EP.5 | น้อยใจคุณป๋า
การเรียนการสอนในวันแรกของจันทร์เจ้าขาผ่านพ้นไปได้ด้วยดี อันที่จริงเธอควรต้องไปนั่งอยู่ที่ลานกว้างเพื่อทำกิจกรรมรับน้องร่วมกับเพื่อนคนอื่น ๆ แต่เพราะเส้นสายของติณนภพทำให้เธอได้เป็นข้อละเว้น
ใครจะยอมให้เธอไปร่วมกิจกรรมที่มีผู้ชายปะปนอยู่ด้วยมากขนาดนั้นกัน
ภายในห้องเรียนมีนักศึกษานั่งเรียงกันอยู่เพียงแค่ห้าคน แน่นอนว่าต้องเป็นห้าคนที่บุพการีมีฐานะหน้าตาทางสังคมมากพอควร
“นี่เธอ เมื่อกี้จดที่อาจารย์พูดทันหรือเปล่า” พีชญาสาวแว่นที่นั่งอยู่ข้าง ๆ หันมาเอ่ยถามจันทร์เจ้าขาเสียงกระซิบหลังเลิกคลาส
“เอ่อ..ทะ..ทันอยู่” เธอตอบอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ด้วยความไม่คุ้นชิน นี่นับเป็นครั้งแรกที่มีคนแปลกหน้าเข้ามาทัก
ถึงแม้ว่าในระหว่างที่กำลังเดินหาอาคารเรียนจะมีสายตาเจ้าเล่ห์จากหนุ่ม ๆ จ้องมองมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกประหม่าน้อยลงเลยสักนิด
“ถ้าอย่างนั้นเราขอเอามือถือมาถ่ายเก็บไว้ดูหน่อยได้เปล่า” พีชญาคลี่ยิ้มเจื่อน ๆ อย่างเกรงใจ
“อื้ม ได้สิ” สมุดโน๊ตสีชมพูพาสเทลถูกยื่นไปวางไว้บนโต๊ะของสาวแว่น หล่อนรีบหยิบมือถือขึ้นมาถ่ายรูป แล้วส่งสมุดโน๊ตคืนให้กับเจ้าของ
“ขอบใจนะ เออแล้วเธอชื่อไรอะ เราพีนะ ยินดีที่ได้รู้จัก” มือเรียวยื่นไปตรงหน้าอีกฝ่ายเป็นการทักทาย
จันทร์เจ้าขาตื่นเต้นและตกใจเล็กน้อย เธอยังใหม่ต่อผู้คนและโลกภายนอก ถึงอย่างนั้นก็ยอมยื่นมือไปจับเพื่อแสดงมิตรไมตรี
“ระ..เราจันทร์เจ้าขา เรียกเจ้าขาเฉย ๆ ก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
“เจ้าขาเหรอ ชื่อเพราะจัง อยากชื่อเพราะแบบนี้บ้าง”
“ชื่อพีก็เพราะออกนะ”
“ตรงไหนเล่า”
“ก็...”
ระหว่างที่สองสาวกำลังสนทนากันอยู่ ร่างเพรียวสวยของใครบางคนก็เดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้าง ๆ
“สวัสดีจันทร์เจ้าขา” เจ้าของคำทักถอดแว่นกันแดดราคาแพงออกพร้อมฉีกยิ้มพิฆาตให้จันทร์เจ้าขา “เรามิเชลนะ มีเรื่องอยากคุยด้วยหน่อย สะดวกไหม?”
จันทร์เจ้าขานิ่งขึงไปอยู่ครู่หนึ่งเพราะตกตะลึงในความสวยของอีกฝ่าย เธอรีบเรียกสติของตัวเองให้กลับมา แล้วตอบหล่อนไปว่า
“อ๋อได้สิ มีอะไรเหรอ”
“ตามมาสิ อยากคุยกันแค่สองคน” หางตาคมของมิเชลมองเธอเชิงเหยียด ก่อนที่หล่อนจะสวมแว่นกันแดดดังเดิม แล้วเดินนำออกไป
“ดูสายตาที่ยัยนั่นมองเธอสิเจ้าขา เหมือนไม่พอใจอะไรอยู่อย่างนั้นแหละ” คล้อยหลังมิเชลเดินออกไป พีชญาก็รีบกระซิบพูด
“ไม่หรอกมั้ง เราเพิ่งเจอกันครั้งแรกเองนะ” ที่จริงเธอเองก็พอสัมผัสได้อยู่บ้าง แต่ก็เลือกที่จะคิดอย่างที่พูด
ช่างเป็นคนมองโลกในแง่ดีเสียจริง
“เหรอ สงสัยฉันคงคิดมากไปเอง อ้อ! แล้วนี่ไม่รีบตามเธอไปเหรอ”
“จริงสิ! เธอบอกมีเรื่องอยากคุยด้วยนี่ งั้นเรารีบไปก่อนนะพี ให้เธอรอนานคงไม่ดีเท่าไหร่” นักศึกษาสาวหอบสมุดโน๊ตและอุปกรณ์การเขียนไว้ในอ้อมอก แล้วรีบเดินตามมิเชลออกไปหน้าตั้ง กลัวว่าอีกฝ่ายจะยืนรอนาน
เมื่อมาถึงก็เห็นเจ้าหล่อนยืนกอดอกไขว้ขาอยู่ข้างอาคารเรียนเก่า แม้ครึ่งหน้าจะถูกบดบังด้วยแว่นกันแดด แต่จันทร์เจ้าขาก็รับรู้ได้ว่าหล่อนกำลังรู้สึกไม่พอใจ
“มีเรื่องอะไรจะคุยกับเจ้าขาเหรอ” เธอเดินเข้าไปทักอย่างไม่เต็มเสียง รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่าง ท่าทีของอีกฝ่ายอยู่ในเชิงลบค่อนข้างสูง
“ก่อนคุย ขอถามหน่อยว่าพ่อแม่เธอไม่สั่งสอนเรื่องมารยาทบ้างเหรอถึงได้ปล่อยให้ฉันยืนรอนานขนาดนี้!” มิเชลเหวี่ยงวีนเสียงเขียวใส่เธอชุดใหญ่ ซ้ำยังกล่าวถึงบุพการีที่ทอดทิ้งเธอตั้งแต่ยังแบเบาะ
จันทร์เจ้าขาก้มหน้างุดมองพื้น รู้สึกไม่พอใจที่ถูกต่อว่ารุนแรงเช่นนั้น แต่เธอก็หาได้กล้าต่อปากกับหล่อนไม่ ทำได้แค่กลืนความรู้สึกแย่ ๆ ลงคอไปให้ลึก แล้วตอบหล่อนว่า
“ขอโทษที เราคุยกับพีเพลินไปหน่อย ว่าแต่เธอมีอะไรล่ะ”
“ตรง ๆ เลยนะ เลิกยุ่งกับคุณติณท์ซะ เพราะเขาเป็นของฉัน!”
“อะไรนะ!” หญิงสาวอุทานด้วยความตกใจไม่น้อย สองเดือนกว่าที่อยู่กับติณนภพมา เธอไม่เคยเห็นหล่อนเข้าออกที่บ้านเลยสักครั้ง
“ตกใจอะไร? หรือเธอคิดว่าฉันโกหก?” ท่าทีของมิเชลดูคล้ายจะอยากหาเรื่อง
“เปล่าค่ะ พอดีฉันแค่ตกใจเพราะไม่เคยเห็นคุณไปที่บ้านเรามาก่อน” ประโยคนี้ของจันทร์เจ้าขาทำให้อีกฝ่ายไฟลุกหัว
“นี่เขาพาเธอเข้าไปอยู่ที่บ้านเลยเหรอ! คิดจะเอาเรื่องนี้มาพูดอวดให้ฉันเฟลสินะ แต่บอกไว้เลยว่าไม่ได้ผล! เพราะยังไงเขาก็เป็นของฉันอยู่แล้ว!”
“ไม่ใช่แบบนั้นนะ...” เห็นว่าหล่อนเข้าใจผิดก็พยายามจะหาคำมาอธิบาย แต่ก็ถูกพูดแทรกขึ้น
“ไม่ต้องมาแถ! โถ ๆ มาทำหน้าซื่อตาใสที่แท้ก็ตอแหล!”
“นี่!! เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้วเจ้าขาไม่ได้...”เกิดมายี่สิบปีจันทร์เจ้าขาไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้เลยสักครั้ง
“งั้นก็เลิกยุ่งกับเขาสิ!”
“ถ้าเป็นเรื่องนี้เจ้าขาคงทำให้ไม่ได้” ติณนภพเป็นครอบครัวเดียวที่เหลืออยู่ของเธอ แล้วจะให้เลิกยุ่งได้อย่างไรกัน
“ได้! ถือว่าเธอประกาศศึกกับฉันเองนะ ระวังตัวเอาไว้ให้ดีก็แล้วกัน!” พูดจบเจ้าหล่อนก็ก้าวขาฉับ ๆ เดินจากไปอย่างรวดเร็ว สองมือเรียวกำหมัดแน่นอย่างเคียดแค้น
ยัยต้มจืดนี่กล้าดียังไงมาตีฝีปากเสมอเธอ?
“เดี๋ยวสิเธอ! เธอ!” จันทร์เจ้าขาพยายามเรียกรั้งแต่ก็ไม่ทัน ไม่รู้ว่าอะไร ที่ทำให้มิเชลถึงเข้าใจผิดไปได้ถึงเพียงนั้น แล้วที่ยังคับข้องใจคือหล่อนรู้จักกับติณนภพตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
หากมิเชลเป็นตัวจริงของเขา เธอก็ต้องเคยเห็นหล่อนวนเวียนอยู่ในบ้านบ้างสิ แต่นี่ก็ไม่
คฤหาสน์หลังใหญ่
นักศึกษาสาวรีบตรงไปยังห้องทำงานของติณนภพทันทีที่กลับมาถึงบ้าน ตั้งใจจะเล่าเรื่องที่คุยกับมิเชลในวันนี้ให้เขาฟัง
ก๊อก! ก๊อก! ก๊อก!
มือเรียวยกขึ้นเคาะประตูอยู่สองสามที รอไม่นานคนข้างในก็เดินมาเปิดอย่างไม่สบอารมณ์
“ทำไมเธอต้องมากวนฉันเวลานี้อยู่ทุกทีฮะเจ้าขา!” ชายหนุ่มเผลอตวาดใส่ร่างเล็กด้วยความหงุดหงิด เขากำลังจะเข้าด้ายเข้าเข็มกับสาวสวยที่เพิ่งจะติดกับ แต่เธอก็ดันมาเคาะประตูขัดจังหวะ
จันทร์เจ้าขาที่ได้ยินและได้เห็นสภาพเปลือยท่อนบนของเขา กับสาวสวยที่นอนรออยู่ในห้องก็เกิดความน้อยใจขึ้นเต็มอก
“ขอโทษนะคะที่เจ้าขามาขัดจังหวะ เจ้าขาแค่อยากบอกคุณป๋าว่าวันนี้หนึ่งในสาว ๆ ของคุณป๋ามาหาเรื่องและสั่งให้เจ้าขาออกไปจากชีวิตคุณป๋าซะ” เธอพรั่งพรูทุกถ้อยคำออกมาอย่างสุดจะกลั้นน้ำตาคลอ แต่ก็ไม่ได้หยาบคายแต่อย่างใด
“เธอว่าไงนะ!” ติณนภพได้ฟังก็เคลือบแคลงใจ ความหงุดหงิดทวีเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว เขาไม่ชอบให้ผู้หญิงหน้าไหนล้ำเส้นเข้ามายุ่งกับคนในครอบครัว
โดยเฉพาะกับเธอ
“แค่นี้แหละค่ะที่เจ้าขาอยากจะบอก คุณป๋าเชิญมีความสุขต่อเถอะค่ะ เจ้าขาไม่กวนแล้ว” ไม่รอให้เขาได้ทักท้วงหรือตอบอะไรกลับมา จันทร์เจ้าขาก็รีบวิ่งกลับห้องของตัวเองไปด้วยความแง่งอน
“เจ้าขา! เดี๋ยวก่อน! เจ้าขา!” ติณนภพทำท่าจะเดินตามเธอไป แต่ก็ถูกสาวสวยยั่วรั้งเอาไว้ เขาจึงต้องหันกลับไปจัดการเหยื่อตรงหน้าให้ราบคาบแล้วคิดว่าค่อยตามไปง้อเธอเอาทีหลัง
