บท
ตั้งค่า

บทที่ 9 : หน่วยปราบปราม

"ช่วงนี้เหมือนผีในบ้านเราจะลดๆ ลงหรือเปล่านะ"

ไตรวิชญ์มองไปยังผีนอกบ้านที่วันนี้ก็ยังคงตั้งวงกินข้าวกินเหล้ายามเย็นกันอย่างสนุกสนาน บ้างก็ไปนั่งดูทีวีจอใหญ่เท่าฝาบ้านอีกมุม แต่จำนวนเหมือนจะบางตาลงไปกว่าทุกที

หรือเขาคิดไปเอง?

"เราใช้ออกไปทำงานให้บางส่วน อีกส่วนก็ถูกคัดไปเป็นยมทูต"

เซียร์ที่ยังคงง่วนอยู่กับโน๊ตบุ๊กเช่นทุกวันเอ่ยตอบ ดวงตาเหลือบมองจำนวนผีที่หายไปถึงหนึ่งในห้าส่วนเลยทีเดียว

"งั้นเหรอ ส่งออกไปทำงานอะไร?"

"สตอล์กเกอร์"

"...ฮะ?"

"ไปเป็นสตอล์กเกอร์ไง ไตรไม่คิดว่ามันเป็นงานที่เหมาะกับผีเหรอ?"

"เออ มันก็เหมาะ..." ไตรวิชญ์ขมวดคิ้วไปครู่หนึ่ง "แต่เฮ้ย เซียร์จะให้พวกมันไปสตอร์กเกอร์ใคร... บนโลกนี้ยังจะมีใครน่าสตอล์กเกอร์ไปมากกว่าสุดหล่ออย่างฉันกัน!"

"..."

ก็มีคนนี้แหละที่อยากถูกสตอล์กเกอร์

เซียร์ยกมือขึ้นกุมขมับแต่ก็ไม่เอ่ยคัดค้าน เอาที่เขาสบายใจ

"แล้วส่งออกไปสตอล์กเกอร์ใครเหรอครับคุณเซียร์"

คิมเดินเช็ดมือออกมาจากครัวหลังจากทำความสะอาดเครื่องครัวเสร็จหมดแล้ว พี่หมอที่มานั่งอยู่ตรงข้ามแล้วกินคัพเค้กเข้าไป ดวงตาสีดำขลับจ้องมองผีหน้าหล่ออย่างรอคอยคำตอบ

"ก็หลายคน ส่วนใหญ่ก็นักการเมืองและนักธุรกิจ"

"อ้อ เพราะเรื่องเมื่ออาทิตย์ก่อนสินะ" พี่หมอกลืนเค้กไปในคำเดียวแล้วแลบลิ้นเลียปลายนิ้ว "แต่มันหนักข้อขึ้นถึงขนาดต้องส่งผีไปติดตามเลยหรือไง"

"เคยใช้คนแล้ว แต่ก็โดนเก็บไปหมด ก็เลยเหลือแต่ผีแล้วล่ะนะ"

เซียร์ส่ายหน้าไปมาอย่างอับจนเล็กน้อย การตามติดตัวคนดังโดยจ้างคนอื่นมันก็ควบคุมได้ยากอย่างนี้ ในเมื่อ 'คนเป็น' ใช้การไม่ได้เขาก็คงต้องใช้ 'คนตาย' เท่านั้นถึงจะตามติดได้ถึงขั้นสิงร่างอ่านความคิด

แต่เขาก็ไม่ให้พวกผีสิงร่างหรอก ถ้าเกิดออกนอกการควบคุมจะต้องลำบากพี่หมอไปตามตบเกรียนเรียงตัวแล้วหิ้วคอกลับบ้าน

ไตรวิชญ์ถามต่อ "แล้วรู้ตัวการหรือยัง?"

"รู้แล้วล่ะ"

"เป็นพวกไหนล่ะ"

"พวกไม่ใช่คน"

"???"

สีหน้าของคนฟังทั้งสามปรากฏของหมายคำถามขึ้นมีอย่างฉับพลัน สมองทำการประมวลผลซ้ำๆ เพื่อความแน่ใจก่อนจะถามใหม่

"เดี๋ยวนะ พวกไม่ใช่คนเหรอ?"

