CHAPTER 3
แล้วผมคาดหวังอะไรอยู่นะ คาดหวังทั้งที่มีคำตอบอยู่ภายในใจแล้วงั้นเหรอ โคตรโง่เลย เป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำที่ความหวังของตัวเองจะเป็นได้
“ขอบคุณครับที่อยู่กับกันต์” สุดท้ายผมก็เอ่ยประโยคนั้นออกไปจากปากแล้วหลุบสายตาลงก่อนสั่งร่างกายให้เคลื่อนไหวโดยการเดินออกมาจากตัวบ้านเกือบจนถึงประตูใหญ่ผมก็หันใบหน้ากับไปมองด้านในอีกครั้งราวกับต้องการสำรวจด้วยสายตาให้แน่ชัดว่าทุกอย่างยังคงอยู่อย่างปกติที่สุด การถอนหายใจออกมาเกิดขึ้นตามลำดับถัดมาจากนั้นริมฝีปากก็ยกยิ้มพร้อมเปล่งประโยครั้งท้ายของคำคืนนี้ “ถ้าแลกลมหายใจนั้นกับคนอย่างผมแทนมันคงจะดีนะครับ”
นี่คือประโยคทิ้งท้ายในค่ำคืนนี้
และก็เป็นประโยคที่ผมคิดมาตลอดไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน
ห้วงของกาลเวลาทำอะไรไม่ได้หรอกเพราะมันไม่ได้จางหายไปแต่กับชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ถึงผมจะเลือกไปอยู่อีกซีกโลกหนึ่งด้วยเวลานานเพียงไหนพอกลับมาอยู่ที่เดิม อยู่ตรงจุดเดิมสิ่งที่ทำมาทั้งหมดก็ไร้ประโยชน์ลงไปด้วยซ้ำฉะนั้นสู้กลับมาแล้วจัดการต่อสู้กับมันสักครั้งมันจะเป็นอะไรไป
ถ้าเจ็บหนักต่อไปมันก็แค่ตาย แต่ถ้าอีกฝ่ายเจ็บเขาก็คงตายทั้งเป็นเช่นกัน
ความเป็นจริงมันก็มีอยู่เท่านี้แต่ถ้าไม่มีใครเริ่มทุกอย่างก็จะสงบสุขเพราะยังไงผมไม่มีวันเริ่มระรานใครก่อนทั้งนั้นไม่ว่าจะใครก็ตามแต่ก็ใช่ว่าจะยอมก้มหัวให้ใครเช่นกัน เคยได้ยินไหมว่าถ้าถอยก็คือถอย สู้ก็คือสู้ เล่นก็คือเล่นได้แต่ถ้าบอกว่าไม่คำเดียวใครหน้าไหนมันก็ไม่มีสิทธิเข้ามาแน่
ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง
“ลมอะไรหอบมึงมาไทยอีก”
“...”
“เป็นเหี้ยไรไม่พูด”
นี่เหรอคำพูดของเพื่อนตอนมันเห็นหน้าผมถ้าเป็นคนอื่นผมจะตอบยังไงก็ได้ตามความคิดของตัวเองแต่นี่คนถามไม่ใช่คนอื่นทว่าเป็นเพื่อนรักในกลุ่มเดียวกันตั้งแต่ไฮสกูล (High school) แล้วผมก็สนิทกับมันฉิบหายเนี่ยสิถึงเว้นคำตอบเอาไว้แล้วส่งท่าทางเป็นคำตอบแทน
เชื่อเถอะเดี๋ยวก็เจอดี ผมเนี่ยแหละที่จะเจอดี
การเล่นกับความอยากรู้ของคนนั้นไม่ใช่เรื่องน่าลองดีไม่ควรก้าวเข้าไปลองหรอกเพราะไม่ใช่ทุกคนที่จะรับได้แล้วยังทำท่าทางใจดีส่งมาให้ตลอดควรดูคนๆ นั้นด้วยไม่เช่นนั้นถ้าโดนเล่นกลับมาอันนี้ผมก็ไม่รู้ด้วยแหละ ถือคติว่า ‘ตัวใครตัวมัน’ แล้วกันมันใช้ได้เสมอในเมื่อเรียนผูกก็ต้องเรียนแก้เอง
“ยักไหล่หาเวรตะไลอะไรของมึง กูต้องการคำตอบไม่ใช่ให้คำพูดของกูเล่นผ่านซอกหูมึง”
นั่นไง... คำพูดคำจาฟังได้ที่ไหน
ขนาดผมอยู่เมืองนอกมานานยังรู้เลยว่ามันไม่ไพเราะเสนาะหูเท่าไหร่นัก
“โคตรโหดร้าย กูอยากเจอมึงก็เลยกลับมา”
“แต่กูไม่อยากเจอมึง”
“นี่เพื่อนไงโว้ย เพื่อนมึงไอ้ห่า”
“เหรอ มึงเพื่อนกูเหรอ?”
“เล่นเหี้ยไร”
“ไม่เล่น”
“เออๆ” เออๆ แต่ผมยังใจเย็นไม่ตอบกับเปลี่ยนเป็นยกอเมริกาโน่ของโปรดดื่มอึกใหญ่ทั้งที่มีสายตาเกรี้ยวกราดของอีกคนจ้องมองไม่วางตา มันคือไอ้ ‘เกมส์’ (อยากรู้รายละเอียดก็ไปอ่านเรื่องของมันซะ) “กลับมาอยู่แล้ว”
“มึงจบแล้วเหรอไอ้สัส”
“จบแล้ว”
“เข้าบริหารต่อเลยหรอ”
“กูมาอยู่ตรงหน้ามึงไม่ถามอะไรที่ไม่ใช่เรื่องงานหน่อยเหรอไงวะ เพื่อนรักมึงทั้งคนนะเว้ย” เห็นหน้าก็ถามหางานผมไม่บ้าทำงานทำการเท่ามันหรอก “หน้าอย่างกูไม่รักการทำงานใดๆ”
“กูต้องสนใจด้วยเหรอ?”
มองค้อนได้โคตรเย็นชา มองเหมือนอยากลากผมไปกระทืบ
“เหอะ... ซึ้งใจจังเพื่อนเกมส์”
“หึ...” ไอ้เกมส์แสยะยิ้มออกมาเล็กน้อยตามสไตล์ของมันจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นบึ้งเหมือนเดิมไม่มีใครสมควรได้รับรอยยิ้มจากมันหรอกนอกจากเพื่อนเก่าคนนั้น คนที่มันเทิดทูนบูชาเอาไว้เหนือแม่งใครทั้งปวงแล้วใครก็แตะเธอไม่ได้ด้วยนะ ลองคิดเข้าไปแตะดูสิไม่ตายก็พิการเห็นมาหลายรายแล้วเช่นกัน “เอาดีๆ กูถามจริงนะไอ้กันต์”
“ก็ตามนั้น มาอยู่ไทย”
“คิดกลับแวนคูเวอร์อีกมั้ย”
“ตอนนี้ยังกูพึ่งมาจากที่นั่นมั้ย”
“แสดงว่าไม่แน่นอน” ผมมันมองเข้ามาแล้วรู้ขาดขนาดนั้นหรือไงกัน ไม่หรอกมั้งใครมันจะไปรู้ดีเท่าตัวผมเองกันล่ะอย่างน้อยๆ ไอ้เกมส์ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ผมคิดอะไรอยู่แน่ๆ “กูอ่านเกมส์มึงออกนะไอ้กันต์”
“ใช่ดิกูเรียนดี กีฬาเก่งเน้นรวย”
“ไร้สาระ”
“ก็เรื่อยๆ กูไม่มีเกมส์อะไรหรอก”
“เรื่อยของมึงมักมีอย่างอื่นแฝงเสมอ” เชื่อกับมันเลย “อย่าลืม”
“...”
“รู้มั้ยตั้งแต่มึงไปแวนคูเวอร์คราวนั้นชีวิตกูวุ่นวายมหาศาลมากแค่ไหนกับกิ๊กมึง เป็นเหี้ยไรมากเปล่าวันๆ ตามหาแต่มึงไอ้กันต์ กูอยากบอกว่ากลับมาก็เคลียร์ซะ”
“ไม่อะไรแล้วต่างหาก ไม่คบ ไม่เจอ ไม่พูด นั้นคือคำตอบ”
“เค้าไม่จบไง”
“แต่กูจบไงไอ้สัส!”
