บท
ตั้งค่า

บทที่ 7 : ไขคดีสไตล์หมอผี

"ไม่ครับ!"

"เถอะน่า... นิดๆ หน่อยๆ เองนะคิม"

"ไม่เอาครับ!"

"ครั้งเดียวเองนะ"

"ก็บอกว่าไม่ไงครับ!!"

"แค่แปลงร่างเป็นค้างคาวแค่นี้ ทำไมเรื่องมากจังล่ะเฮ้ย"

ไตรวิชญ์เบ้ปากเมื่อง้อก็แล้ว อ้อนก็แล้ว อีกฝ่ายไม่ยอมตกปากรับคำสักที กับแค่แปลงร่างเป็นค้างคาวบินกลับไปยังศพเพื่อหาหลักฐานและสร้างหลักฐานเท่านั้นเอง

"ยังไงผมก็ไม่แปลงร่างเป็นค้างคาวเด็ดขาด!"

คิมพูดเสียงแข็งสีหน้าจริงจัง พลางเหลือบสายตาไปมองไอยรินทร์ที่ยิ้มอ่อนอยู่กับที่แต่ตัวสั่นไหวจนมองหน้าไม่ชัดเจนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ถ้าจะกลั้นหัวเราะตัวสั่นขนาดนั้น หัวเราะออกมาเถอะครับ!

"หึๆ อะแฮ่ม ไม่ต้องแปลงร่างค้างคาวก็ได้นี่สาวน้อย จะเดินเข้าไปตรงๆ ก็แค่มีคนมองมากหน่อยเท่านั้น"

"ไม่พูดก็ไม่มีใครว่าคุณเป็นใบ้หรอกนะ!"

"เอาน่าๆ แต่ปู่พูดก็ถูกนะคิมถ้าไม่ใช่ร่างเล็กๆ ก็อาจจะถูกจับผิดได้ เดี๋ยวคนร้ายจะไหวตัวทัน"

พี่หมอยังคงพยายามเกลี่ยกล่อม

ในคดีครั้งนี้เขายังไม่รู้ตัวคนร้ายและแรงจูงใจในการฆ่า แต่เขารู้วิธีที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ขึ้นจากการคาดเดาแล้วซึ่งกำลังให้คิมสำรวจไปเก็บหลักฐาน ถ้าทำได้ดีการคลี่คลายคดีก็จะจบเลยในวันนี้

"ผมยอมช่วยแต่ไม่แปลงร่างเป็นค้าวคาวเด็ดขาด" คิมยื่นคำขาดแล้ว "ยมทูตไปกับผม ส่วนคุณกับคุณไตรก็ไปดูอีกส่วนแล้วกัน ในอีกหนึ่งชั่วโมงมาเจอกันครับ"

พูดจบก็เดินหนีไปพร้อมกับคว้ายมทูตน้อยไปด้วย ปล่อยให้ไตรวิชญ์และไอยรินทร์มองตามหลังไปตาปริบๆ จากนั้นก็หันมามองคนที่น่าจะเป็นต้นเหตุ

"เมื่อก่อนปู่กับคิมมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นป่ะ ทำไมไม่ยอมเปลี่ยนร่างค้างคาว ทุกทีไม่เห็นเป็นงี้เลย"

"ก็ไม่มีอะไรหรอก... แค่เรื่องเก่าๆ ฮ่าๆ"

"มันคงเป็นเรื่องไม่ดีแหง"

"ไม่ดีไม่ร้าย"

"เหรอ"

"ไม่คิดจะเสือกหน่อยหรือ?"