"อืม"

"พวกไม่ใช่คนมายุ่งอะไรกับหุ้นประเทศไทย หรือมีปัญหาอะไรกัน? รัฐบาลกับพวกอมนุษย์ไม่น่าจะมีปัญหาถึงขั้นล่มเศรษฐกิจนี่หว่า"

"รัฐบาลปัจจุบันก็รู้เรื่องพวกอมนุษย์ด้วยหรือ"

ไอยรินทร์ถามไตรวิชญ์อย่างสงสัย กับประเทศอื่นอาจมีส่วนรู้เห็นแต่ประเทศไทยนั้นเขาไม่รู้มาก่อน ในสมัยที่เขายังมีชีวิตอยู่ไม่มีการร่วมกลุ่มกันเพื่อปราบปรามหรือให้ความร่วมมือกันของสิ่งมีชีวิตคนละมิติมาก่อน

แม้แต่คนที่จะมองเห็นยังมีน้อยเลย ไม่ต้องพูดถึงความร่วมมือ

"เมื่อก่อนรู้กันวงกว้างอยู่แต่เดี๋ยวนี้ไม่แน่ใจว่ามีกี่กลุ่มที่รู้ น่าจะจำกัดวงแคบมาก... อืม ฉันเองก็ไม่ค่อยได้ยุ่งเกี่ยวกับเบื้องลึกเบื้องหลังของภาครัฐด้วยสิ แต่ส่วนใหญ่แล้วทางภาครัฐก็ดีกับพวกอมนุษย์อยู่นะ แถมตระกูลที่มีสายเลือดอมนุษย์บางส่วนก็เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารประเทศและหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ด้วย"

"สมัยนี้ช่างเปิดกว้างนัก แม้แต่อมนุษย์ก็สามารถร่วมกันบริหารประเทศได้"

"ก็คงงั้น" พี่หมอไหวไหล่อย่างไม่ใส่ใจ "แต่ถ้าพวกนักปกครองทะเลาะกันเองเราก็ไม่ต้องไปสนใจหรอก ฝ่ายไหนชนะเศรษฐกิจมันก็ฟื้นเองแหละ ส่วนจะฟื้นมากน้อยแค่ไหนก็อีกเรื่อง"

"แต่ไม่ใช่นักปกครองตีกันเองธรรมดาน่ะ มีคนเสี้ยม..."

คำบอกเล่าของเซียร์ทำให้หมอผีหนุ่มขมวดคิ้ว

"มือที่สามงั้นเหรอ?"

"ใช่ จากในประเทศเองด้วย เป้าหมายคือตระกูลหนึ่ง"

"ตระกูลอะ..."

ครืด~

การสนทนาหยุดชะงักไปเพราะเสียงสั่นของโทรศัพท์ของพี่หมอเรียกความสนใจของพวกเขา ไตรวิชญ์พ่นลมหายใจแล้วหยิบมันขึ้นมากดรับสาย

"ฮัลโหล แค่นี้นะ!"

[เดี๋ยวครับ! ยังไม่ทันได้พูดเล๊ย!!]

รับสายแล้วจะวางเลยแบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนกัน

พี่หมอกลอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่ายแต่ก็ยอมรับฟังไว้ ดวงตาเหลือบไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนพนังห้อง

"จะพูดอะไรก็รีบพูด โทรมาดึกๆ ดื่นๆ เกรงใจคนจะนอนด้วย"

[นี่เพิ่งจะทุ่มครึ่งเองนะ พี่หมอนอนเร็วขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กันครับ?]

"นอนเร็วเมื่อไหร่ก็เรื่องของฉันไหม ไม่เผือกสิชาละวัน"

[ผมชื่อชัชวาล!] อีกฝ่ายตอบกลับมาเสียงขุ่น [ผมมีเรื่องจะขอให้พี่หมอช่วยครับ]

"จะขอให้ช่วยอะไรดึกๆ ดื่นๆ ไม่เอาล่ะ ไม่ไป"

[โธ่พี่หมอ หน่วยของผมมันต้องทำงานดึกๆ ดื่นๆ นี่ ไม่อย่างนั้นผู้คนก็แตกตื่นกันพอดีสิ แล้วอีกอย่างงานนี้เงินดี...]

"ถ้าต่ำกว่าหกหลักฉันไม่ไปนะเว้ย"

[...]

"ช่วงนี้โซฮอต ค่าตัวเลยแพง"

[ก็ได้ครับ ทางนี้จ่ายหนึ่งแสนก่อนเริ่มงาน หลังจบงานอีกสองแสนตกลงไหมครับ]

"เยี่ยมมาก อย่างนี้สิถึงจะคบกันยืดนะชาลี"

[ผมชื่อชัชวาล!]

"งั้นก็เจอกันที่เดิม"

ไตรวิชญ์กดตัดสายทิ้งอย่างรวดเร็วก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองสองผีหนึ่งแวมไพร์ที่มองเขาเป็นตาเดียว ซึ่งเขาไม่คิดจะอธิบายอะไรให้ใครฟังทั้งสิ้น

"เดี๋ยวจะออกไปทำงานข้างนอกซะหน่อย อาจจะกลับช้าแต่ไม่เกินเที่ยงคืน"

"คนของ 'หน่วยราพณ์' เหรอครับ"

"อา ถึงจะน่าเบื่อไปหน่อยแต่ก็เงินดี ไปนะ"

พี่หมอลุกไปหยิบเสื้อคลุม ร่มและกระเป๋าก่อนจะเดินออกจากบ้านไปด้วยท่าทางเฉยชา ไม่นานก็หายไปจากครรลองสายตา

ไอยรินทร์ขมวดคิ้วนิดๆ แล้วพึมพำ

"หน่วยราพณ์หรือ? ...มันคือหน่วยอะไรกัน"

"หน่วยปราบปรามภูตผีของไทยไงครับ จะเรียกอย่างอินเตอร์หน่อยก็ Exorcist น่ะ" คิมตอบก่อนจะเก็บจานขนมของไตรวิชญ์ที่กินเหลือไว้ ปู่ไอยหันมองอย่างมีคำถาม "ก็ตามชื่อนั่นแหละครับ เป็นหน่วยควบคุมและปราบปรามภัยอันเกิดจากภูตผีปีศาจ..."

"อ้อ รัฐบาลคงไม่ไว้ใจอมนุษย์กันล่ะสิ ถึงแม้ว่าจะให้อมนุษย์คอยช่วยเหลือก็ตาม"

"ก็ทำนองนั้นแหละครับ มนุษย์ก็เป็นอย่างนี้พวกเขาระแวงและหวาดกลัวเราเสมอ"

"ไม่ใช่แค่นั้นหรอก" เซียร์เอ่ยแทรกขึ้นมาพลางพับโน๊ตบุ๊กลงไป สายตาของผู้อาวุโสในบ้านหันมามองเป็นตาเดียว "มนุษย์ยังมีสิ่งที่ปีศาจก็อาจจะเทียบไม่ติดอยู่ด้วย... อย่างความละโมบยังไงล่ะ"

"นั่นคุณเซียร์จะไปไหนเหรอครับ?"

"จะตามไตรไปน่ะ"

"เป็นห่วงเขาสินะ"

"ห่วงคนของหน่วยราพณ์ต่างหากล่ะคุณคิม"

ดูจากนิสัยของไตรวิชญ์แล้ว มันไม่จบแค่ทำงานเก็บเงินแล้วกลับบ้านหรอก มันต้องมีเซอร์วิสชาร์ตแน่ๆ โดยเฉพาะเรียกใช้งานตอนกลางคืนด้วยแล้ว

อีกอย่าง... สังหรณ์ไม่ค่อยดีจริงๆ

ไตรวิชญ์นั่งแท็กซี่มาลงที่จุดนัดหมาย สถานนี่ตำรวจที่อยู่ใกล้บ้าน สถานที่ราชการที่มีคนอยู่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง เขาทักทายตำรวจที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นอย่างดีก่อนจะนั่งรอคนของหน่วยราพณ์มาถึง

'หน่วยราพณ์' หน่วยปราบปรามภัยเหนือธรรมชาติที่ถูกจัดตั้งมากว่าสองร้อยปีโดยคนของภาครัฐที่มีความสามารถด้านวิชาอาคม บุคลากรในหน่วยสามารถมองเห็นเหล่าภูตผีปีศาจที่คนธรรมดาไม่สามารถมองเห็นได้ งานหลักก็คือการบวงสรวงหรือจัดพิธีอะไรต่างๆ ในประเทศและปราบผีอย่างลับๆ โดยที่ประชาชนทั่วไปไม่รู้จัก

คนของหน่วยนี้ไม่ได้แสดงตัวออกมาให้ประชาชนทั่วไปในสมัยนี้เห็นอย่างจริงจังว่าเป็นหน่วยของภาครัฐที่ขึ้นตรงกับคณะรัฐมนตรี เพราะเรื่องของไสยศาสตร์น้อยคนนักที่จะเชื่อถือ พวกเขาล้วนเชื่อในสิ่งที่วิทยาศาสตร์พิสูจน์ไม่ได้ ขนาดจะบอกว่ามนุษย์บางคนมีสายเลือดของสัตว์วิเศษยังไม่เชื่อ

แต่พอเป็นละครกับชอบใจอยากให้มีอยู่จริง

มนุษย์นี่ก็แปลกประหลาด... มีความสบสันในตัวเอง

อันจริงที่คนของหน่วยราพณ์ก็มาติดต่อให้เขาเป็นสมาชิกของหน่วยนี้อยู่เหมือนกัน เขาก็เคยเข้าไปทำงานด้วยความสนใจอยู่สามเดือนแล้วก็ออกมา เหตุเพราะ... มันน่าเบื่อเกินไป

งานที่ต้องออกไปปราบผีน้อยนิด คำสั่งราชการก็มีไม่มากในแต่ละเดือน วันๆ นอกจากลาดตระเวนไปทั่วก็แทบไม่มีอะไรเลย เงินเดือนภาครัฐก็น้อยนิด ต้องรอออกงานใหญ่สักครั้งถึงจะได้เงินก้อนใหญ่ คนในหน่วยก็ต้องไปหารายได้เสริมกันเองอีก มีดีแค่สวัสดิการอย่างเดียว...

เป็นอย่างนี้แล้วใครจะอยู่ให้โง่เล่า เสียเวลาทำมาหากินหมด

ทว่าถึงจะไม่ชอบงานของหน่วยราพณ์ แต่งานที่ต้องเรียกใช้คนของหน่วยนี้ก็ให้งบประมาณมหาศาลจริงๆ ขนาดจ้างเขาด้วยเงินแสนยังตอบรับได้อย่างสบายๆ ก็ถือเป็นหน่วยงานสำคัญอยู่ล่ะนะ

"ถ้าจะนั่งตาปรือขนาดนี้ นอนไปเลยก็ได้นะ"

"ขอหมอนกับผ้าห่มดะ--- หืม? เซียร์มาทำอะไร"

ไตรวิชญ์ที่นั่งง่วงมานานตอนนี้ตาสว่างแล้ว คิดไม่ถึงว่าผีหน้าหล่อนี่จะตามเขามาด้วย แถมยังไม่ได้ปกอุปกรณ์ทำงานมาอีกต่างหาก ใบหน้าหล่อเย็นชานั้นยิ้มนิดๆ ให้เขาก่อนจะนั่งลงข้างๆ

"ก็ตามมาด้วยความเป็นห่วง"

"ห่วงเจ้าพวกหน่วยกิ๊กก๊อกนั่นอ่ะเหรอ"

"ใช่" เซียร์หัวเราะขบขันในลำคอ "อย่างไตรไม่มีอะไรให้ห่วงหรอก"

"พูดงี้รู้สึกน้อยใจจังน้า~ ฉันรึออกจะเป็นหนุ่มหล่อหน้าตาชวนย่ำยี ต้องห่วงฉันมากๆ หน่อยสิ"

"..."

คำพูดคำจาไร้ยางอายขนาดนี้มันน่าห่วงตรงไหนไม่ทราบ

"มาแล้วครับๆ พี่หมอ... อ้าว คุณเซียร์ก็มาด้วยเหรอครับ"

ชายหนุ่มใบหน้าสดใสเดินผ่านฝนปอยๆ เข้ามา ผมสีน้ำตาลเข้มลู่ลงเพราะน้ำฝน ดวงตาสีดำขลับเป็นประกายแวววาว ภายนอกดูเป็นหนุ่มน้อยอารมณ์ดีอย่างแท้จริง เสื้อผ้าที่สวมใส่เป็นชุดสีกรมท่าแขนยาว กางเกงสีกรมขายาวและติดกระดุมสีเงินมีตราสัญลักษณ์เป็นหน้ายักษ์ที่อยู่บนเสื้อข้างซ้าย

ชัชวาลพอเห็นว่าพี่หมอไม่ได้อยู่คนเดียวก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อย ทุกทีเวลาทำงานไม่เคยพาผีมาด้วยสักครั้ง วันนี้มาแปลก...

