บทที่ 10 : ก็แค่มาหา... ศพ
"เป็นที่นี่แน่นะพี่หมอ"
ชัชวาลเอ่ยถามเมื่อมองไปยังคฤหาสน์หลังใหญ่ที่หรูหราสีขาวสองชั้นที่มีหลังคาสีเทาหม่น บ้านมีสนามหญ้าและบ่อน้ำพุสวยงาม ลานจอดรถมีรถยนต์หรูราคาไม่ต่ำกว่าห้าล้านจอดเรียงราย ยิ่งมาอยู่ในหมู่บ้านโครงการของเหล่าเศรษฐีด้วยแล้ว ก็ทำให้อดคาดเดาราคาบ้านหลังนี้ไม่ได้ คงเกือบร้อยล้านบาทแน่!
พระเจ้า... ถ้าเป็นบ้านคนธรรมดาพวกเขายังพอสู้ได้... แต่กับคนรวยที่มีเส้นสายมากมาย พวกเขาจะไปประมือยังไงไหวกัน
"ที่นี่แหละ อยู่ครบทุกคนที่พวกนายตามหาเลยล่ะชักโครก"
"ผมชื่อชัชวาลว้อย!"
อาการกลัวอำนาจมืดของชัชวาลปลิวหายไปทันทีเมื่อพี่หมอเรียกชื่อใหม่ของเขา ซึ่งรอบนี้มันไม่น่าพิสมัยจริงๆ จนอดกระชากเสียงใส่ไม่ได้
"ถึงบ้านจะสว่างแต่บรรยากาศอึมครึมมากเลยค่ะ"
หญิงสาวหน่วยราพณ์พูดขึ้นขณะมองเข้าไปในบ้านอย่างขลาดกลัว แสงไฟแม้สว่างแต่บรรยากาศพิเศษยามราตรีกับคลื่นวิญญาณร้ายที่หนาแน่น ทำให้รู้สึกขนลุกชันอย่างห้ามไม่อยู่
"พลังวิญญาณสูงจริงๆ น่าจะไม่น้อยกว่าเรา"
เซียร์พึมพำดวงตาสีฟ้าใสหันไปทางศาลหนึ่งที่มีชายในชุดสีขาวดิ้นทองยืนเอามือไขว้หลังจ้องมาทางพวกเขาด้วยรอยยิ้ม ยิ่งเมื่อเห็นว่าผู้มาเยือนมองเห็นก็มาปรากฏตัวประชิดรั้วบ้านทันที
"มาทำอะไรที่นี่กันหรือท่าน"
เจ้าที่เอ่ยถามอย่างนอบน้อมต่อไตรวิชญ์ที่ยืนเอามือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋าอีกข้างกางร่มกันฝนให้ตัวเองอย่างไม่ใส่ใจใคร ชัชวาลมองไปที่ศาลตาปริบๆ แต่ก็ไม่ได้กล่าวอะไร เขาค่อนข้างชินแล้วกับการที่วิญญาณเจ้าที่หรือผีบ้านผีเรือนจะดีต่อพี่หมอนักหนา ขนาดยมทูตยังเรียกนายท่าน คงไม่ต้องบอกเลยว่าสถานะของพี่หมอนั้นไม่ธรรมดา...
แต่ไม่รู้ว่าสูงส่งมาจากไหนนี่สิ
ไตรวิชญ์ตอบคำถามเจ้าที่อย่างตรงไปตรงมา
"มาหาศพ"
"หมายถึงเหล่าหมอผีหรือท่าน?"
"ฮะ? ...อ้อ ศพพวกนั้นเป็นหมอผีหรอกเหรอ หมอผีลวงโลกหรือเปล่ามาตายกันที่นี่เนี่ย ตระกูลนี้สั่งฆ่าล่ะสิ"
"ไม่ใช่เช่นนั้น..."
"แล้วมันเป็นยังไง พูดไม่กระจ่างเลย"
"ไตร ในบ้านนั่นมีไอสีเลือดและประกายไฟ"
เซียร์เอ่ยเตือนเมื่อเห็นประกายสีแดงจากห้องๆ หนึ่งซึ่งไม่ได้เปิดไฟไว้ เป็นห้องเดียวในบ้านที่ไม่เปิดไฟและมืดครึมผิดปกติ
เปรี๊ยง!
อยู่ๆ ก็เกิดฟ้าผ่าทำให้แสงสายตาสาดเข้าไปภายในห้อง มองเห็นดวงตาสีแดงคู่หนึ่งปรากฏขึ้นและหายไปอย่างรวดเร็วเกินกว่าสายตามนุษย์จะมองทัน
ทว่าไตรวิชญ์กับเซียร์เห็นชัดเจน
ดวงตาสีแดงคู่นั้นที่ดูแล้วจอมปลอมเป็นอย่างยิ่ง และมันไอารมณ์อย่างสิ้นเชิง ไม่มีความกระหายอยากหรือความเคียดแค้นชิงชัง ดูไม่ออกว่าเป็นดวงตาของสิ่งมีชีวิตใดกันแน่
แต่ไม่ใช่มนุษย์ที่มีชีวิต
"ฉันไม่ได้คิดจะเข้าไปเอาศพหรอกนะ แค่มาช่วยหาเท่านั้น ที่เหลือก็ปล่อยเป็นหน้าที่พวกนายแล้ว"
ไตรวิชญ์พ่นลมหายใจ ดูเหมือนจะเป็นงานหนักสักหน่อยสำหรับหน่วยราพณ์แต่ไม่ใช่ธุระอะไรของเขา หน้าที่ของเขาจบลงตั้งแต่รู้สถานที่ซ่อนของศพแล้ว
"เดี๋ยวๆ พี่หมอต้องช่วยกันไปเอาศพมาสิครับ แค่หาอย่างเดียวมันจะไปพอคุ้มเงินสามแสนได้ยังไงกัน"
ชัชวาลไม่ยอมปล่อยไตรวิชญ์กลับไปง่ายๆ ค่าตัวที่แพงขนาดดารายังชิดซ้าย กลับใช้งานเพียงแค่หาของมันไม่คุ้มค่าเลยสักนิด อีกอย่าง หากปล่อยพวกเขาเข้าไปกันเองจะเหลือซากออกมาหรือเปล่าก็ไม่รู้เลย!
แค่เห็นก็รู้แล้วว่าศพหมอผีที่เจ้าที่บอกนั่นตายเพราะอะไร ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยในชีวิต ยังไงพี่หมอก็ลากต้องเข้าไปด้วยกันให้ได้
"แต่ถ้าเข้าไปมันก็จะยุ่งยากนี่หว่า"
"พี่หมอ นานแล้วที่ไม่ได้ลงมือนะ นั่นต้องผีระดับสูงแน่นอน"
"รู้ได้ไงว่าเป็นผี"
"เดาเอา"
คำตอบของชัชวาลได้รับการตอบแทนเป็นกำปั้นหนักๆ ต่อยเปรี้ยงเข้าให้อย่างไม่ปรานี ไตรวิชญ์แสยะยิ้มชั่วร้ายเผ่ากำปั้นเบาๆ อย่างยโสโอหัง
"รางวัลของการเดา ถูกใจไหมล่ะ"
"..."
สองคนจากหน่วยราพณ์ขยับออกห่างจากพี่หมอทันที ดูท่าการตอแยอีกฝ่ายในเวลานี้น่าจะไม่ใช่เรื่องดี
"ไตร ดูเหมือนว่าต้องเข้าไปเยือนสักหน่อยแล้วล่ะ"
และคนเดียวที่สยบพี่หมอได้ก็คือเซียร์ หันเหความสนใจและเปลี่ยนเรื่องได้โดยไม่ถูกหมอผีใจโฉดเขม่นเอาแม้แต่น้อย
"หืม มีอะไรเหรอเซียร์" ไตรวิชญ์เหลือบมองผีหน้าหล่อเล็กน้อย "ถ้าจะให้เก็บวิญญาณหมอผีต่างแดนพวกนั้นไปไว้บ้านล่ะก็เลิกหวังเหอะ ป่านนี้ถูกกินไปแล้วมั้ง"
"พลังวิญญาณภายในนั่นเกือบเทียบระดับเราได้เลยนะ"
"อะไรนะ!?"
พี่หมอดูกระตือรือร้นขึ้นมาทันที เซียร์ยกยิ้มหันไปมองทางเจ้าที่ของบ้านที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม เสียงเย็นชาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
"ปล่อยให้เราเข้าไปได้หรือเปล่า เจ้าที่"
"ต้องขออภัย เจ้าของบ้านไม่อนุญาตให้วิญญาณอื่นเข้ามา... ต่อให้มีท่านผู้นี้อยู่ข้างท่านก็มิอาจอนุญาตได้ครับ"
เจ้าที่โน้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อแสดงว่าจริงใจและลำบากใจ ถ้าเป็นผีอื่นเจ้าที่คงไล่ตะเพิดแล้วต่อว่าอย่างเกรี้ยวกราด แต่กับคนข้างกายท่านผู้นี้... ไม่อาจล่วงเกินได้
เซียร์ไม่มีความขุ่นเคืองใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เขาหันไปมองหน้าไตรวิชญ์แล้วเอ่ยอย่างจนใจแทน
"น่าเสียดาย ไตรคงต้องเข้าไปกับพวกเขาแล้วล่ะ"
"ไม่ได้เตรียมของสำหรับจับมาด้วยสิ"
"แค่เข้าไปดูก่อน หลังจากนั้นค่อย... หึๆ"
'คุณเซียร์หัวเราะน่ากลัวจังครับ/ค่ะ'
เหล่าหนุ่มสาวจากหน่วยราพณ์มองผีหน้าหล่อที่หัวเราะในลำคออย่างเยือกเย็น ทำเหมือนว่าถ้าหากทะลุเข้าไปภายในบ้านได้ ตัวที่อยู่ข้างในคงจะมีสภาพไม่ค่อยดีอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาแน่ๆ
"งั้นก็ไปจัดการได้แล้ว"
พี่หมอพยักพเยิดให้ชัชวาลเป็นคนออกหน้า ชายหนุ่มผงกหัวรับก่อนจะออกคำสั่งกับลูกน้องให้ติดต่อเพื่อขออนุญาตเข้าตรวจค้นสถานที่กับบ้านหลังนี้ เขาไม่มีอำนาจตรวจค้นโดยพลการได้
"จะว่าไปตระกูลนี้มีเชื้อสายของครุฑด้วยนี่นะ ถึงเชื้อสายจะจางมากแล้วแต่ก็ยังถือว่าเป็นหนึ่งในสายเลือดที่หาได้ยาก"
พี่หมอใช้เวลาระหว่างรออ่านชื่อสกุลที่ติดอยู่กับป้ายเลขที่บ้าน ในความทรงจำของเขาเหมือนจะมีชื่อสกุลนี้อยู่ น่าจะเป็นสายเลือดที่อยู่มานานกว่าห้าร้อยปี
"ถ้าตระกูลนี้ในแวดวงธุรกิจก็รู้จักกันในชื่อของเศรษฐีเก่าแก่" ถ้าเป็นเรื่องตระกูลใหญ่ในประเทศเซียร์ก็พอรู้จัก "มีธุรกิจในครอบครองอยู่บ้าง เล่นการเมืองด้วยนะ... ในสมัยที่เรายังมีชีวิตอยู่ก็ถือว่ามีฝีมือที่ดี เสียก็แต่ทายาทหลักตระกูลอายุสั้นไปหน่อย"
"ทายาทหลักตายหมดแล้วงั้นเหรอ?"
"เราเองก็ไม่แน่ใจ ตอนนั้นคนในตระกูลหลงประสบอุบัติเหตุน่ะ เหลือรอดมาคนเดียว... ซึ่งจะจริงเท็จแค่ไหนเราก็ไม่ได้ใส่ใจนัก ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเขาด้วย"
"อ้อ"
ไตรวิชญ์พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ถึงจะบอกว่าไม่มีความสัมพันธ์อันดีแต่ก็ไม่ได้แปลว่าเป็นปรปักษ์ ฉะนั้นถึงไม่ได้เห็นอยู่ในสายตาและไม่คิดสืบหาเรื่องราว ข้อมูลนี้ที่ได้จากเซียร์ก็คงมีเท่านี้
"ติดต่อได้แล้วครับพี่หมอ" ชัชวาลหันหลับมาบอกหลังจากได้รับคำอนุญาตแล้ว "อีกสักครู่เจ้าบ้านก็จะมาเปิดประตูให้... เอ่อ พี่หมอต้องทำตัวเหมือนมนุษย์เข้าไว้นะครับ"
ไตรวิชญ์ชักสีหน้าทันที
"แล้วฉันไม่เหมือนมนุษย์ตรงไหน?"
"..."
นี่พี่ท่านยังไม่รู้ตัวอีกเหรอว่าไม่เหมือนมนุษย์ตรงไหน ก็ไม่เหมือนทุกตรงยกเว้นภาพลักษณ์ภายนอกน่ะสิ!
ถ้าไม่ติดเกรงใจมือเท่าอันแข็งแกร่งของเขา พวกชัชวาลคงแหกปากบอกความในใจไปหมดเปลือกแล้ว
ไม่นานนักก็มีคนมาเปิดประตูบ้าน เป็นคนสวนที่ถูกจ้างมาก เขาต้อนรับพวกชัชวาลอย่างนอบน้อม ไตรวิชญ์เดินเข้าไปภายใน พอเซียร์จะเดินเข้าไปก็ถูกขวางกั้น
"ทำอะไรเจ้าที่ เจ้าบ้านอนุญาตแล้วไม่ใช่หรือ"
เซียร์หรี่ตามองอย่างเหยียบเย็นไปทางเจ้าที่ แรงกดดันที่ส่งออกมานั้นมากพอที่จะข่มให้อีกฝ่ายตัวสั่นได้ เจ้าที่เอ่ยออกมาเสียงสั่นเทา
"ผู้อนุญาตมิใช่เจ้าบ้านที่แท้จริง ฉะนั้นแล้วไม่อาจอนุญาต ขอท่านโปรดเข้าใจข้าด้วย"
"อ้อ ไม่ใช่เจ้าบ้านที่แท้จริงสินะ" ไตรวิชญ์โบกมือเบาๆ อย่างไม่ใส่ใจ "เซียร์รออยู่ตรงนี้แหละ ฉันเข้าไปแป๊บเดียวก็ออกมาแล้ว"
"ได้ อย่านานนัก"
"จ้าๆ คุมเข้มเป็นคุณพ่อเลยนะ"
"..."
เซียร์มองค้อนหมอผีปากเสียเล็กน้อยแล้วยืนรออยู่ภายนอกอย่างใจเย็น เจ้าที่เจ้าทางที่ยืนเฝ้าอย่างหวาดหวั่นมาตั้งแต่เมื่อครู่โค้งให้เล็กน้อยเมื่อพวกเขาเดินผ่านก่อนจะกลับไปประจำอยู่ที่ศาลตามเดิม
ภายในบ้านมีการต้อนรับอย่างมีมารยาทต่อคนของภาครัฐ ดูจากสีหน้าและท่าทางของอีกฝ่ายแล้วเหมือนจะไม่รู้เรื่องรู้ราวของคนจากหน่วยราพณ์เลย รู้เพียงว่าเป็นคนของรัฐเท่านั้นเอง
ตระกูลสายรองพวกนี้แปลกๆ
ไตรวิชญ์ทักทายพวกเขาพอเป็นพิธี มารยาทของเขายังคงเส้นคงวาสุดๆ ต่อให้อีกฝ่ายมีฐานะร่ำรวยไม่ได้อาจทำให้พี่หมอพูดเสียงหวานได้
"พวกคุณมาตามหาคนต่างชาติใช่ไหมคะ"
คุณนายของบ้านเอ่ยด้วยน้ำเสียงจีบปากจีบคอ ฟังแล้วชวนขมวดคิ้วพิลึก แต่ชัชวาลก็ยังต้องตอบกลับไปอย่างมีอัธยาศัย
"ใช่แล้วครับ พวกผมมาตามหาตัวคนตามคำสั่งของภาครัฐ... คือผมเห็นว่าพวกเขาทำอาชีพเกี่ยวกับวิญญาณด้วย พวกคุณจ้างมาปราบอะไรในบ้านเหรอ"
"ค่ะ พอดีว่า..."
"เรามาตามแค่ศพไม่ได้มาเผือกเรื่องชาวบ้านนะเว้ยชาอู่หลง"
"ผมชื่อชัชวาล!"
พี่หมอนี่ก็ชอบขัดจังหวะชาวบ้านเขาเหลือเกินนะ
"เลิกอ้อยอิ่งแล้วไปหาได้แล้ว"
"ไม่ใช่ว่าพี่หมอรู้อยู่แล้วเหรอครับว่าอยู่ไหน"
"รู้" ไตรวิชัญปรายตามองคุณผู้หญิงของบ้าน "แต่คุณนายจะอนุญาตให้เดินไปหรือเปล่าเท่านั้นแหละ มันไม่น่าจะอยู่ในส่วนที่คนไม่เกี่ยวข้องจะเข้าได้หรอกใช่ไหม?"
"คุณ... คุณรู้อะไร!?"
"ก็ไม่รู้ แค่จับสัมผัสความตายได้เท่านั้นเอง"
"..."
สีหน้าของเธอดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่พี่หมอก็ไม่ได้สนใจขนาดนั้น ตอนนี้เขามีหน้าที่ต้องทำก่อนไม่อย่างนั้นก็คิดเสนอขายประกันอยู่
ท่าทางจะหลอกฟันเงินง่ายๆ
"คุณนาย ถ้าไม่อยากให้เป็นปัญหาก็พาพวกเราไปเถอะครับ พวกเราต้องการแค่ศพไม่ได้จะมาทำอะไรที่เป็นอันตราย แต่ถ้าไม่ได้ศพกลับไปนี่แหละที่อันตรายอย่างแท้จริง"
"แล้วเขา..."
คุณนายเหลือบมองไตรวิชญ์เล็กน้อย ชัชวาลหัวเราะแล้วเอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงมั่นใจเป็นอย่างมาก
"ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ถึงจะเห็นเขาเป็นอย่างนั้น แต่พี่หมอน่ะ... เป็นมือดีที่สุดของพวกเราแล้วครับ... ในเรื่องเหนือธรรมชาตินะ"
คุณนายตาวาวขึ้นมาทันที จับจ้องไปยังพี่หมองไม่วางตาก่อนจะเปิดทางให้พวกเขาผ่านไปได้ โดยมีคนรับใช้เป็นผู้นำทางไปยังปีกซ้ายชั้นสองของบ้านหลังใหญ่
พวกชัชวาลเดินตามหลังคนใช้ไปในขณะที่พี่หมอรั้งท้าย ในเมื่อมีคนนำทางแล้วเขาก็ไม่จำเป็นต้องเดินนำอีก ดวงตาสีดำขลับกวาดมองไปรอบๆ คล้ายจะสนใจแต่ก็ไม่แสดงอารมณ์ออกมาให้เห็นว่าสนใจอะไร
จนพวกเขาเดินมาถึงห้องหนึ่ง ทางเดินเปิดไฟสว่างแต่บรรยากาศกลับดูอึมครึม แสงไปดูสลัวอย่างผิดปกติ พลังวิญญาณเข้มข้นที่แผ่ออกมามีไอร้อนเหมือนสายลมร้อนที่พร้อมจะเกิดประกายไฟแผดเผา...
เป็นพลังวิญญาณที่พิเศษจริงๆ
"เปิดประตูเข้าไปสิ"
ไตรวิชญ์พยักพเยิดให้คนในหน่วยราพณ์เปิดประตูที่ดูแล้วไม่น่าจะล็อก ชายหนุ่มสวมแว่นเดินเข้าไปเปิดอย่างเชื่อฟัง
ทันทีที่ประตูเปิดออกลมร้อนระอุก็พัดใส่หน้าหนุ่มแว่นอย่างจัง เขาร้องลั่นก้าวถอยหลังด้วยความกลัว พี่หมอพ่นลมหายใจเฮือก เดินไปขวางหน้าโบกมือครั้งหนึ่งเกิดเป็นพลังวิญญาณสีเงินเบาบางกระจายพลังวิญญาณที่ร้อนระอุนั้นหายไปในชั่วพริบตา
ดวงตาสีดำมีประกายไฟสีแดงไหววูบ กวาดตามองไปรอบห้องที่มืดมิดแต่ไม่อาจปิดปั้นการมองเห็นของหมอผีหนุ่มได้ แม้ว่าในสายตามนุษย์ห้องนี้จะว่างเปล่ามากก็ตาม
"ขะ... ขอบคุณครับพี่หมอ"
หนุ่มแว่นเมื่อถูกช่วยไว้ก็รีบเอ่ยขอบคุณ รู้สึกดีใจจริงๆ ที่หัวหน้าชัชวาลจ้างพี่หมอมาด้วยแบบนี้ แต่ไตรวิชญ์ไม่ไดสนใจพวกเนากลับถามไปเรื่องอื่น
"มองเห็นศพกันหรือเปล่า"
"ไม่ครับ เห็นแค่ห้องว่างๆ"
ชัชวาลที่ก้าวตามหลังพี่หมอเข้าไปในห้องกวาดตามองสองสามรอบแล้วก็ไม่เห็นอะไรสักอย่างนอกจากห้องเปล่าๆ ที่ไร้ฝุ่น...
สะอาดเอี่ยมเหมือนเพิ่งสร้างใหม่เลย
ห้องที่ไม่ค่อยมีคนอยากเข้าจะสะอาดได้ขนาดนี้?
"อำนาจไม่ธรรมดา" ไตรวิชญ์ยิ้มอย่างพอใจแวบหนึ่ง เดินเข้าไปในห้องอย่างไม่สนสายตาใคร แล้วยกขาขึ้นถีบเปรี้ยงใส่อากาศที่ว่างเปล่า
เพล้ง!
ภาพที่ถูกคนเห็นแตกกระจายออกราวกับภาพกระจกที่ถูกทำลาย สภาพห้องที่แท้จริงปรากฏสู่สายตา ห้องที่เคยสะอาดเอี่ยมบัดนี้เต็มไปด้วยฝุ่นผงและคราบเลือดอย่างชัดเจน ในห้องยังคงไร้ข้าวของตกแต่ง ที่เห็นเป็นกระเป๋าของคนอื่นสี่ห้าใบ มองเลยไปยังมุมหนึ่งก็จะเห็นร่างไร้ชีวิตที่กองรวมกันอยู่ใบหน้าเขียวคล้ำดวงตาเบิกโพรง ที่คอของแต่ละคนมีรอยเหมือนถูกอะไรบางอย่างรัดคอ ไม่ก็ถูกของมีคมทิ่มแทง
ไตรวิชญ์เลิกคิ้วมองศพที่พวกเขาตามหาก่อนจะเงยหน้ามองเพดานที่มีเชือกผูกไว้อย่างโจ่งแจ้ง ส่วนมีดก็ปักอยู่ที่ร่างของศพอย่างมั่วๆ เหมือนฆ่าเสร็จก็จบ ไม่คิดเก็บกวาดหลักฐาน
"นี่ฝีมือโจรหรือผีกันแน่น่ะ"
ชัชวาลมองศพพวกนั้นแล้วหน้าซีด ที่กองๆ รวมนั้นเป็นคนที่เขาตามหาทั้งนั้น... ห้าศพเลยนะ ตายไม่เหมือนฝีมือผีเท่าไหร่เลย
"ฝีมือผี"
"แน่ใจเหรอพี่หมอ"
"ก็... นั่นไงตัวการ"
ดวงตาสีดำสนิทเลื่อนไปมายังกำแพงด้านหนึ่ง มีเงาร่างหนึ่งยืนหน้าเคร่งขรึมอยู่มองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน แต่ที่เด่นชัดคือนัยน์ตาสีแดงสดที่จ้องมาที่พวกเขาเขม็ง
เหล่าผู้มีพลังวิญญาณรู้สึกได้ คลื่นวิญญาณและพลังวิญญาณที่อยู่รอบๆ นั่นหนาแน่นและร้อนระอุเป็นอย่างยิ่ง พวกเขากลืนน้ำลายอย่างฝืดคอเมื่อได้สบตาสีแดงไร้อารมณ์คู่นั้น ชักรู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมาอย่างประหลาด
ร่างเงาตรงหน้า... เป็นผีหรือปีศาจ?
