CHAPTER 3
ทุกอย่างบนตัวเธอนั้นก็โอเค... มั้ง
“ทำไมวันนี้ถึงมาถึงที่นี่ได้คะ”
“…”
ใช่ผมเข้าไปทักทายและหย่อนสะโพกนั่งลงข้างกันพร้อมกับเอ่ยว่าคะก่อนตบท้ายด้วยรอยยิ้มหวานส่วนคนตรงข้ามผมนั้นแน่นอนว่าเธอดีใจยิ่งกว่าอะไรดีเสียอีก
“ขับรถมาเองเหนื่อยแย่เลย ให้พี่ไปส่งแล้วกันนะคะเด็กดี”
“ขับเองได้หน่า”
“น่าเป็นห่วงแย่เลยค่ะ”
“วันนี้กานต์น่ารักรู้ตัวมั้ย น่ารักมากเลย”
“น่ารักค่ะ” ผมยื่นมือไปจับแก้วอีกคนเบาๆ “แต่น่ารักไม่เท่าคนนี้หรอก”
กานต์ กันต์ดนัย เพชรมณีธารินทร์: TALK END
30 นาทีก่อนหน้า
เสียงแรงเสียดสีบดเบียดล้อรถกับพื้นหินอ่อนราคาแพงที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแค่เพียงโรงรถเกิดขึ้นแค่เพียงเสี้ยววินาทีหลังจากนั้นเสียงรถคันหรูก็ดับเครื่องลงเวลาไล่เลี่ยกันนั้นก็มีผู้หญิงร่างเพรียวสูงเปิดประตูและเคลื่อนย้ายร่างกายอันสมส่วนราวกับนางแบบออกมาโดยที่ทั้งศีรษะจรดปลายเท้านั้นแบรนด์เนมทั้งตัวยกเว้นแค่เพียงชุดนักศึกษาบนตัวเท่านั้น
ทุกย่างก้าวบนส้นสูงเกือบสี่นิ้วนี้ยิ่งทำให้ดูเด่นมั่งคงแล้วก็ทรงตัวดี
แม้กระทั้งการก้าวเข้ามาในบ้านหลังใหญ่สุดในละแวกนี้ทว่ามันกับต้องสะดุดเพราะหมาเห่าทักทาย
“นี่ไงอีเหมย เอ้ยคุณเหมยของป้าอ่ะ”
“…”
อีเหมยงั้นเหรอ
อีเหมย... อีนี่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
ใช่ทุกอย่างที่อธิบายประกอบมาให้เห็นภาพแบบชัดเจนนั้นคือฉันเอง ฉันชื่อเหมย (梅) 1ใน 3 สหายแห่งเหมันต์ประกอบไปด้วย ไผ่ สนและก็เหมย ต้นเหมยเป็นหนึ่งในสามพฤกษาที่ยืนหยัดผ่านฤดูหนาวจนกระทั่งเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ จึงมีคนไม่น้อยชื่นชมในความทระนงของเหมย
ฉันก็เป็นแบบนั้นมั้งก็ไม่รู้สิ
“ป้า คุณเหมยไง คุณเหมยของป้าอ่ะ”
“…” เพราะกำลังโดนความประสาทแดกจากคนตอแหลเล่นงานอยู่ฉันจึงหันหน้าไปมองมัน หันไปเผชิญหน้ากับมันที่กำลังมองฉันอยู่เช่นกัน ความอวดดีไม่มีสิ้นสุดนั้น ความเหยียดของริมฝีปาก ความกอดอกไร้มารยาท ความสถุนที่โลดแล่นออกมาแสดงให้ฉันรับรู้หมดว่าอย่าเอาตัวเองเข้าไปแลกกับคนแบบนี้แต่ความอดทนที่ไม่ได้มีสูงอย่างเช่นคนอื่นจะอดทนได้ถึงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้อีกเช่นกัน
พอประโยคยั่วยุประโยคแรกไม่ได้ผลประโยคที่สองก็ตามมาติดๆ เพื่ออยากยั่วโมโหให้ฉันกลายเป็นนางมารร้ายในสายตาคนอื่นแล้วยกให้มันเป็นคนดีเด่นที่ควรเอาไว้บนหิ้งของนรก อีนี่ไม่ใช่ใครหรอกมันก็แค่เด็กในบ้านหลานสาวของแม่บ้านคนสำคัญของแม่และก็เป็นศัตรูคู่อาฆาตของฉัน
“เหมยที่สูงส่งแต่ตกลงต่ำให้ทับทิมได้เหยียบเล่น”
“ไม่ชอบฉันขนาดนั้นเลยเหรอ?” การถามออกไปทั้งๆ ที่ฉันรู้คำตอบอยู่แล้วว่ามันเป็นแบบไหนแต่ก็ใช่ว่าจะสนใจเสียหน่อย การดื้อด้านดันทุลังถามแบบนี้ฉันมีเป้าหมายล็อคเอาไว้อยู่เช่นกันซึ่งมันค่อนข้างน่าหดหู่ถ้าจะพูดออกไปแบบตรงๆ เกริ่นหน่อยคงไม่เสียเวลามากหรอกเพราะประโยคต่อจากนี้มันแรงเอาการแต่เป็นการเริ่มแรกอันแสนเบาบางเทียบเศษฝุ่นไปเลยสำหรับคนอย่างอีทับทิม “ไม่ชอบก็ไปตายซะหรือว่าตายทั้งเป็นอยู่แล้ว ตายแล้วยังอิจฉาคนอื่นประสาทแดกมากกว่าที่คิดนะคนแบบหล่อน อ้ออย่างอีกเหมยต่างหากที่สามารถเหยียบทับทิมเน่าๆ ได้”
ไม่รู้ว่าผลการสะท้อนกลับจะเป็นไปในทิศทางไหนรู้แต่ว่าตอนนี้อีกฝ่ายตรงหน้าโกรธเพิ่มหลายเท่าซึ่งก็เท่านั้นแหละฉันไม่ได้ให้ความสนใจอะไรขนาดนั้นนอกจากปลายสายตาเหยียดมองมันตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ชุดแดงเว้ารัดรูปผมยาวดำมัดขึ้นเพื่อโชว์รูปร่าง
นึกว่าสวยตายละ อีผี
“ใครอิจฉาใครกันแน่... ในตอนนี้”
จะว่ามันอยู่เหนือฉันสินะตรรกะอีนี่พังพอๆ กับอะไรหลายๆ อย่างบนโลกใบนี้แต่พอฉันจะเอ็ดกับมันป้าแม่บ้านก็เข้ามาพร้อมกับถาดเครื่องสำอางแบรนด์ต่างๆ มันเป็นของฉันเองทว่าสภาพในถาดนั้นแม่งทำเอาอารมณ์ของฉันพุ่งถึงขีดร้อนสุด คนรักเครื่องสำอางมักจะรู้ความรู้สึกนี้ดีและก็ต้องเคยเป็นยิ่งถ้ามีนิสัยหวงของรักของแน่นอนต้องมีเลือดสาด
ทุกอย่างเลอะเปรอะเปื้อนคงสภาพการใช้ไม่ได้อีกทั้งยังถูกทำลายไปเกือบครึ่งเช่นนั้นฉันจึงกวาดสายตามองไปจุดๆ หนึ่งแล้วหันกลับมาโดยไร้เสียงพูดเช่นเดิม