"เราเป็นห่วงเลยตามมา"

"อย่างพี่หมอนี่นะน่าเป็นห่วง?"

ชัชวาลส่งสีหน้าไม่เชื่อออกมา บอกว่าเป็นห่วงชาวโลกเขายังเชื่อมากกว่า

และสีหน้าของชายหนุ่มก็ไม่เชื่อออกนอกหน้าเกินไป พี่หมอเลยประเคยรางวัลให้เป็นมะเหงกหนึ่งที่ทำเอาคนไม่เชื่อร้องโอดโอย ส่วนเซียร์ก็ได้แต่ยกมุมปากอย่างขบขันเท่านั้น ไม่ได้ตอบคำของอีกฝ่าย

"มีงานอะไรก็รีบๆ พาไปได้แล้ว" ไตรวิชญ์เอ่ย "ถ้าไม่ไปฉันจะได้กลับบ้าน อากาศชื้นๆ อย่างนี้มันทำให้ง่วงมากนะเว้ย!"

"ใจร้อนเป็นวัยรุ่นไปได้ ทั้งที่เลยวัยมาแล้วแท้ๆ"

"ว่าไงนะ!"

"เปล่าครับ! ไปกันเถอะ รถอยู่ทางนั้นครับ"

ชัชวาลรีบเดินนำไปยังรถตู้ซึ่งเป็นรถปฏิบัติการของพวกเขา เมื่อขึ้นรถตู้มาแล้วไตรวิญช์และเซียร์ก็พบสมาชิกหน่วยอีกสองคนกำลังยุ่งอยู่กับเครื่องมือ ชายหนุ่มใส่แว่นที่แต่งตัวเรียบร้อย กับหญิงสาวหน้าใสเหมือนจะอยู่ระดับมหาวิทยาลัยเท่านั้น ทั้งคู่หันมายกมือไหว้ให้กับผู้มาให้ด้วยรอยยิ้ม

"สวัสดีครับพี่หมอ คุณเซียร์"

"สวัสดีค่ะพี่หมอ คุณเซียร์ แปลกจังค่ะที่เห็นเซียร์มาด้วย"

"เขาห่วงพี่หมอน่ะ แต่น้ำหน้าอย่างพี่หมอนี่ไม่เห็นน่าห่วงเลยเนอะ"

"ระวังปากหน่อยชัตเตอร์ ถ้าไม่พูดเรื่องงานฉันจะถีบปากนายแล้วนะ"

"ผมชื่อชัชวาล!" พี่หมอนี่ก็เรียกชื่อเขาไม่เคยถูก "อะแฮ่ม! งานของเราในครั้งนี้คือตามหาคนหายครับ"

"คนหายแล้วให้หมอผีหาเนี่ยนะ? อย่าบอกนะว่าเป็นคนหายในถ้ำ!"

"ใช่ที่ไหนเล่าพี่หม๊อ!!"

ถึงจะหน้าฝนมีแววน้ำท่วมแต่เราอยู่ในเมืองจะไปมีถ้ำได้ยังไงเล่า

"งั้นจะให้หาคนหายเพื่อ? ตำรวจมีก็ใช้ไปสิ"

"ก็ตำรวจหาแล้วไม่เจอนี่สิครับเป็นอาทิตย์แล้วด้วย แถมยังเป็นคนต่างชาติซะส่วนใหญ่อีก เบื้องบนเลยสั่งลงมาว่าต้องหาให้เจอภายใน 48 ชั่วโมงน่ะครับ... แต่งานนี้ดูแล้วจะเกินกว่าสามารถพวกเราในการหาเพราะงั้น..."

"พี่หมอช่วยด้วย!!"

หน่วยราพณ์ทั้งสามเข้ามาหมายจะเกาะไตรวิชญ์ภายในรถอันคับแคบ หมอผีหนุ่มเลยสับสันมือใส่กลางหน้าผากไปคนละที เป็นอันหยุดชะงักเก็บไม้เก็บมือกลับไป

"แค่หาคนพวกนายยังทำเองกันไม่ได้ ให้ตายสิ อ่อนหัดกันเกินไปแล้ว"

"คืองี้นะพี่หมอ พวกเราก็ลองให้คนที่มีความสามารถในการทำนายหาดูแล้ว เราสรุปได้แค่ว่าชาวต่างชาติเหล่านั้นตายแล้ว แต่ไม่รู้ว่าตายที่ไหน เกิดอะไรขึ้นหรือเป็นฝีมือใครอ่ะ"

"อ้อ คือตายแล้วก็จะให้มาหาศพว่างั้น?"

"ใช่ครับ" ชัชวาลยิ้มเมื่อเห็นว่าไตรวิชญ์จะยอมช่วยแล้ว "เราเตรียมชื่อจริง วันเดือนปีเกิดไว้ให้แล้วครับ"

"เอามาทำไม"

"อะ... อ้าว ไม่ใช่ว่าหาคนหายหรือเรียกหาวิญญาณก็ต้องใช้ของพวกนี้ไม่ใช่เหรอ"

"นายก็เป็นพวกมีวิชานี่ ของพวกนี้ใช้รึเปล่าล่ะ"

"ไม่ครับ ผมเป็นสายใช้อาวุธต่อสู้... แต่หมอผีสายอาคมหรือทำนายก็ใช้นี่นา"

หมอผีของไทยเวลาจะประกอบพิธีเกี่ยวกับบุคคลใดไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้วก็ต้องใช้วันเดือนปีเกิดชื่อจริงนามสกุลจริงทั้งนั้น เพื่อให้มีความแม่นยำและตรงตัวบุคคลมากที่สุด

ทว่าตั้งแต่หน่วยราพณ์ทำงานกับพี่หมอมาไม่เคยรู้เลยว่าอีกฝ่ายมีวิชาในสายอะไร อาวุธก็ไม่ใช้เป็นชิ้นเป็นอัน อาคมก็เหมือนจะไม่ค่อยร่าย ยกมือขึ้นตบๆ โบกๆ แล้วจบงาน บางทีแค่พูดแล้วเดินไปเดินมาก็จบเรื่องเลย แม้แต่จะหาคนยังไม่ทำเหมือนอย่างที่หมอผีคนอื่นเขาทำกันเลย

ทุกวันนี้ยังสงสัยด้วยซ้ำว่าเป็นมนุษย์จริงๆ หรือเปล่า หรือเป็นยมทูตแปลงกายมากันแน่

"ถ้าจะหาขอแค่มีภาพถ่ายหน้าตาก็พอแล้ว" ไตรวิชญ์อีกฝ่ายอย่างเฉื่อยชา "เอาแบบชัดๆ นะ เห็นแค่เสี้ยวหน้าอย่ายื่นมาไม่งั้นเจอถีบตกรถแน่"

"ครับๆ เอะอะก็ทำร้ายร่างกาย เป็นพวกซาดิสม์เหรอพี่หมอ"

"ใช่ ฉันกำลังหามาโซคิสม์มารองมือรองเท้าอยู่ สนใจไหมล่ะชานชรา"

"ผมชื่อชัชวาล! ...แล้วก็ไม่สนใจเป็นมาโซคิสม์ด้วย ผมเป็นคนปกติครับ"

"..."

เซียร์เหลือบตามองคนที่พูดออกมาได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าปกติ ก่อนจะหามุมเหมาะๆ นั่งทอดถอนใจอย่างปลงเล็กน้อย

งานจะเสร็จช้าก็เพราะพี่หมอมัวแต่แกล้งเด็กนี่แหละ

"แต่ตั้งอาทิตย์กว่าแล้ว... ศพคงไม่เหลือซากแล้วล่ะมั้ง"

เซียร์พึมพำขณะทอดสายตามองออกไปไกลอย่างครุ่นคิด ช่วงเวลาอาทิตย์กว่า... มันช่างประจวบเหมาะอะไรอย่างนี้นะ...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel