บทที่ 6 : วิญญาณหายกายยังอยู่
ไตรวิชญ์ไม่ได้หันกลับไปมา แน่นอนว่าไม่มีเสียงหรือ 'คน' ยืนอยู่ตรงนั้น มีเพียงแค่ 'วิญญาณ' ที่สายตามนุษย์ไม่อาจมองเห็น
ติ๊ง!
ลิฟต์เปิดออกมาพวกเขาก็เดินเข้าไป เมื่อหันหน้ามาทางประตูลิฟต์ก็เห็นเงาร่างสีดำยืนอยู่ตรงหน้าของเขาแล้ว ประตูลิฟต์ปิดลงช้าๆ หนึ่งคน หนึ่งแวมไพร์ หนึ่งวิญญาณและหนึ่งสิ่งแปลกปลอมจ้องหน้ากันและกันภายในลิฟต์
"ไม่รู้หรือไงว่าเสียมารยาทเจ้าขี้ข้า"
เสียงของไตรวิชญ์ดังขึ้นอย่างไม่พอใจ ดวงตาสีดำมีประกายแดงระเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง เงาร่างสีดำหม่นซีดจางลง ร่างสูงใหญ่สีดำหดตัวลงสูงเพียงเอวของพวกเขาเท่านั้น ร่างกายสั่นสะท้ายด้วยความกลัวเพียงแค่หมอผีหนุ่มเอ่ยปาก
"ขออภัยครับนายท่าน..."
"นี่ใครรึเจ้าหนุ่มหมอผี" ปู่ไอยมองร่างสีดำเล็กๆ ด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนคิมเองก็ยิ้มออกโยนในแบบเดียวกัน เหมือนกันอย่างกับแกะ สายตาจับจ้องร่างสีดำนั้น
"นี่น่ะเหรอ เมื่อก่อนเป็นขี้ข้า เป็นลูกของคิม แต่ตอนนี้เป็นยมทูต"
"หืม? ขี้ข้าพอเข้าใจ แต่ลูกนี่..." ไอยรินทร์หันไปมองคิมตาปริบๆ แล้วสั่นทั้งตัว "ใครพ่อเด็กหรือ?"
ผลัวะ!
"หยาบคายครับ! นั่นไม่ใช่ลูกผมสักหน่อย แล้วผมก็ผู้ชาย!"
คิมต่อยผีชุดขาวทะลุลิฟต์ออกไปเลย ก่อนจะหันไปถลึงตาใส่ไตรวิชญ์ที่กลั้นหัวเราะทุบกำแพงไปมาอย่างอดไม่ไหว
"คุณไตรเองก็บอกข้อมูลให้มันถูกๆ หน่อยสิครับ ผมน่ะไม่มีลูกเป็นยมทูตหรอกนะ"
"แต่พวกผีในบ้านนั่นนายก็เลี้ยงข้าวทุกวันเหมือนลูกนั่นแหละ แทบจะเรียกแม่จ๋ากันทุกตนแล้วด้วยนะคิม"
"..."
ถึงกับเถียงไม่ออก เพราะทุกวันนี้เลี้ยงผีเหมือนเลี้ยงลูกจริงๆ แถมเยอะกว่าโหลซะด้วย ไตรวิชญ์มองใบหน้างอง้ำนั่นแล้วยิ้มขบขันอย่างเหนือกว่าทันที ไอยรินทร์โผล่หน้ากลับมาภายในลิฟต์แล้วเอ่ย
"แล้วขี้ข้าเหล่านี้เป็นยมทูตกันได้อย่างไรหรือ?"
"ก็มียมทูตมารับไปทำงานไง"
"แล้วทำไมถึงมารับวิญญาณขี้ข้าจากเจ้าด้วยเล่า"
"เอ้า ปู่นี่ถามมากจริง สงสัยอะไรถามคิมเลยปู่"
"เจ้าก็รู้เรื่องหรือสาวน้อย?"
"ครับ" คนที่อยู่ๆ ก็ถูกโยนตัวปัญหามาให้อีกแล้วก็ได้แต่มุมปากกระตุก ถ้าไม่ติดว่าเป็นเจ้าของบ้านที่เขาอาศัยก็อยากจะทุบตีสักหลายๆ ทีอยู่เหมือนกัน "แล้วเมื่อไหร่คุณจะเลิกเรียกผมว่าสาวน้อยสักที บอกกี่ครั้งแล้วว่าผมไม่ใช่เด็กและไม่ใช่ผู้หญิงน่ะ!"
"แล้วจะให้เรียกอย่างไรเล่า แม่หญิงรึ หรือว่าลิตเติ้ลเกิร์ล?"
'มีลิตเติ้ลเกิร์ลด้วย ปู่โคตรอินเตอร์'
ไตรวิชญ์มองหน้าปู่ชุดไทยอย่างขบขัน รอยยิ้มหล่อร้ายกว้างขึ้นบนใบหน้า ขณะมองทั้งสองคู่ที่คนหนึ่งยิ้มอ่อนไม่เปลี่ยนส่วนอีกคนก็ยิ้มอ่อนเหมือนกันแต่มีประกายไฟแล่นเปรี๊ยะๆ เหมือนพร้อมจะผ่าใส่หัวปู่เลย
"ขอต่อยอีกสักทีได้ไหมครับ"
"เจ้าหนุ่ม สาวน้อยจะต่อยเจ้าแน่ะ"
"ไม่ต้องมาโบ้ย เขาจะต่อยปู่นั่นแหละ" เห็นหันมามองเนียนๆ โยนเรื่องให้อย่างหน้าไม่อายแบบนี้แล้วพี่หมอก็รีบตอบโต้ทันที "ตอนนี้เลิกหวานแหววใส่กันแล้วหันมาสนใจเจ้าขี้ข้าตัวน้อยนี่กันดีกว่า"
"ใครหวานแหววกันครับ!"
"ว่าไง เจ้าขี้ข้า ทำไมยังไม่ตอบอีก"
ไตรวิชญ์เมินเฉยต่อคำพูดคัดค้านของคิม กระทั่งไอยรินทร์ยังหันมาสนใจยมทูตตัวหดแทน ซึ่งพอกลายเป็นจุดรวมสายตาแล้ว ยมทูตก็ยิ่งหดตัวเล็กลงด้วยความกลัวอีก
มีแต่ผู้มีพลังวิญญาณสูงกว่าเขาทั้งนั้น ขัดขืนไม่ได้เลย
"ข้ามาตามเก็บวิญญาณขอรับนายท่าน"
"เก็บวิญญาณแล้วทำลับๆ ล่อๆ ไปทำไมล่ะฟะ เก็บแล้วก็กลับไปสิ"
"ยังไม่ได้เก็บเลยครับ"
"แล้วทำไมยังไม่เก็บ ไม่ทำงานแล้วมาตามฉันเนี่ย ไม่กลัวถูกลงโทษหรือไง หรือว่าง?"
"ไม่ว่างนะครับ" ยมทูตตัวน้อยทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เมื่อถูกถามคาดคั้น แถมยังถลึงตาใส่อย่างกับเจ้าเหนือหัวแห่งแดนยมโลกอีก "แล้ววิญญาณที่ข้าต้องมารับก็หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ครับ"
"ไม่ใช่ว่าขึ้นไปกับรถร่วมมูลนิธิแล้วหรือไง"
เขาเห็นอยู่ว่าวิญญาณของคนที่ร่วงลงมาจากตึกตามติดร่างของตัวเองไปแล้ว แล้วเจ้ายมทูตติงต๊องตัวนี้จะตามเขามาเพื่ออะไร หรือจริงๆ แล้วตามคุณแม่แวมไพร์?
"ไม่ใช่นะครับ วิญญาณตนที่อยู่ในรถนั่นไม่ใช่ตัวที่ข้าต้องมารับ แต่เป็นอีกคนต่างหาก"
"หืม?"
"เมื่อมาถึงข้าก็มองเห็นแต่ร่างกายของเขาแต่ไม่เห็นวิญญาณเสียแล้ว"
"หมายความว่ายังไงน่ะ"
"ก็คือ..."
ติ๊ง!
ลิฟต์หยุดนิ่งและประตูก็เปิดออกทำให้การสนทนาหยุดชะงักลง ไตรวิชญ์พ่นลมหายใจออกมาก้าวออกจากลิฟต์ไปแล้วมองซ้ายมองขวา วิญญาณที่อยู่ในชั้นนี้เห็นพี่หมอเขาก็กรีดร้องกันสนั่นหวั่นไหว
"กรี๊ด! หมอผีแซ่บมาค่ะเธอ!!"
"So Handsome!!"
"ไหนๆ ...กรี๊ด! หล่อเลวแบบนี้โดนใจอ่ะแก!"
เหล่าผีสาววี๊ดว้ายกันใหญ่ ส่วนผีหนุ่มๆ ที่มาก็จ้องแวมไพร์คนสวยแล้วน้ำลายไหน หื่นขึ้นตาจนตาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำกันเลยทีเดียว
"โคตรสวย!"
"ตาสีน้ำเงินด้วย สีหายากอ่ะ"
"มีแฟนยังครับคนสวย... เฮ้ยๆ มียมทูตมาด้วย!!"
"กรี๊ด/ว๊าก!!!!"
จากกรี๊ดคนหล่อคนสวยอยู่ดีๆ เห็นร่างเล็กป้อมๆ ของยมทูตก็แตกฮือวิ่งหนีกันกระจาย พริบตาเดียวเงาร่างวิญญาณก็หายไปจากสายตาแล้ว
แค่ยืนเฉยๆ ยมทูตก็ไล่วิญญาณได้
ไตรวิชญ์ยิ้มอย่างสบายอกสบายใจ แล้วพูดขึ้นมาหน้าตาเฉยว่า
"โอเค งานจบแล้ว"
"เดี๋ยวๆ ที่ให้ยมทูตมาด้วยนี่ก็หวังให้มาไล่ผีแทนหรอกเหรอครับ"
คิมมองไตรวิชญ์ด้วยหางตา เห็นการพยักหน้ารับอย่างระรื่นก็ต้องขมวดคิ้ว และรู้สึกคิ้วกระตุกไม่น้อยเมื่อได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย
"ก็ใช่สิ ไม่งั้นจะเอ่ยปากให้มาด้วยกันทำไม ไม่เปลืองแรงไม่เปลืองเวลาและไม่เปลืองพลัง ลงไปก็รอรับเงินสบายๆ ครึ่งชั่วโมงจบอย่างที่บอกไหมล่ะ?"
"เจ้าเล่ห์เพทุบายนัก"
ปู่ยอมยกนิ้วให้เลย ชั่วร้ายตั้งแต่หน้าตายันนิสัยจริงๆ
"แต่เอายมทูตมาไล่แบบนี้ไม่นานก็กลับมาใหม่แล้วมั้งครับคุณไตร"
"ก็เขาให้แค่ไล่นี่ไม่ได้บอกให้กำจัด ฉันทำตามหน้าที่ตรงเป๊ะๆ เลยนะเว้ย"
"แล้วไม่จับไปเป็นขี้ข้าเหรอครับ?"
"ระดับต่ำเกินไป ปล่อยไว้อย่างนี้จนกว่าจะอยากไปเองหรือไม่ก็รอยมทูตนึกอยากเก็บค่อยมารับไปแล้วกัน แต่แบบนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะแย่หรอกน้า~"
"แบบนี้ก็หลอกเอาเงินไปอีกหลายครั้งสินะเจ้าหนุ่ม"
"แน่นอนปู่ ยังไงพวกโรงแรม รีสอร์ท ห้องเช่ารายวันมันก็ไม่มีทางกันพวกผีได้ถาวรอยู่แล้ว ต่อให้ใช้พลังกำจัดไปวันนี้ วันหน้ามันก็กลับมาอีกอยู่ดี"
มันเป็นสถานที่เปิดเกินไป การป้องกันให้ได้ประสิทธิภาพสูงเป็นไปไม่ได้หรอก
ไตรวิชญ์เรียกพวกเขากลับไปเข้าในลิฟต์ใหม่อีกครั้งแล้วกลับลงชั้นล่างสุด ในขณะนั้นก็หันมาจ้องยมทูตกันอีกรอบ
"เมื่อกี้เราคุยกันถึงเรื่องวิญญาณหายแต่ร่างยังอยู่ใช่ไหม?"
"ครับนายท่าน"
"ร่างนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือตายแล้วครับ?"
คิมถามอย่างครุ่นคิด ถ้าวิญญาณหายก็มีโอกาสเป็นไปว่าไม่กี่อย่าง นอกจากหนีแล้วก็มีเพียงถูกช่วงชิงเท่านั้นเอง
ซึ่งผู้ที่มีความสามารถช่วงชิงวิญญาณจากน้ำมือยมทูตได้ก็มีเพียงผู้มีวิชาอาคมเท่านั้นล่ะ
"เป็นร่างที่ตายแล้วครับแม่จ๋า เอ๊ย คุณคิม" โดนจิกตามองแรงใส่ยมทูตน้อยก็รีบเปลี่ยนคำเรียกทันที "แต่ถึงจะตายแล้วชีพจรต่างๆ ของร่างกายก็ยังทำงานอยู่ เพียงแต่แผ่วเบามากและคงจะเริ่มเน่าเปื่อยในวันพรุ่งนี้ ภายในไม่มีวิญญาณอยู่ร่างกายก็ยังขยับทำงานปกติได้ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยครับ"
"โอ้ ดูเหมือนจะเป็นวิชาควบคุมศพแขนงหนึ่งสินะ"
ไตรวิชญ์พูดขึ้น ถ้าเป็นเรื่องศาสตร์วิชาเกี่ยวกับวิญญาณและซากศพเขาก็พอจัดว่ามีความรู้อยู่บ้างเหมือนกัน
"ใช่ครับนายท่าน เพียงแต่ข้าไม่รู้ว่ามันเป็นศาสตร์แขนงใด เนื่องจากความรู้ข้าน้อยนัก"
"เป็นยมทูตแล้วยังความรู้น้อยอีกหรือ?"
ไอยรินทร์ถามอย่างข้องใจ ไม่ใช่ว่ายมทูตต้องรู้ความกว่าหมอผีหรือไร
"ยมทูตก็ไม่ได้รู้เยอะแยะขนาดนั้นนะคุณ อีกอย่างนี่ก็น่าจะเป็นยมทูตได้เพียงห้าปีเท่านั้นเอง จะให้รอบรู้เรื่องของศาสตร์วิชาอาคมทุกรูปแบบบนโลกในเวลาอันสั้นก็เป็นไปไม่ได้หรอก"
คิมเอ่ยแก้ต่างให้เมื่อยมทูตที่เคยเลี้ยงดูประดุจลูกน้อยถูกปู่มองด้วยสายตาตำหนิ
นี่เป็นเรื่องที่อาจมีคนเข้าใจผิดอยู่มาก ยมทูตไม่ใช่ผู้รอบรู้เรื่องศาสตร์วิชามากมายเพียงนั้น ความรู้ของพวกเขาล้วนเฉพาะเจาะจงมากกว่า เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้ หากเกิดปัญหาขึ้นกับวิญญาณที่หาไม่เจอบางครั้งพวกเขาก็ปล่อยผ่าน ถ้าไม่ใช่ว่าวิญญาณนั้นเป็นมีผลต่อวัฐสงสารมากเกินไปพวกเขาก็ไม่คิดจะแก้ปัญหาให้ยุ่งยาก เพราะงานของยมทูตนั้นมากล้น
ที่มาขอความช่วยเหลือจากไตรวิชญ์นี้ก็เป็นวิญญาณดวงนี้มีปัญหา... ไม่สิ ถ้าจะให้ถูกคือร่างกายของวิญญาณดวงนี้มีปัญหา
ไตรวิชญ์เลียริมฝีปากเบาๆ อย่างครุ่นคิด
"มันมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นศาสตร์ควบคุมศพทางฝั่งตะวันตกอยู่นะ แต่ทางฝั่งนี้เองก็มีเหมือนกัน อย่างประเทศจีน..."
"ผมว่าเราต้องไปดูศพก่อนนะครับถึงจะระบุได้ว่าเป็นชนิดไหน"
"โอ้ ก็ดีนะ ข้าเองก็ยังไม่เคยเห็นศพเดินได้เลย"
"ไม่ใช่ว่าเคยแล้วเหรอครับ"
"เคยหรือ?" ไอยรินทร์กะพริบตาปริบๆ "เอ๊ะ? ข้าว่าไม่เคยนะ"
"คุณเพียงแต่จำไม่ได้มากกว่า" คิมเบ้ปากใส่เล็กน้อย หันมามองประตูลิฟต์ที่เปิดออก ใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีด้วยซ้ำพวกเขาก็กลับลงมาจากชั้นบนสุดของโรงแรมแล้ว
พวกไตรวิชญ์กลับออกมาจากลิฟต์แล้ว ชั้นล่างก็ยังคงวุ่นวายและเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างต่อเนื่องถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มีหลากหลายภาษาที่เข้ามาในหูพวกเขา ทั้งฟังออกและฟังไม่ออก พอจับใจความได้คร่าวๆ ว่า
"มีคนตายอีกแล้ว"
"วันเดียวก็ตั้งสองคนแน่ะ"
"คนหนึ่งโดดตึก อีกคนวิ่งออกไปให้รถชน"
"ไม่รู้ว่าเป็นพวกเสพยารึเปล่าเนอะ"
ได้ฟังที่พวกเขาพูดกันก็พอจะสรุปได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นในยี่สิบนาทีที่พวกเขาไม่อยู่ ไตรวิชญ์กวาดตามองไปรอบๆ ใบหน้าหล่อร้ายยังคงมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาบางๆ จากนั้นก็หันไปมองคนรอบตัวแล้วเอ่ย
"พวกนายคิดเหมือนอย่างที่ฉันคิดหรือเปล่า"
"ผมคิดว่าเหมือนครับ"
"ข้าก็คิดเช่นนั้น"
"เอ่อ... ข้าก็คิดเช่นเดียวกับนายท่านครับ"
"ดูเหมือนจะคิดแบบเดียวกันหมดสินะ" เมื่อได้ข้อสรุปที่ตรงกันไตรวิชญ์ก็รีบเดินเข้าไปหาตำรวจในทันที "เตรียมพร้อมไว้ หากเกิดอะไรไม่คาดฝันขึ้นก็เผ่นเลย"
"ไม่สู้เรอะ!?" ปู่จิกตามอง
"สู้ทำไมล่ะปู่ เจ็บตัวไม่ได้ตังค์นี่ไม่เอาเด็ดขาดอ่ะ"
"..."
นี่ก็ห่วงเงินเกิ๊น
พี่หมอก็ยังคงเป็นพี่หมอ ไม่ทำอะไรขาดทุนเลย
"อ้าว ลงมาแล้วเหรอพี่หมอ" นายตำรวจคนเดิมเอ่ยทักขณะตรวจสอบที่เกิดเหตุแห่งที่สองด้วยใบหน้าเคร่งเครียด "งานเสร็จเรียบร้อยหมดแล้วนะครับ"
"เสร็จแล้ว และกำลังจะมาต่องานของนายนั่นแหละ แต่ดูเหมือนจะงานงอกเพิ่มได้ด้วยสินะ มาอีกคดีแล้วเนี่ย"
"นั่นสิ มันจะเกี่ยวข้องกันไหมครับ?"
"มีความเป็นไปได้ 60% ที่จะเกี่ยวข้องล่ะนะ ว่าแต่เก็บศพของคนที่โดนรถชนไปหรือยัง"
"กำลังจะขนย้าย สนใจคู่กรณีด้วยไหมพี่หมอ"
"ไม่ ฉันต้องการดูแค่ศพ"
"งั้นมาทางนี้..." นายตำรวจกำลังจะเดินไปก็ต้องชะงักเมื่อเห็นว่าคิมจะเดินตาม เขาขมวดคิ้วอย่างไม่สบายใจ "ให้ผู้หญิงไปด้วยจะดีเหรอพี่หมอ"
"ผู้หญิง?" ไตรวิชญ์หันไปทางคิม "ไม่เป็นไรหรอก ไม่ได้มีแค่เขานี่ แต่ยังมีผีอีกสองตนด้วยนะ แต่นายคงมองไม่เห็น หรืออยากเห็น?"
"..."
แล้วจะพูดให้กลัวทำไมล่ะเฮ้ย!
"งะ... งั้นก็ตามมาทางนี้"
นายตำรวจรีบเดินนำไปอย่างว่องไวด้วยใบหน้าซีดเซียว พี่หมอยิ้มขำก่อนจะรีบก้าวยาวๆ ตามไป แวมไพร์คนสวย วิญญาณสีขาวและยมทูตก็รีบตามไปติดๆ
กลิ่นเลือดลอยเตะจมูกชวนให้คนทั่วไปรู้สึกคลื่นเหียน แต่กับเหล่าผู้ไม่ใช่คนและเป็นมนุษย์แค่ครึ่งเดียวอย่างไตรวิชญ์และคิม มันก็ไม่ได้เป็นกลิ่นที่แย่อะไรนัก
อย่างน้อยก็ดีกว่าเลือดค้างปี กลิ่นจะเน่าๆ หน่อย
พวกเขาหยุดอยู่ข้างร่างที่ถูกคลุมทับด้วยผ้าดิบสีขาว มีเลือดซึมออกมาเป็นวงขนาดใหญ่แค่มองเพียงผ้าห่อศพก็ทำให้คนรู้สึกหวาดกลัวได้แล้ว
พรึ่บ!
แต่ไตรวิชญ์ดันเปิดผ้าออกแบบไม่เกรงใจและไม่แจ้งเตือนใครทั้งสิ้น มือหนาจับไปที่ศพที่มีสภาพใบหน้าแตกเหวอะหวะ เปลือกตาถลอก เศษปูนยังเกาะที่ใบหน้า มองสำรวจคร่าวๆ คือกระดูกแขนและซี่โครงหัก บาดแผลตรงกระดูกหักมีรอบปริแตกและเลือดติดอยู่ เพราะร่างกายหยุดการทำงานเลือดจึงไม่ไหลออกมามากนักและเริ่มแห้งกรัง
เมื่อสำรวจจนพอใจแล้วก็หันไปมองคิมที่วิเคราะห์อีกฝ่ายด้วยสายตาอย่างเดียว จากนั้นก็เลื่อนไปมองทางยมทูตที่ขมวดคิ้วเป็นปม
"เป็นไง ใช่ร่างวิญญาณที่นายเคยบอกหรือเปล่า?"
"ใช่ครับนายท่าน"
"งั้นก็ตรงกับที่คิดไว้ แล้วคิมล่ะว่าไง"
"ผมมั่นใจแล้วล่ะครับ"
"โอเค ไปกันเถอะ"
"เดี๋ยวครับพี่หมอ สรุปนี่ได้เรื่องกันแล้วงั้นเหรอ" นายตำรวจกะพริบตาปริบๆ มองพี่หมอกับแวมไพร์คนสวยสลับกันไปมา พวกเขาพูดอะไรกันไม่เห็นเข้าใจเลยสักนิด "ถ้าได้เรื่องอะไรก็ช่วยบอกผมด้วยนะครับ"
ไตรวิชญ์หรี่ตามองอย่างชั่วร้าย ทำเอาตำรวจหนุ่มถึงกับขนลุกซู่ไปทั้งตัว
"บอกแน่ แต่จะให้บอกตอนนี้จะดีเหรอ เกี่ยวกับผีล้วนๆ เลยนะ ถ้าจะให้บอกต้องให้ผีปรากฏตัวด้วย เอางั้นเลยนะ?"
"ผมต้องรีบไปดูลูกน้องก่อน พี่หมอได้หลักฐานอะไรที่จะปิดคดีทันทีได้ก็มาบอกผมนะครับ ขอตัวก่อนแล้ว"
บทพูดเปลี่ยนพฤติกรรมเปลี่ยน นายตำรวจหนุ่มหมุนตัวหันหลังเดินหนีไปดื้อๆ ปล่อยให้พี่หมอและปู่ยืนกลั้นหัวเราะตัวสั่นอยู่อย่างนั้น ส่วนคิมก็ได้แต่กลอกตามองฟ้าอย่างเอือมระอาก่อนจะยกผ้าปิดศพให้เรียบร้อย
เมื่อเห็นว่าไม่มีคนมาสนใจอะไรพวกเขาแล้ว ไตรวิชญ์ก็เดินหลับมุมไปนั่งปรึกษากันเพียงลำพัง เขาเท้าคางมองไปที่คิมแล้วเอ่ยอีกครั้ง
"สรุปว่าเป็นศาสตร์ของทางตะวันตกสินะคิม"
"ครับ เป็นศาสตร์แห่งความตายของเนโครแมนเซอร์"
"เนโครแมนเซอร์คืออะไรหรือ?"
ไอยรินทร์ถามอย่างใคร่รู้ เขาเป็นคนเดียวที่ไม่รู้เกี่ยวกับศาสตร์นี้ ไม่สิ นอกจากศาสตร์ของเขมรแล้วเขาก็ไม่รู้จักศาสตร์อื่นเลย
"ก็เป็นหมอผีประเภทหนึ่งน่ะครับ เป็นผู้ใช้พิธีกรรมเกี่ยวกับศพและโครงกระดูกเป็นหลัก ถือเป็นศาสตร์มืดน่ะครับ หายากเหมือนกันนะในปัจจุบัน"
"โอ้"
"ไม่คิดเลยว่าเนโครแมนเซอร์จะมาอยู่ที่นี่..." พี่หมอหัวเราะเบาๆ "แต่เอาเถอะ ฉันไม่มีหน้าที่ไปยุ่งกับพวกนั้นนี่นะ ที่ต้องทำก็มีแค่เอาดวงวิญญาณกลับมาและหาหลักฐานจบคดีให้ตำรวจก็เท่านั้น"
"หาหลักฐานทั้งที่ไม่ยุ่งกับพวกนั้น... ทำได้ด้วยเหรอครับ?"
คิมเอียงคอมองอย่างสงสัย ไตรวิชญ์ฉีกยิ้มอย่างชั่วร้ายสุดๆ ในทันที
"ได้สิ ถ้านายช่วยฉันนะคิม..."
