บทที่ 10 ห้ามใจไม่อยู่ เผลอจูบไปเลยสิ
“ว่าแต่คุณล่ะคะ? "
วิเวียนหันมาถามคนที่มองเธออยู่แล้ว สายตาสองคู่สบเข้ากัน มองดูเขาพร้อมรอฟังคำตอบ เอาแต่พูดถึงเรื่องเธออยู่เรื่อย จนลืมถามไปเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้าง
“ผมมาหาแม่น่ะครับ ท่านจากพวกเราไปเมื่อปีที่แล้ว ผลจากมะเร็งระยะสุดท้าย”
เซบาสเตียนอธิบายเสียงอ่อน น่าแปลกที่เขาเกิดอยากแสดงด้านอ่อนแอของตัวเองให้ผู้หญิงคนนี้ได้เห็น เหมือนตอนได้อยู่กับแม่ไม่มีผิด มันรู้สึกอบอุ่นใจจนอยากโผลเข้ากอดเธอเอาไว้ แต่ก็ทำได้แค่คิด จะข้ามขั้นได้ยังไงล่ะ
“เสียใจด้วยนะคะ”
ดวงตากลมมองดูอีกคนที่แววตาเต็มไปด้วยความหมองใจ แม้เขาจะพยายามยิ้มให้กับเธอ แต่เธอย่อมเข้าใจความรู้สึกนั้นดีกว่าสิ่งอื่นได เมื่อเคยสัมผัสมันมาก่อน กว่าจะทำใจยอมรับได้มันไม่ได้ง่ายอย่างที่ปากกล่าว
“เอางี้มั้ยคะ ใกล้ๆ นี้มีอยู่สถานที่หนึ่ง เวลาวิมาหาพวกท่านแล้วรู้สึกเสียใจ วิจะไปนั่งเยียวยาจิตใจที่นั่นทุกครั้ง"
วิเวียนเสนอความเห็น ไหนๆเธอก็คิดไว้ว่าจะไปที่นั่นหลังเยี่ยมพ่อแม่เสร็จอยู่แล้ว สถานที่ที่เยียวยาจิตใจเธอมาตลอด หากวันนี้จะพาเพื่อนใหม่ไปด้วยคนก็คงจะไม่ใช่เรื่องแย่อะไร
“ไปสิครับ”
เซบาสเตียนรีบพยักหน้ารับ มีหรือเขาจะปฏิเสธ เข้าทางสะขนาดนี้ไม่ไปก็ควายแล้ว
“งั้นก็ตามมาเลยค่ะ”
วิเวียนยิ้มพร้อมหยัดกายลุกขึ้น แอบตื่นตันใจอยู่เหมือนกันที่จะได้ไปสถานที่แห่งนั้นกับใครบางคนเป็นครั้งแรก ที่ผ่านมาพูดได้เลยว่าเธอตัวคนเดียวมาตลอด ไม่ว่าจะต้องเจอกับปัญหาอะไรก็ตาม เธอเข้มแข็งพอที่จะเยียวยาทุกสิ่งด้วยตัวเอง แต่ถ้าหากมีใครบางคนเข้ามาช่วยเยียวยา ก็คงจะเป็นสิ่งที่ดี…. มั้งนะ
ร่างระหงสาวเท้าเรียวเดินนำอีกคนเข้าไปในทางเล็กๆ ที่อยู่ไม่ไกลจากที่เดินมา เซบาสเตียนเดินตามหลังหญิงสาวเข้ามาในขณะที่สายตากวาดมองรอบๆ แปลกที่เขาไม่เคยแม้แต่จะสังเกตที่แห่งนี้เลย ไม่นานสองคนก็มาหยุดฝีเท้าอยู่เบื้องหน้าจุดหมาย วิเวียนนั่งลงบนพื้นหญ้าเขียวด้วยท่าทีสบาย เหมือนกับที่เธอพูดว่าสถานที่แห่งนี้กลายเป็นพื้นที่เยียวยาจิตใจสำหรับเธอ เมื่อบรรยากาศรอบๆ เต็มไปด้วยความสงบไร้เสียงผู้คน ไร้ความวุ่นวาย จะมีก็แต่เสียงธารนํ้าเล็กๆ ที่ไหลกันลงมาเป็นสายอยู่อีกฝั่งของพื้นหญ้า รอบๆแต่งเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่ที่นับได้ว่ามีมาตั้งแต่ชาติปางได กับแสงแดดอ่อนๆที่สาดส่องลงมาทำให้ได้ฟิลเหมือนในหนังสือการ์ตูนรักไม่มีผิด อีกคนเชยชมบรรยากาศแสนบริสุทธิ์จนพอใจจึงหย่อนก้นนั่งลงข้างๆหญิงสาวที่กำลังหลับตาสัมผัสกับกลิ่นหอมอ่อนๆ จากกลิ่นไอธรรมชาติรอบๆด้วยรอยยิ้ม