ปู่มองหน้าไตรวิชญ์ที่แค่รับคำแล้วก็หันไปสนใจอย่างอื่นแทน นี่พูดให้อยากรู้แล้วนะ หมอผีนี่ยังไง เห็นแก่เงินก็เท่านั้นแต่ดันไม่มีความอยากรู้อยากเห็น

"ไม่ล่ะ ตอนนี้เวลาหาตังค์ เรื่องปู่ไว้ถึงบ้านค่อยว่ากัน"

ไม่ใช่ไม่อยากรู้แต่เงินมาก่อนสิ่งอื่นใด ปู่นี่ไม่เข้าใจเขาเลย

หนึ่งหนุ่มหนึ่งวิญญาณกึ่งศักดิ์สิทธิ์เดินไปสำรวจตามพื้นที่ต่างๆ ทำเหมือนว่ากำลังหาเบาะแส แล้วยังถามความสัมพันธ์ของคนภายในด้วย

ครู่หนึ่งก็มีนักข่าวมายืนรอทำข่าวแล้ว ไตรวิชญ์ไม่ชอบออกสื่อ เขาเลยพยายามหลบมุมเข้าไว้ แต่เพราะหน้าตาโดดเด่นเกินไปจึงทำให้นักข่าวหลายสถานีเหลือบมามองหลายๆ ครั้งอย่างอดไม่ได้

จนกระทั่งมีคนอดใจไม่ไหวเดินมาถาม

"สวัสดีค่ะ"

"สวัสดี" ไตรวิชญ์ยิ้มตอบ "ไม่ทราบมีธุระอะไรกับฉันเหรอ"

"คุณเป็นผู้เห็นเหตุการณ์คนแรกใช่ไหมคะ พวกเราขอสัมภาษณ์..."

"ขอโทษด้วย ฉันไม่ชอบออกสื่อ"

"แต่ว่า..."

"คุณกำลังละเมิดสิทธิ์ส่วนบุคคล?"

"ไม่ใช่ค่ะ! พวกเราแค่จะนำเสนอข่าวที่เป็นความจริงเท่านั้น"

"อ้อ แล้วจะมาสัมภาษณ์ฉันทำไม ฉันให้ข้อมูลเป็นจริงกับตำรวจไปแล้ว ไม่ไปถามตำรวจล่ะ"

"เรื่องนี้..."

"อีกอย่างฉันพูดไปก็เหมือนคนอื่นๆ ไม่ได้อะไรเพิ่ม อย่าเสียเวลาเลย"

"เดี๋ยวค่ะคุณ!"

"คุณไตรกำลังทำอะไรอยู่ หืม..." เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นอย่างฉงนเมื่อเห็นมีผู้หญิงมาเกาะแกะหมอผีหนุ่ม ดวงตาสีน้ำเงินมองสำรวจอีกฝ่ายก่อนจะหันไปมองไตรวิชญ์ "หว่านเสน่ห์อยู่เหรอครับ"

"ใครจะไปทำอะไรแบบนั้นกัน ฉันหล่อสาวหลงตามธรรมชาติเถอะ"

"กล้าพูดนะครับ ว่าแต่เขามาทำอะไร?"

"ไม่จำเป็นต้องสนใจหรอก" ไตรวิชญ์เดินเข้าไปหาคิมแล้วปรายตามองนักข่าวที่ยืนอึ้งกันเป็นทิวแถว "ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็ขอตัวก่อนล่ะ ไปกันเถอะคิม"

คิมมองเหล่านักข่าวแวบหนึ่งก่อนจะเดินตามไตรวิชญ์ไป กว่านักข่าวเหล่านั้นจะได้สติพวกไตรวิชญ์ก็หายไปจากสายตาของนักข่าวแล้ว

ที่ชั้นสองของโรงแรม ห้องหนึ่งที่ถูกเปิดไว้เป็นที่ประชุมพิเศษของหมอผีและนายตำรวจผู้จ้างวาน พวกเขานักคุยกันถึงหลักฐานและคำให้การของแต่ละคนภายในบริษัท

"ผู้ตายคนแรกเป็นหนึ่งในคณะกรรมการบริหารของโรงแรมครับ ส่วนอีกคนเป็น RM1 ของโรงแรม จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบสารเสพติดในร่างกายของทั้งคู่ คาดว่าที่ตกตึกและวิ่งออกไปให้รถชนน่าจะเป็นผลจากยาเสพติดครับ"

"คุณคิดอย่างนั้นเหรอ?" ไตรวิชญ์ถาม "ไม่มีจุดน่าสงสัย?"

"มันก็มีครับ อย่างการที่อยู่ๆ ก็กระโดดจากห้องพักหลังมาตรวจดูโรงแรมเป็นการส่วนตัว มีข้อสงสัยหลายอย่างแต่ยังไม่พบหลักฐานในตอนนี้"

"เปิดดูกล้องวงจรปิดแล้วหรือยัง"

"ดูแล้ว นอกจากผู้บริหารที่ตายไปก็ไม่มีใครเข้าไปในห้องนั้น"

"ไม่มีเลยเหรอ ถึงแม้จะไม่ได้เข้าแต่อุบัติเหตุที่เกี่ยวกับไฟฟ้าและกล้องวงจรปิดล่ะมีไหม"

"เรื่องนี้ผมไม่ได้ถาม รอสักครู่ครับ" นายตำรวจหันไปโทรสั่งการลูกน้องชั้นล่าง ไม่นานก็ได้คำตอบกลับมา "ได้เรื่องแล้วพี่หมอ มีคนบอกว่าช่วงหนึ่งชั่วโมงก่อนผู้บริหารเข้าไปอยู่ๆ กล้องก็เสียให้คนไปซ่อมแค่สิบนาทีก็กลับมาใช้ได้แล้วน่ะ แบบนี้..."

"ก็พอมีความเป็นไปได้อยู่ว่าจะเป็นการฆาตกรรม"

"ใช่ แต่ใครล่ะ?"

"ยังต้องคิด?" ไตรวิชญ์หัวเราะแล้วเปลี่ยนเรื่อง "แล้วทางผู้ตายคนที่สอง ตอนก่อนและหลังเกิดเหตุอยู่ที่ไหน"

"เขาก็ทำหน้าที่ปกตินะครับ จะมีแปลกก็คงการสุ่มเช็คห้องพักที่ว่างอยู่ว่าเรียบร้อยไหม"

"หืม? งั้นเหรอ..."

"คิดว่าผู้ตายคนที่สองเป็นฆาตกรเหรอพี่หมอ"

"ก็ถึงได้พูดไงว่ายังต้องคิด? ...ใช่ไหมคิม?"

พี่หมอหันไปมองคิมที่นั่งนิ่งยิ้มอ่อนๆ อยู่ข้างๆ แวมไพร์คนสวยพยักหน้า

"เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผู้มีพลังวิญญาณ ผมคิดว่าคุณไม่น่าจะต้องการหลักฐานที่เชื่อถือไม่ได้จากทางนั้นหรอกนะครับ"

"เกี่ยวข้องงั้นเหรอครับ?"

อยู่ๆ นายตำรวจก็ขนลุกอย่างไม่ทราบสาเหตุ

"เกี่ยวครับ... เล่าเลยไหมครับคุณไตร?"

"เดี๋ยวก่อน ปู่ช่วยทำให้ห้องนี้ห้ามคนสอดส่องหน่อย"

"ข้าไม่ใช่เจ้าที่นะจะได้ปิดบังอำพรางอาณาเขตได้" ไอยรินทร์บ่นทั้งที่ยิ้มๆ "อีกอย่างไม่มีตะพดใช้พลังได้ไม่เต็มที่น่ะ"

"โหยปู่ ไม่ได้เรื่องเลยอ่ะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซะเปล่า"

"เอ่อ พูดอยู่กับใครครับ" นายตำรวจหันซ้ายหันขวา มองไม่เห็นใครสักคน "ถ้าจะปิดกั้นไม่ให้คนแอบฟัง ลูกน้องผมหน้าห้องก็คงกันได้..."

"ไม่ได้หมายถึงกันสิ่งที่เป็นคน กันพวกไม่ใช่คนต่างหากล่ะ"

"..."

"เอาเหอะ ทำเองก็ได้"

ไตรวิชญ์คว้าเอาขมวดน้ำขึ้นมาเปิดฝาแล้วสาดออกไปอย่างลวกๆ น้ำที่ออกจากขวดหายไปอย่างไร้ร่องรอยก่อนที่จะสัมผัสโดนสิ่งใด สายตาของมนุษย์ไม่มีวันมองเห็นเขตอาคมธาตุน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่ป้องกันรอบห้องไว้อย่างแน่นหนา

ปู่มองม่านป้องกันออย่างชื่นชมสร้างได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากกว่าที่คิดทั้งที่แค่ทำอย่างลวกๆ ส่วนคิมนั้นชินชากับท่าทางใช้พลังวิญญาณสบายๆ นั่นไปแล้ว

"มาต่อกันเลยดีกว่า จากที่คิดไปหามาดูเหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับหมอผีตะวันตกน่ะ ถูกเรียกว่าเนโครแมนเซอร์ พอจะรู้จักไหม?"

"ไม่ค่อยคุ้นครับ"

"เป็นผู้ใช้ซากศพ คนตาย แต่ก็มีความรู้เรื่องของวิญญาณด้วยเหมือนกัน" ไตรวิชญ์เปลี่ยนท่านั่งเป็นไขว่ห้างเท้าคางมองด้วยท่าทางยโส "ถ้าจะพูดว่าเกี่ยวข้องกับคดียังไงก็ต้องพูดว่า ผู้ตาย RM นั่นไม่ใช่คนที่สอง แต่เป็นคนแรกต่างหาก"

"เอ๋?"

นายตำรวจมองตาโตอย่างไม่เข้าใจ พี่หมอให้คิมอธิบายต่อ

"คืออย่างนี้ครับคุณตำรวจ RM คนนั้นความจริงแล้วเขาควรจะตายตั้งแค่เมื่อคืนจากอุบัติเหตุรถชนจริงๆ แต่ทว่ายังมีชีวิตอยู่จนถึงก่อนหน้านี้ถึงวิ่งออกไป เรื่องนี้เราถามจากยมทูตที่มารับวิญญาณของเขา"

"อะ... อ้อ..."

ยมทูตก็อยู่ด้วยเรอะ นายตำรวจเหงื่อแตกพลั่ก

"วิญญาณของเขาถูกดึงออกไปและถูกควบคุม แล้วมาก่อเหตุฆาตกรรมผู้บริหารครับ"

"เดี๋ยวก่อน เขาก่อเหตุได้ยังไง ในเมื่อเขามีพยานรู้เห็นนี่แล้วก็ไม่ได้เข้าห้องไปหาตัวผู้ตายในช่วงเวลาทีเกิดเหตุด้วยนะ"

"เรื่องนี้..."

"ถ้าเอาในทางวิทยาศาสตร์ไม่มีทางได้คำตอบหรอก แต่จะอธิบายให้ฟังก็แล้วกัน" เมื่อเห็นคิมอธิบายไม่ได้พี่หมอที่มีความสามารถในการแถก็เริ่มพูด "อันดับแรกย้อนกับไปที่เวลาก่อนผู้บริหารจะถูกฆาตกรรม ในช่วงเวลานั้นมีกล้องพัง และพังที่ชั้นเดียว ชั้นอื่นไม่พังถูกไหม?"

"ถูกครับ ลูกน้องผมยืนยันเรื่องนี้"

"ในช่วงเวลานั้น RM อยู่ที่ไหน? ฉันคาดการว่าเขาอยู่ภายใต้การสอดส่องของกล้องวงจรปิดเพียงไม่กี่วินาทีก่อนจะหายไปและเขาก็อยู่ชั้นบนเหนือชั้นที่ผู้บริหารอยู่หนึ่งชั้นหรือต่ำกว่าหนึ่งชั้น ช่วงจังหวะที่รอช่างขึ้นไปซ่อม ขึ้นลิฟท์ใช้เวลาอย่างน้อยห้านาที... ในช่วงเวลาห้านาทีนั้นเหลือเฟือแล้วที่คนๆ จะเดินขึ้นหรือเดินลงชั้นหนึ่งเพื่อไปยังห้องเป้าหมาย ยิ่งฆาตกรเป็นคนคุ้นเคยการจะเข้าไปในห้องเพื่อพูดคุยไม่ใช่เรื่องยาก"

"แต่ว่าเขาทำอะไรกันภายในห้องตั้งหนึ่งชั่วโมงถึงเกิดเหตุล่ะครับ แล้วยังอยู่กับศพอีก"

"อีกฝ่ายไม่น่าจะรู้หรอกว่าเป็นศพ ก็คงคุยกันหรือทำอะไรสักอย่างแบบเรทเยาวชนเข้าไม่ถึงก็ได้ เรื่องนี้เป็นหน้าที่ตำรวจที่ต้องสืบนะ เข้าใจ๋?"

"..."

ไอ้เรทเยาวชนเข้าไม่ถึงนั่นมันอะไร!

แล้วอีกอย่างผู้ตายนี่ก็ชายทั้งคู่ด้วยนะเฟ้ย!!

ถึงประเทศจะเปิดกว้างแต่พูดอะไรก็เกรงใจผู้ตายหน่อยเถอะ นี่ถ้าวิญญาณยังอยู่แถวนี้ไม่ร้องไห้น้ำตาเป็นเลือดแล้วหรือ

"แล้วทำยังไงถึงออกมาจากห้องแบบคนอื่นจับไม่ได้กันล่ะ"

"เรื่องนี้ง่ายจะตาย ก็ใช้การไต่ออกทางระเบียงจากชั้นบนลงมาชั้นล่างในระหว่างที่ศพร่วงลงมายังไงล่ะ ใช้เส้นเอ็นผูกไว้แล้วไต่ลงมากระโดดเข้าระเบียงห้องข้างล่าง จากนั้นก็ทำทีเป็นมองลงมาจากระเบียง ก่อนจะวิ่งขึ้นไปยังห้องของผู้ตายเพื่อเก็บเส้นเอ็นก่อนตำรวจมา"

"แต่ใช้เส้นเอ็นนี่ไม่บาดมือเหรอ"

"ถ้าใส่ถุงมือซะอย่างไม่มีปัญหามั้ง อีกอย่างนั่นเป็นศพที่ถูกควบคุมไม่สนใจอาการบาดเจ็บหรอก" ไตรวิชญ์ไหวไหล่ "คุณก็ลองให้คนตรวจสอบกล้องวงจรปิดจับตาดูดีๆ ถึงช่วงเวลาเข้าออกห้องเหล่านั้น แล้วก็ตรวจศพดีๆ คิดว่าที่มือน่าจะมีร่องรอยอยู่บ้าง ส่วนผู้บริหารที่ตายไปนั้นร่างกายน่าจะมีช้ำมากกว่ารอยกระแทกจากการตกที่สูงนะ"

"ร่างที่ตกมาจากที่สูงกว่าสิบขั้นก็ไม่ได้สมบูรณ์อยู่แล้วถ้าตรวจละเอียดต้องใช้เวลา"

"โอ้ ลำบากแย่เลยนะตำรวจเนี่ย แนะนำวิธีลัด---"

"ถ้าจะแนะนำผีก็ไม่ต้อง!!"

"เปล่า จะแนะนำยมทูต"

"นั่นก็ไม่เอาเว้ย!!"

"ชิ!"

คิมและไอยรินทร์หัวเราะขบขันในลำคอกับท่าทางเดาะลิ้นอย่างขัดใจของพี่หมอ ชอบแกล้งหลอกให้คนอื่นกลัวผีกันเหลือเกิน โดยเฉพาะกับตำรวจเนี่ย

"แล้วคนร้ายตัวจริงเป็นใครกันล่ะ" นายตำรวจทำหน้าครุ่นคิด "เป็นหมอผีตะวันตกงั้นเหรอ แต่เขามีความแค้นอะไรกันแน่ถึงได้..."

"นี่นายยังจะสงสัยอีกเหรอ"

"พี่หมอผมไม่เหมือนคุณที่แค่เอ่ยปากผีก็บอกหมดเปลือกนะ อีกอย่างผีบอกนี่มันไม่เป็นวิทยาศาสตร์ไม่ใช้พยานที่มองเห็นได้"

"ก็รู้ ไม่งั้นจะมานั่งวิเคราะห์ให้นายฟังเพื่ออะไรล่ะเฮ้ย"

ถูกแล้ว ระดับเขาคิดจะไขคดีไม่จำเป็นต้องหาหลักฐาน แค่ลากตัววิญญาณผู้ตายออกมาก็ไขกระจ่างทุกสรรพสิ่ง แต่พอดีว่าวิญญาณเจ้าปัญหานั่นดันถูกกักขังไว้ที่ไหนก็ไม่รู้ ถึงต้องลำบากให้คิดกับยมทูตออกไปถามพวกวิญญาณที่ป้วนเปี้ยนในโรงแรมเพื่อวิเคราะห์และยืนยันการคาดเดานี่แหละ

นี่ถ้ายอมแปลงร่างเป็นค้างคาวเข้าห้องเนโครแมนเซอร์ด้วยจะแจ่มมาก

ต่อให้เป็นผู้ใช้ศาสตร์แห่งความตายก็สู้แวมไพร์เลือดแท้ระดับคิมไม่ได้ แต่ถึงคิมไม่สู้แค่เข้าไปโฉบเอาวิญญาณสักดวงออกมาก็สบายแล้วแท้ๆ จะได้ไม่ต้องลงแรงปะทะกัน

"เอาเหอะ นี่ก็ถือว่าไขคดีแล้ว ถ้าไม่เอาพวกที่เกี่ยวกับไสยศาสตร์ RM คนนั้นก็เป็นฆาตกรคดีฆ่าคนตายแล้วหนีความด้วยการฆ่าตัวตายล่ะนะ"

"..."

"ถึงในทางของพวกเราเหล่าหมอผีจะถือว่าเป็นแพะรับบาปก็เถอะ"

"ไม่มีทางรู้ตัวคนร้ายตัวจริงเลยหรือครับ?"

"ก็ถ้าอยากรู้ ไปบีบคั้นหรือจ่ายเงินให้เนโครแมนเซอร์นั่นสักหน่อยมันก็คงยอมบอกง่ายๆ เองแหละ กับศาสตร์ที่มนุษย์ธรรมดาพิสูจน์ไม่ได้ คนพวกนี้ไม่มีทางที่ตำรวจจะจับได้อยู่แล้ว ต้องยัดเงิน"

"...หมอผีที่เห็นแก่เงินกันหมดรึไงเนี่ย!!"

"เฮ้ พูดอะไรอย่างนั้น หมอผีก็คนนะ ก็ต้องกินต้องใช้เป็นธรรมดา!" อย่าพูดเหมือนเป็นอาชีพฟรีแรงงานอย่างนั้นสิ "เอ้อ แล้วถ้าจะไปคุยก็อยู่ห้องข้างๆ ผู้ตายนั่นแหละ แล้วก็แลกเอาวิญญาณของ RM คนนั้นมาด้วยนะ บอกว่ายมทูตฝากมา อย่าให้ต้องลงมือ ถึงยมทูตจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับมนุษย์แต่ใช่ว่าลงมือไม่ได้"

ไตรวิชญ์มองนายตำรวจด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอย่างชั่วร้าย ดวงตาสีดำมีประกายสีแดงเพลิงวูบไหวก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว บรรยากาศเย็นขึ้นจนน่าขนลุกกดดันหายใจติดขัด แสงภายในห้องสลัวลงอย่างไม่น่าเชื่อ

นายตำรวจกลืนนำลายอย่างฝืดคอก่อนจะพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง บรรยากาศอึดอัดเหล่านั้นก็ปลิวหายไป ห้องพลันสว่างสดใสตามเดิมราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

"ดีแล้ว เท่านี้ก็ถือว่าช่วยปิดคดีแล้วนะ?"

"อะ... เอ่อ ครับ..."

"งั้นก็โอนเงินเข้าบัญชีเดิมล่ะ"

"ครับ..."

"เอาล่ะ เราก็กลับบ้านกัน หุๆ วันเดียวได้ตั้งสองงานสบายใจจริงๆ"

ไตรวิชญ์ลุกขึ้นจากเก้าอี้โบกมือสลายเขตอาคมอย่างรวดเร็วแล้วเดินออกไปจากห้อง ตามด้วยเหล่าสมุนที่เหมือนมาแค่ดูอย่างเดียวไร้บทบาท เมื่อเหลือกันตามลำพังก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังกับยมทูต

"หมอผีนั่นเข้าถึงไม่ได้กันสินะ"

"ดูเหมือนจะรู้ตัวก่อนครับ แต่ก็ไม่ได้หนีทำเพียงป้องกันอาณาเขตตัวเองอย่างดี"

"ก็คิดไว้แล้ว" พี่หมอแสยะยิ้มเย็น "แบล็กลิสต์หมอนั่นไว้ เดี๋ยวมาคิดบัญชีภายหลัง ฉันมีลางสังหรณ์ว่าในอนาคตอาจเกิดเรื่องทำนองนี้อีก"

"ครับนายท่าน"

"ป่ะคิม ปู่ เดี๋ยวเราไปแวะห้างฯ ซื้อของกันก่อนกลับ เซียร์ฝากซื้อหนังสือด้วยนี่นะ"

ไตรวิชญ์เปลี่ยนอารมณ์ไปอย่างรวดเร็ว ถึงงานจะทำให้รู้สึกปวดหัวหน่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาลืมว่าผีที่อยู่ที่บ้านฝากซื้อของ

"ข้าอยากได้โจงกระเบนใหม่"

ไอยรินทร์บอกความต้องการของตัวเองทันที

"หา? จะเอาทำไมอ่ะ ตัวนี้ไม่ชอบเหรอ"

"สีทองก็ชอบ แต่อยากได้ทองประกายวิบวับแบบที่เห็นในโฆษณาโทรทัศน์ที่โรงแรมนั่นน่ะ"

"ทองวิบวับแบบไหนฟะปู่"

"สีทองแบบกลิตเตอร์!"

วูบ!

ทั้งคิมทั้งพี่หมอถึงกับสะดุดอากาศแทบล้ม สายตามองไอยรินทร์ที่ตอนนี้ดูจะชมชอบเจ้าโจงกระเบนแบบกลิตเตอร์เป็นอย่างยิ่ง ไม่ได้ดูหน้าตาของคนฟังเลย

"อยากได้กลิตเตอร์แบบเจ็ดวันเจ็ดสีเลยนะ!"

"..."

เดี๋ยวๆ ไหนตอนแรกปู่บอกว่าของสมัยนี้ไม่น่าจะมีอะไรถูกใจปู่ไงฟะ แล้วอยู่ๆ ทำไมอยากได้โจงกระเบนกลิตเตอร์เจ็ดสีกัน

แล้วที่สำคัญที่ไหนมันมีขายวะครับปู่!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel