บท
ตั้งค่า

บทที่ 9 หัวใจเต้นเหมือนเจอเจ้าของ

“แต่ถึงยังไงก็เถอะ คราวหน้าคราวหลังก็รู้จักหน้าที่การงานตัวเองบ้าง”

ชายวัยกลางเมื่อนึกได้ก็หันมาติลูกชาย โตเท่าควายแต่ยังไม่รู้จักรับผิดชอบเวลา แต่มีหรือคนที่ถูกแม่ตามใจมาแต่เด็กอย่างเซบาสเตียนจะฟัง

"คราวหน้าก็คงต้องเป็นอันรบกวนท่านเบรย์อีกเช่นเคยน่ะสิครับ"

ถ้อยคำสุภาพถูกเอ่ยออกมา แต่มันช่างแตกต่างกับนํ้าเสียงและท่าทางที่โครตจะกวนเส้นประสาทผู้เป็นบิดา หากนี่ไม่ใช่กิจวัตรประจำวันที่ชายวัยกลางต้องเจอ ปากกาที่วางอยู่เบื้องหน้าคงได้ปริวไปโดนเบ้าหน้าลูกชายทันที

“เออ ช่างเถอะ พูดไปก็มีแต่เปลืองนํ้าลายกูเปล่า”

เบรย์เดนถอนหายใจเฮือกใหญ่ คงจะไปหวังเอาประโยชน์อะไรจากมันไม่ได้ พูดไปก็มีแต่จะเปลืองลมปากเปล่าๆ ความผิดเขาเองที่ปล่อยให้ภรรยาตามใจลูกชายจนเคยตัว แต่จะให้ทำไงได้ล่ะ ก็คนมันรักมันบูชามันเชิ่ดชูเมียยิ่งกว่าเทพเจ้า

“ใช่มั้ยล่ะครับ ขนาดป๊ายังฟังแค่แม่เลย เพราะงั้นผมก็จะฟังแต่คำสั่งเมีย”

เซบาสเตียนยิ้มกริ่มกับคำตอบตัวเอง ภูมิใจเหลือเกินที่ได้โตขึ้นมากับความคิดแบบนี้ ทำเอาชายวัยกลางเถียงไม่ออกเลยมั้ยล่ะ ก็ที่ลูกพูดมีส่วนไหนบ้างที่ผิด ความจริงทั้งนั้น

“เอาเถอะ เห็นหน้าแกแล้วสมองฉันไม่เคยจะโล่ง ดอกไม้นี่แกก็เอาไปให้แม่แกเองแล้วกัน”

กล่าวเสร็จเบรย์เดนดีดตัวขึ้นจากเก้าอี้พร้อมจัดคอเสื้อสูทด้วยท่าทางทรงเสน่ห์ ตัวเลขอายุไม่ได้ทำลายความเป็นเจ้าพ่อของเขาได้เลย

“ขอบคุณอย่างยิ่งที่สละเวลามาทำงานแทนผมด้วยนะครับ”

เซบาสเตียนยิ้มกรุ่มกริ่มยันนาทีสุดท้ายที่ฝีเท้ายาวก้าวผ่านประตูออกไปจนลับตา วันนี้เขาอารมณ์ดีเป็นพิเศษจนแทบจะหุบยิ้มไม่ได้เลยจริงๆ นึกแล้วก็ไปนั่งทำงานหน่อยดีกว่า แล้วค่อยไปเยี่ยมแม่ก่อนที่ดอกไม้สวยๆ จะเหี่ยวเอาสะก่อน

“บอสจะไปไหนต่อรึเปล่าครับ”

รอยรีบเอ่ยถาม เมื่อเห็นเจ้านายเดินออกมาจากห้องทำงานท่าทางเหมือนทุกครั้งที่ทำงานเสร็จแล้วเตรียมพร้อมเลิกงาน

“ไปหาแม่”