สายตาคมจ้องอยู่บนใบหน้านวลจนไม่อาจละไปมองสิ่งอื่นได้ ไม่ว่าจะมองมุมไหนเธอก็ดูสง่าไปหมด เขายอมรับว่าสถานที่นี้เยียวยาจิตใจได้ไม่น้อยดั่งเธอกล่าว แต่เมื่อเทียบกับรอยยิ้มสดใสนั่น มันเทียบไม่ติดเลยสักนิดสำหรับเขา หากต้องมานั่งอยู่คนเดียวโดยที่ไม่มีเธอ มันก็เปล่าประโยชน์อยู่ดี
“น่าแปลกนะครับ ผมคาดไม่ถึงเลยว่าที่นี่จะมีสถานที่แบบนี้อยู่ด้วย”
เสียงจากเซบาสเตียนเปร่งขึ้นท่ามกลางความเงียบ เรียกคนที่กำลังชมเชยธรรมชาติหันมามองพร้อมรอยยิ้ม
“สวยใช่มั้ยล่ะคะ วิชอบบรรยากาศแบบนี้สุดๆ เลยล่ะค่ะ “
วิเวียนเล่าถึงความชอบของเธอด้วยใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข เธอชอบอะไรแบบนี้ที่สุดเลยล่ะ ทำเอาอีกคนอดยิ้มตามไม่ได้
“สวยสิครับ แต่สำหรับผม สวยเท่าไหร่ก็คงสู้คุณไม่ได้อยู่ดี… “
แววตาแห่งความหลงไหลจับจ้องอยู่บนใบหน้านวลไม่ละ คำพูดที่มาจากใจจริง สีหน้าเขาไม่ได้บ่งบอกว่ากำลังล้อเล่น ทำเอาหัวใจดวงน้อยเต้นตุบตับไม่เป็นจังหวะ จนวิเวียนต้องหลบสายตาแพรวพราวนั่นก่อนจะโดนมันสะกตสะก่อน เสียงหัวใจนี่ก็ดังตุบตับอยู่เรื่อยไม่มีท่าทีจะหยุด ไม่รู้ว่าเขาจะได้ยินรึเปล่า เจ้าหัวใจบ้านี่ มันไม่ฟังคำสั่งของเธอเลย
ท่าทางเขอะเขินของวิเวียนเรียกความเอ็นดูจากคนต้นเหตุได้เป็นอย่างดี ทำไมถึงน่ารักเป็นบ้าขนาดนี้กันวะ ถ้าจับฟัดเลยนี่จะผิดป่ะ
“คุณนี่หยอดเก่งนะคะ คงอันตรายน่าดู… “
คนตัวเล็กบ่นอุบอิบโดยไม่ยอมหันกลับมามองหน้าเขา ผู้ชายที่ดูดีมีฐานะแบบเขา เอาแต่มานั่งหยอกเธอแบบนี้คงเจ้าชู้และอันตรายใช่เล่น ทว่าท่าทางการพูดของเธอกลับเรียกเสียงขำจากคนโดนกล่าวหาเฉย
“ฮ่าๆ ผมไม่ได้หยอกสักหน่อย มันคือความจริงต่างหากล่ะครับ”
เซบาสเตียนตอบด้วยรอยยิ้มเอ็นดู จะทำอะไรก็ดูน่ารักไปสะหมด จนเขาอดความคิดที่นึกจะเกินเลยกับเธอไม่ไหว แม้จะแสดงออกถึงความอ่อนโยนยังไงเขาก็ยังเป็นผู้ชายอยู่วันยันคํ่า
“พอเถอะค่ะ คุณกำลังทำวิเสียอาหาร”
หญิงสาวเบือนหน้าหนีพร้อมหัวใจที่เต้นตุบตับไม่ยอมฟังสมองที่กำลังสั่งการให้หยุดทำเรื่องน่าอายให้เธอเสียหน้าสักที ในขณะที่อีกคนดูเหมือนจะเงียบไปสักพัก โดยที่เธอไม่รู้ว่าเขากำลังยิ้มกรุ่มกริ่มมองเธออย่างลุ่มหลง ด้วยความแปลกใจที่ชายข้างๆไม่ตอบกลับอะไรจึงหันหน้ากลับมามอง เป็นจังหวะพอดีเป๊ะกับเซบาสเตียนที่ยื่นหน้าเข้ามาไกล้ ทำให้ปากประกบกันแนบชิดโดยบังเอิญ
วิเวียนตกใจเบิ่กตากล้าง ตอนนี้เหมือนร่างกายถูกต้องคำสาปไม่ให้ขยับดั่งก้อนหิน ส่วนอีกคนกลับตรงกันข้าม เมื่อได้ลองสัมผัสที่แสนจะนุ่มนวลก็โหยหาที่จะลิ้มลองรสความหวานมันมากขึ้น รีบโฉยโอกาสดันท้ายทอยคนตัวเล็กเข้ามาบดขยี้เรียวปากบางอย่างอ่อนโยน สัมผัสนี้มันช่างน่าติดใจจนเขาไม่อาจละออกได้ ส่วนคนถูกรุกจากแรกๆ ที่แข็งทื่อก็ค่อยๆอ่อนระทวยเหมือนมีเจ้าชายมาแก้คำสาป รสชาติความหวานที่เขามอบให้ทำเธอเคลิ้มตามง่ายๆ เหมือนไม่ใช่ตัวของตัวเอง
“อื้มมม…”
