CHAPTER 2
ใจเย็นๆ
ความกลัวเท่านั้นที่จะทำให้ทุกอย่างแย่ลงเรื่อยๆ มีไม่ดีอาจทำให้ความตื่นตัวกลัวทุกอย่างที่ยังไม่เกิดขึ้นได้เสมอเพราะฉะนั้นฉันต้องมีสตินิ่งเข้าไว้ๆ
การพยายามนิ่งของฉันเป็นผลอยู่ประมาณแค่สองถึงสามนาทีเท่านั้นที่เหลือมันไม่ใช่เลยเมื่อท่านั่งไม่เป็นใจ ก่อนหน้าฉันพยายามโน้มตัวลงต่ำเพื่ออยากเห็นหน้าชายคนนั้นทว่าได้เห็นแค่เพียงแขนขวากับรอยสักแต่ตอนนี้...
ตึก! โอ้ย!
และแล้วความซวยก็มาเยือนตัวเองอีกครั้งหนึ่ง การโน้มตัวต่ำนั่งอยู่นานพอมันค้างท่าเดิมกะจะขยับตัวอีกครั้งเหน็บก็เป็นตรงขาทำให้ใบหน้าฉันกำลังจะกระแทกถูกกับพื้นปูนในอีกไม่ช้า ด้วยสัญชาตญาณในร่างกายมันสั่งให้ฉันเอามือที่ปิดปากอยู่ในตอนแรกใช้มาบังใบหน้าแทน
หลังมือทั้งสองจึงรับแรงกระแทกพื้นปูนเต็มๆ
ความเจ็บปวดโลดแล่นเข้ามาสู่ด้านหลังมือของฉันทันทีจึงรีบพยุงร่างกายตังเองลุกขึ้นนั่งจากนั้นก็สนใจรอยแผลถลอกเลือดซึมออกมาทีละนิดๆ จากหลังมือทั้งสองข้างทว่าโสตประสาทในสมองสั่งให้ฉันรีบหนีเพราะเมื่อกี้เสียงที่ตัวเองเปล่งไปยังไงผู้ชายคนนั้นต้องได้ยินแน่
ไม่ทันแล้ว....
ปลายรองเท้าคู่เดิมเดินเข้ามาหยุดนิ่งทิ้งระยะห่างจากที่ฉันนั่งอยู่เพียงแค่ชั่วระยะหนึ่งของแขน ฉันไม่กล้าเงยหน้าขึ้นไปมองเลยได้แต่ก้มหน้าก้มตานิ่งแบบนั้น
“เจอคนเสือกอีกจนได้สินะ”
“ฉันไม่เห็น ไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”
นั่งอยู่ที่นี่ก่อนด้วยไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวอะไรกับใครหรอกแค่ฉันไม่มีที่ให้ไปแล้วอย่าทำอะไรฉันเลยนะ การพ่นประโยคพวกนี้ไปมันก็เหมือนหาเรื่องเดือดร้อนเข้าตัวเอง
“พูดกับฉันเหรอ?” จะให้พูดกับใครก็มีอยู่แค่นี้ “พูดกับฉันก็มองหน้าฉัน”
“...”
“มองดิวะ!”
แค่เสียงตะคอกมาอย่างเดียวไม่พอผู้ชายคนนั้นยังค่อยๆ นั่งยองๆ ลงมาตรงหน้าฉันอีก การเคลื่อนไหวของฉันก็เหมือนถูกจำกัดลงเมื่อด้านหลังติดเสาเข้าเสียแล้วจึงทำได้เพียงขยับขาเข้ามากอดให้แน่นให้ได้มาที่สุดเท่าที่จะทำได้ถึงแม้มันจะไม่สามารถปกป้องตัวเองได้เลย
“อะ อย่าทำอะไรฉันเลยนะ กะ กลัวแล้ว”
“มอง!”
เขาไม่สนใจการพนมมือไหว้ของฉันเลยเมื่อฝ่ามือข้างที่มีรอยสักเข้ามาจับใบหน้าของฉันแบบจาบจ้วงและแข็งแรงจากนั้นไม่นานเขาก็บังคับใบหน้าของฉันให้เงยขึ้นมันไม่รุนแรงหรอก แต่ถ้าฉันฝืนความเจ็บปวดมันจะโลดแล่นเข้ามาหาฉันเองอย่างไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้นถึงแม้มือใหญ่จะอบอุ่นมากเมื่อกระทบกับใบหน้าของฉันที่เปียกชื้นอยู่ก็ตาม
พึ่บ!
การดึงทึ่งเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาไม่นานเพราะฉันไม่สามารถบังคับให้ร่างกายตัวเองทนความเจ็บปวดได้นานนักสิ่งแรกที่เห็นใบหน้าผู้ชายคนนั้น...
ใบหน้าเรียวยาวของเขาแสนรับจมูกโด่งเป็นสันดั่งถูกออกแบบปั้นได้อย่างประณีตอีกทั้งยังมีรูปปากบางหยักสีออกคล้ำนิดหน่อยผสมลงตัวกับผมสีออกน้ำตาลไม่ได้เชตถูกลงมาปิดบังใบหน้าถึงแค่บริเวณนัยน์ตาสีนิลคู่ที่เขาเองก็จับจ้องมองฉันอยู่
เขาคนนั้นคือ...
“เกมส์...”
พรมลิขิตมนุษย์ทุกคนล้วนอยากเจอเพราะคิดว่ามันเป็นสิ่งสวยงามมากแต่ใครจะไปรู้ว่าภายใต้คำๆ นี้อาจมีคำอื่นๆ ซุกซ่อนอยู่และทั้งหมดนี้ก็คือความคิดของฉันเองเมื่อได้เจอเขาอีกครั้งหนึ่ง
เพื่อนเก่า...
เพื่อนเก่าในช่วงมัธยม
ปึก!
ในตอนที่เกมส์เผลอฉันจึงผลักเขาออกจากตัวเองและลุกขึ้นยืนเตรียมหนีผู้ชายคนนี้แต่มือใหญ่กับคว้าตัวฉันได้อีกครั้งหนึ่ง เกมส์ดันตัวฉันให้ถอยหลังให้ติดกับเสาต้นเดิมเพิ่มเต็มก็คือเขาดันเอาตัวเองเข้ามาแนบชิดกับร่างกายของฉันแม้กระทั้งใบหน้าถ้าฉันไม่หันข้างหลบป่านนี้ก็คง...
“เจอกันอีกครั้งนะขิม”
เขาจำฉันได้...
ลมหายใจร้อนๆ ผสมกับไอร้อนจากริมฝีปากของเขาแนบชิดไปกับต้อคอของฉันมากเหลือเกิน การพยายามใช้ฝ่ามือข้างเดียวดันตรงหัวไหล่ของเกมส์ออกฉันก็ทำไม่ได้ แรงไม่พอขนาดนั้นทำไมนะ ทำไมอะไรที่ขึ้นต้นด้วยการจากลามันมักลงท้ายด้วยการพบเจอเสมอเช่นเดียวกับฉันและเขา
พระเจ้าจะเล่นตกอะไรอีก ทำไมต้องทำให้ฉันเจอเขาอีกครั้ง...
“...”
“หยิ่งเสียด้วยสิ”
น้ำเสียงนิ่งพูดขึ้นไม่ต้องดูก็รับรู้ได้ว่าตอนนี้ใบหน้าของเกมส์เหยียดยิ้มอย่างชั่วร้าย ยิ้มแบบไม่มีความดีผสม ฉันไม่คิดเลยว่าผู้ชายคนนี้ที่ฉันเฝ้าดูเมื่อก่อนหน้าจะเป็นเกมส์ไม่อย่างนั้นแค่หางตาก็ไม่มีทางมองไป
ไม่มีทางสนใจขนาดทุ่มตัวลงไป
“ออกไป นายจะทำอะไร?” ความแนบชิดระหว่างฉันกับเกมส์มันเกินไปแล้วจึงไม่แปลกถ้าฉันจะเอ่ยแบบนี้ออกไป สภาพของตัวเองก็ใช่ว่าจะดีเด่นชุดนักศึกษาสีขาวเปียกน้ำแนบชิดลู่ไปกับร่างกายเห็นด้านในชัดเจนจะดีหน่อยก็คือฉันใส่เสื้อกล้ามตัวเล็กซับเอาไว้ “ฟังไม่ออกเหรอ บอกให้ออกไป”
“สภาพแบบนี้น่าจะดีใจนะที่เจอเพื่อนเก่าแบบฉันเพราะถ้าเจอไอ้พวกสวะสังคม... ผัวได้หลายคนแน่”
“ปากเสีย นาย...”
ไม่ทันที่ฉันจะเอ่ยปากพูดต่อแสงไฟสูงก็ส่องเข้ามาหาทั้งฉันและก็เกมส์เป็นจุดเดียว
แสงนั้นเป็นต้นเหตุที่ทำให้ฉันต้องหันใบหน้ากลับมาพร้อมทั้งหลับตาปี๋ไม่หันไปมองย้อนแสงอีกเพราะมันแยงสายตาแต่รู้ว่าร่างกายของตัวเองถูกจับเหวี่ยงเปลี่ยนทิศทางจากฝีมือเกมส์
เหมือนเขาเข้ามาแทรกกลางกั้นระหว่างตัวฉันกับแสงสว่างนั้น
กลิ่นน้ำหอมผู้ชายล่องลอยวนเวียนปลายจมูกก่อนที่ศีรษะจะถูกฝ่ามือใหญ่ออกแรงกดให้ใบหน้าฉันซุกลงแผ่นอกกว้างพอจะออกแรงดิ้นประท้วงก็มีเสียงครางออกมาจากลำคอของเกมส์
“ป้ายรถเมล์พวกมึงก็ไม่เว้นเหรอวะ?”
น้ำเสียงผู้มาใหม่ใช้โทนเสียงพูดเรียบๆ แต่มีความแขวะแอบแฝงได้แบบชัดเจนซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าเป็นพวกไหนกันใช่กลุ่มวัยรุ่นเที่ยวกลางคือแบบทั่วไปหรือเปล่า
การมาเจอสถานการณ์แบบนี้ใช่ว่าจะทำให้ชีวิตตัวเองมีสีสันมีรสชาติแต่ในทางตรงกันข้ามกันกับรู้สึกความอันตรายที่กำลังจะได้เจอต่างหาก
“แล้วมีกฎด้วยเหรอ?” เกมส์เอ่ยขึ้นพร้อมกับดันศีรษะฉันลงไปในอ้อมกอดเขาอีกครั้งหนึ่งเมื่อฉันเริ่มคัดค้านมือใหญ่ของเขาก็เลยวางอยู่บนศีรษะฉันตลอดเวลา เรียกได้ว่าถ้าฉันขยับเขาก็พร้อมออกแรงกดลงมาทันทีอย่างไม่รีรออะไรให้มันมากความแต่แล้วสมองของฉันกับมีห้วงความคิดหนึ่งที่มันแล่นเข้ามาแสดงว่าตอนที่เกมส์พูดตอบเขาไม่ได้หันใบหน้าไปมองคู่สนทนาเลยด้วยซ้ำ “หรือพวกมึงมีปัญหา?”
พวกมึง... แสดงว่าไม่ได้มีแค่เพียงคนเดียว