ทันทีที่ตอบคำถามลูกน้องเสร็จก็เดินออกไปพร้อมช่อดอไม้สีขาวสะอาดตาที่ถืออยู่ในมือทันที

“ครับ”

รอยรู้หน้าที่ตัวเองดี เมื่อได้ยินคำตอบที่เปรียบเสมือนคำสั่งก็รีบเดินตามหลังเจ้านายออกไปต้อยๆ

ไม่นานรถคันหรูก็ถูกขับเคลื่อนเข้ามาจอดกลางสถานที่แห่งหนึ่ง เท้ายาวรีบก้าวลงจากรถแล้วเดินเข้าไป ภายในเต็มไปด้วยทุ่งหญ้าเขียวกระจับกับต้นไม้ล้อมรอบจนสัมผัสได้ถึงความสงบ ทว่าท่ามกลางความสงบนั้นกลับได้รับถึงความวังเวงหดหู่ที่เกิดขึ้นภายในใจ สองฝีเท้าก้าวเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้ารูปปั้นหินอ่อนที่ตั้งไว้ไม่ไกลจากทางเดินเข้ามา ซึ่งคือสุสานของผู้เป็นมารดาเขา…

เซบาสเตียนนั่งคุกเข่าลงพรางมองรูปปั้นหินตรงหน้าด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ ทักทายมารดากับแววตาคู่ที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศก

“แม่ครับ… ผมเอาดอกไม้ที่แม่ชอบมาให้นะครับ แล้วก็มีเรื่องมาเล่าให้แม่ฟังด้วย…”

ช่อดอกไม้สีขาวถูกวางลงเบาๆ ก่อนนํ้าเสียงแผ่วเบาจากอีกคนจะเปร่งขึ้นพร้อมเล่าเรื่องราวชีวิตให้คนที่จากไปฟัง

“แม่รู้มั้ยครับ… ว่าผมได้เจอกับผู้หญิงในแบบที่แม่อยากได้เป็นลูกสะใภ้มาตลอด เธอสวยทั้งกายแล้วก็จิตใจ แถมยังอ่อนโยนเหมือนแม่เลยครับ โดยเฉพาะรอยยิ้มที่สามารถเปลี่ยนโลกทั้งใบของคนๆหนึ่งได้…”

ชายหนุ่มเล่าไปก็ยิ้มไป เมื่อนึกถึงทีไร ภาพในหัวมันก็เต็มไปด้วยรอยยิ้มอ่อนหวานของผู้หญิงคนนั้น หากเขาได้รับการตอบโต้จากมารดาบ้างโดยไม่ใช่แค่ต้องเป็นฝ่ายเล่าอย่างเดียวโดยได้รับคำตอบเป็นความเงียบ… มันจะดีขนาดไหนกันเชียว

“แต่น่าเสียดายนะครับ ที่แม่ไม่สามารถอยู่รอจนได้เห็นผมแต่งงานกับผู้หญิงในแบบที่แม่หมายปอง ไว้ผมจีบเธอติดเมื่อไหร่ ผมจะพาเธอมาหาแม่นะครับ…”

ดวงตาเริ่มแดงกํ่าคลอเบ้าด้วยนํ้าสีใสที่รินออกมาดื้อๆ ยิ่งพูดเสียงที่ลอดออกมาจากลำคนก็ยิ่งเบาลงเหมือนคนหมดเรี่ยวแรงลงเรื่อยๆ เขาเจ็บปวดเสมอกับการจากลาของมารดา แม้เวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนแล้วก็ตาม

เคร๊ก!

ในเวลาเดียวกันที่เเซบาสเตียนก้มหน้าเศร้า ทว่าดูเหมือนแม่จะเป็นใจ ส่งกำลังใจมาให้เขาทันที เมื่อเงยหน้าหันมองตามเสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาไกล้ ก็ต้องตาสว่างทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นวิเวียน หัวใจดวงใหญ่พองโตขึ้นมาทันที รีบดีดตัวลุกขึ้นทักทาย

“คุณวิ…”

คิ้วเข้มขมวดเข้ากันพร้อมแสดงสีหน้าสงสัย เมื่อในมือน้อยๆ กำลังถือช่อดอกไม้บริสุทธิ์อยู่สองช่อ เหมือนว่าจุดหมายที่มาที่นี่จะไม่ต่างกันกับเขาเลย

“อ้าวคุณบาส... พอดีว่าวิมาเยี่ยมพ่อกับแม่น่ะค่ะ”

วิเวียนยิ้มอ่อนในขณะที่ไขข้อสงสัยให้กับชายตรงหน้า สิ่งหนึ่งที่น่าทึ่งของผู้หญิงคนนั้นคือ เธอมักจะเต็มไปด้วยรอยยิ้มและความสดใสเสมอ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหนก็ตาม นำพาคนรอบข้างอุ่นใจไปด้วยอย่างบอกไม่ถูก ต่างกับเขาที่เป็นผู้ชายแท้ๆ แต่เก็บอารมณ์ความรู้สึกไม่เก่งเอาสะเลย พูดแล้วก็น่าอายจริงๆ

“งั้น…. ผมขอไปเยี่ยมพวกท่านด้วยได้มั้ยครับ”

ชายหนุ่มไม่รอช้าที่จะคว้าโอกาสเข้าสู่ตัว

“ได้สิคะ”

วิเวียนตอบรับเสียงหวาน ก็แล้วมันมีเหตุผลอะไรที่จะไปไม่ได้ด้วยล่ะ สองคนเดินเคียงคู่กันออกไป หากไม่รู้คงนึกว่าคู่สามีภรรยานำดอกไม้มาเยี่ยมคนจากไปด้วยกัน แต่ใครจะรู้ล่ะ ว่าทุกอย่างเป็นความบังเอิญ หรืออาจจะถูกโชคชะตากำหนดไว้แล้วแต่แรก

“ผม… เสียใจด้วยนะครับ”

เวลานี้ทั้งคู่นั่งคุกเข่าอยู่ด้วยกันหน้ารูปปั้นหินที่ถูกตั้งติดกันเอาไว้เป็นคู่ เซบาสเตียนกล่าวเสียงเบา พร้อมหันมองหญิงข้างๆ ที่มองตรงไปยันสุสานคู่ของผู้ให้กำเนิด

“ขอบคุณนะคะ แต่วิไม่เป็นไรแล้วล่ะค่ะ พวกท่านจากวิไปตั้งแต่อายุเก้าขวบ… มันกลายเป็นความเคยชินไปแล้วล่ะค่ะ “

วิเวียนยิ้มอ่อน เธอเรียนรู้ที่จะเติบโตมาด้วยตัวเองตั้งแต่อายุยังไม่ก้าวเข้าสิบขวบ และเธอก็ภูมิใจกับมันอยู่เสมอ ที่สามารถเติบโตมาในทางที่ดีได้ เธอเลือกที่จะใจดีกับโลกใบนี้ แม้มันจะโหดร้ายกับเธอไปบ้างในบางครั้ง ความสดใสของเธอผลอยเรียกรอยยิ้มจากคนข้างๆมาด้วย เขาไม่เคยเจอผู้หญิงคนไหนที่เต็มไปด้วยพลังบวกขนาดนี้มาก่อน เมื่อเทียบกับความยากลำบากที่วิเวียนเคยเจอมา เรื่องที่เขาท้อแท้อยู่ในทุกวันนี้มันเทียบไม่ได้เลยสักนิด แต่ผู้หญิงคนนี้ก็ยังคงไม่เคยขาดรอยยิ้มที่มาจากก้นบึ้งในหัวใจ ทำให้หัวใจดวงใหญ่เต้นตุบตับยิ่งกว่าเดิม เหมือนมันต้องการจะบ่งบอกว่าเจอเจ้าของเข้าให้แล้วจริงๆ

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel