ”
“เอ่อ...คือ...” อัลเบิร์ตที่จู่ๆ ก็ถูกเรียกออกอาการเลิ่กลั่ก มองเพื่อนตัวเองกับศาสตราจารย์สลับกันไปมาแล้วก็ต้องชะงัก
“มัวแต่นั่งอยู่นั่น ตามมาเร็วๆ”
พูดจบ เจเรมีก็เดินออกจากห้องบรรยายไปโดยไม่สนใจสายตาของเพื่อนร่วมชั้นคนอื่นๆ ที่มองมาอย่างเหนื่อยหน่ายกับพฤติกรรมน่าระอาแม้แต่น้อย ปล่อยให้อัลเบิร์ตทนรับกับสายตาทิ่มแทงเพราะเป็นเพื่อนสนิทกันอีกพักหนึ่งจนเริ่มไม่ไหว รีบลุกขึ้น หันไปเอ่ยขอโทษคนอาวุโสกว่าเล็กน้อยแล้วก้าวตามออกไป ปล่อยให้ชั้นเรียนได้เข้าสู่ความสงบอีกครั้งเมื่อ ‘จอมวายร้าย’ จากไป
จอมวายร้ายประจำหมู่อัลฟ่าที่เป็นที่รู้จักกันดีอย่าง...เจเรมี เมอร์ซี
