บทที่ 4 : สมาชิกใหม่ของบ้าน
"สาวน้อย!!"
พี่หมอและเซียร์หันขวับไปมองแวมไพร์คนสวยในทันที
อย่างคิมนี่เรียกสาวน้อยได้ด้วยเหรอ ไม่ๆ ไม่ควรเรียกสาวด้วยซ้ำ ถึงหน้าจะสวยแต่ไร้นมแบบนี้ไม่นับเป็นสาวสิ
ไม่ถูก! พวกเขาต้องโฟกัสอีกเรื่องต่างหาก
"นี่... นี่ปู่รู้จักคิมด้วยเหรอ!?"
"ไม่รู้จักครับ!"
คนที่ตอบคือคิมจากนั้นก็หันหลังเดินหนีไปดื้อๆ ไม่รอให้ใครถามซักไซ้ทั้งนั้น
ชายหนุ่มชุดไทยหัวเราะอย่างขบขันชอบใจ เดินตามคิมไปแล้วทิ้งไตรวิชญ์เอาไว้อย่างไม่ใช่ดี ทั้งยังเอ่ยกับอีกฝ่ายเสียงอ่อนเสียงหวาน
"อะไรกัน ไม่เจอกันเพียงประเดี๋ยวประด๋าว ลืมกันแล้วหรือไร ใจร้ายนัก"
"ผมไม่รู้จักคุณ"
"สาวน้อย ใจร้ายเหลือเกิน"
"..."
ตอนนี้คิมหนีไปแล้ว เพียงพริบตาเดียวก็กลายเป็นควันหายไปในความมืดแล้ว ทิ้งให้ชายหนุ่มชุดไทยยืนตัวสั่นอย่างรุนแรงจากการกลั้นหัวเราะอยู่กับที่
จากนั้นก็หันมายิ้มอ่อนใส่พี่หมอทั้งที่ตัวยังสั่นอยู่
"เจ้าเองก็รู้จักสาวน้อยงั้นสินะ?"
"ถ้าสาวน้อยของปู่คือแวมไพร์เมื่อกี้ล่ะก็ใช่" หมอผีหนุ่มพยักหน้า "ปู่เองก็รู้จักคิมงั้นเหรอ"
"เพื่อนเล่นกันมาตั้งแต่เด็ก... เรียกอย่างนั้นคงได้"
ชายหนุ่มยังคงยิ้มอ่อนโยนอย่างที่สุด ดวงตาสีทองเป็นประกายระยับอย่างขบขันทันทีที่นึกถึง ความเป็นปรปักษ์ต่อไตรวิชญ์ลดลงไปครึ่งหนึ่ง
"เอ่อ งั้นปู่ก็รู้ใช่ไหมว่าคิมเป็นผู้ชาย" เซียร์ถามพลางเหงื่อตก
"รู้สิ"
"แต่ก็ยังเรียกสาวน้อย?"
"ก็ท่าทางหลังจากเรียกเช่นนั้นของสาวน้อยดูน่าเอ็นดูมากไม่ใช่หรือไร" ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ บรรยากาศดูสว่างไสวไม่น้อย "ตลกขบขันเพียงนั้นเลิกแกล้งไม่ได้เลย"
"..."
มีความกวนประสาทมาตั้งแต่โบราณ...
ท่าทางคิมน่าจะโดนปู่แกล้งมาไม่น้อยแน่ๆ เลย
หว๋อ~
เสียงไซเรนดังขึ้นขัดการสนทนา ไตรวิชญ์หันไปมองแสงไฟสองสีที่เห็นอยู่ไกลๆ ก่อนจะเดาะลิ้นอย่างขัดใจ จากนั้นก็หันไปมองชายหนุ่มชุดไทยที่ยังยืนยิ้มอย่างสงบอยู่ที่เดิม
"เอาไงปู่ จะสู้ต่อชิงตะพดหรือจะไปที่บ้านฉันก่อนแล้วค่อยตกลงกัน"
"ไปบ้านเจ้าแล้วจะเจอสาวน้อยหรือเปล่าเล่า"
"คิมอยู่บ้านฉันเอง"
"งั้นไป"
"..."
ปู่ก็ตอบไม่ลังเลเลยเนอะ
แต่เป็นเรื่องดีสำหรับเขา ไตรวิชญ์ยิ้มนิดๆ ก่อนจะกระโดดขึ้นหลังคาบ้านคนอื่นนำทางปู่ชุดไทยกลับไปที่บ้าน โดยมีเซียร์ตามรั้งท้ายไป
"ว่าแต่พ่อหนุ่มข้างหลังก็เป็นผีด้วยกันงั้นหรือ"
ชายหนุ่มชุดไทยหันไปมองทางเซียร์ที่ไม่ได้แสดงศักยภาพอย่างที่มนุษย์สมควรทำ แต่อีกฝ่ายดันลอยตามหลังมาราวกับมีปีกบิน เหมือนกับเขาในตอนนี้ที่ลอยตามหลังหมอผีไป
"ก็เป็นผีน่ะสิ ระดับสูงด้วยนะ ชื่อเซียร์ ส่วนฉันชื่อไตรวิชญ์จะเรียกพี่หมอก็ไม่ว่ากัน แต่อย่าเรียกดีกว่า โดนคนแก่เรียกแบบนั้นแล้วรู้สึกไม่ดี"
"ยินดีที่ไห้รู้จัก แล้วคุณล่ะ?"
เซียร์เอ่ยออกมาอย่างมีมารยาทแต่ก็ยังถือตัวอยู่ ชายหนุ่มชุดไทยยังคงยิ้มและตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลสะกดใจ
"ข้าชื่อไอยรินทร์"
"นั่นชื่อเหรอ ทำไมชื่อยาวแบบนั้นล่ะปู่ สมัยปู่น่าจะชื่อสั้นๆ นะถ้ามันไม่ใช่ราชทินนาม"
"...ดูเหมือนจะมีความรู้อยู่บ้าง แต่ไม่ใช่ราชทินนามหรอก"
"งั้นก็เชื้อพระวงศ์?"
"ใช่ ทว่าก็ไม่ใช่เชื้อสายหลักที่สามารถครองราชย์ได้หรอก"
ไตรวิชญ์พยักหน้าเข้าใจในขณะที่เซียร์ดูจะงุนงงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากถามอะไรนัก จนกระทั่งมาถึงหน้าคฤหาสน์ในที่สุด
ไอยรินทร์มองคฤหาสน์หลังใหญ่แล้วเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย มองสำรวจมันด้วยความสนใจ จากนั้นก็หันมาพูดกับหมอผีหนุ่มด้วยน้ำเสียงตื่นๆ
"นี่คือบ้านของเจ้า?"
"ใช่แล้ว ใหญ่โตโอ่อ่าอลังการดาวล้านดวงไหมล่ะ"
ไตรวิชญ์ตอบก่อนจะเดินนำเข้าไปในบ้าน ตามด้วยเซียร์และปิดท้ายด้วยไอยรินทร์ที่ดูตื่นตาตื่นใจกับบ้านเหล่านี้ไม่น้อย
"เจ้าก็มีเชื้อสายเจ้าเหมือนกันหรือ"
"หืม ทำไมคิดงั้น"
ยังไม่ทันที่ปู่จะได้พูดตอบเหล่าผีภายในบ้านก็โผล่หน้ามาพูดแทรกกันอย่างเจี๊ยวจ๊าว
"ใช่ๆ พี่สุดหล่อชุดไทย ทำไมคิดงั้น"
"อย่างพี่หมอนี่ไม่น่าจะเชื้อเจ้าอ่ะ"
"ไม่ๆ พี่หมอเชื้อเจ้า"
"เจ้าไหนวะ?"
"เจ้าหนี้กับเจ้ากรรมนายเวรไง โคตรใช่!"
"เออๆ พูดถูก พี่หมอเชื้อเจ้าจริงๆ ...กรี๊ด!!"
ตูม!
เหล่าผีร้ายทั้งร้ายโดนพลังวิญญาณสีเงินระเบิดปลิวไปคนละทิศละทาง ควันลอยฟุ้งทั่วทั้งพื้นที่ เจ้าของพลังยืนหน้าบูดจิกตามองเหล่าผีร้ายทำเอาพวกที่เหลือหดหัวกลับลงไปในพื้นอย่างเจียมเนื้อเจียมตัว
ล้อเล่นก็ไม่ได้ พี่หมอดุจังเลย
"นี่คือขี้ข้าที่เจ้าว่าสินะ" ไอยรินทร์ยิ้มอ่อนมองซากผีที่แกล้งตายเกลื่อนกลาดเต็มพื้นแต่สั่นน้อยๆ อย่างคนกลั้นหัวเราะเอาไว้
"ก็นะ เป็นพวกผีระดับ 7-9 น่ะ" ไตรวิชญ์พ่นลมหายใจ "พวกนี้ระดับต่ำไปเลยไม่มีสิทธิ์เข้าไปในบ้าน ต่างจากเซียร์ที่อยู่ในระดับ 10 เลยสามารถอยู่ในบ้านได้"
"อ้อ หมอผีอย่างเจ้าแบ่งระดับวิญญาณด้วยหรือ"
"แบ่งสิปู่ ไม่แบ่งก็แยกคุณภาพลำบาก"
"แล้ววิญญาณกึ่งเทวะอย่างข้าอยู่ในระดับไหนล่ะ"
ไอยรินทร์ถามอย่างใคร่รู้ เซียร์เร่งเดินเข้ามาใกล้เพื่อรับฟังคำตอบ หมอผีหนุ่มปรายตามองเล็กน้อยแล้วเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยใส่ใจ
"ก็สูงกว่าระดับ 10 นิดหน่อยเท่านั้นแหละ ถ้าเป็นวิญญาณเทวะขึ้นไปก็จะเป็นอีกขั้น"
"อีกขั้นเหรอ?"
เซียร์ขมวดคิ้ว เรื่องพวกนี้เขาไม่เห็นรู้มาก่อน
"ใช่ วิญญาณก็แบ่งระดับและขั้น แบ่งเป็น 6 ขั้นตามภพภูมิ นรก, เปรต, เดรัจฉาน, มนุษย์และสวรรค์ ตามลำดับจากต่ำไปสูง... อืม แต่ละขั้นเองก็มีแบ่งย่อยลงไปอีก ตอนนี้ยกตัวอย่างแต่ขั้นมนุษย์ก่อนแล้วกัน"
"ยังมีแบ่งย่อยลงมาอีก คือสิบระดับนั่นใช่ไหม"
"ใช่แล้ว ระดับวิญญาณมนุษย์มันแบ่งกันไม่ยุ่งเท่าวิญญาณสวรรค์หรอก พวกวิญญาณสวรรค์จะมีแบ่งชนชั้นและระดับลงไปอีก แต่พวกเราที่อยู่โลกมนุษย์ไม่ต้องไปสนใจมันมากก็ได้"
ไอยรินทร์กะพริบตาปริบๆ ก่อนจะถามขึ้นอย่างสงสัย
"แล้วเจ้าไปรู้เรื่องระดับวิญญาณของขั้นอื่นได้ยังไงนั่น เป็นเพียงหมอผีไม่ใช่หรือไง ต่อให้มีศาสตร์เหล่านี้ก็ไม่ช่วยให้รู้ข้อมูลหรอกนะ"
"เพราะว่าฉันมันเก่งเทพไงปู่ เรื่องแค่นี้เป็นความรู้ที่ธรรมดามาก"
"..."
ธรรมดาที่ไหน ผีอายุหลายร้อยปีอย่างเขายังไม่รู้เรื่องเลย
"ทำใจเถอะคุณไอย ไตรเขาก็อย่างนี้แหละ" เซียร์เอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับชินชานิสัยของพี่หมอที่สุดในโลก "ถ้ามีอะไรสงสัยอีกก็ถามมาได้ ไตรน่าจะตอบคำถามมากกว่าปกตินิดหน่อยเพราะตอนนี้อยู่ในเขตบ้านแล้ว"
"งั้นเหรอ... ข้าถามอีกสักเรื่องแล้วกัน ผีที่อยู่ตามพื้นเหล่านั้นทำไมไม่เข้าไปอยู่รวมกันในบ้านเล่า"
"ก็เพราะระดับต่ำไงปู่ พูดไปแล้วนะ"
"แล้วจะแบ่งระดับทำไม บ้านรึก็ออกจะใหญ่โต"
"เดี๋ยวพอปู่เข้าบ้านก็จะรู้เองแหละ"
ไตรวิชญ์หัวเราะชั่วร้ายพลางมองไปที่ตะพดอย่างหมายมาด แต่แล้วก็ถูกหัวตะพดที่จ้องมานานหวดเข้าใส่อีกหน
"ข้ายังไม่ได้บอกว่าจะยกให้ ฉะนั้นเลยจ้องได้แล้ว" ไอยรินทร์พูดอย่างกรุ่นโกรธ "รีบไปเดินเข้าไปได้แล้วเจ้าหนุ่ม"
"เร่งจัง เป็นเจ้าของบ้านแล้วหรือไง"
ไตรวิชญ์บ่นกระปิดกระปอยก่อนจะเร่งเดินเข้าไปในบ้าน ตลอดทางก็ยังคงมีเสียงทักทายจากเหล่าพี่ที่ปาร์ตี้กินดื่มกันอย่างสนุกสนาน ทำให้แขกของบ้านเริ่มรู้สึกว่า... บ้านหมอผีหลังนี้ก็น่าอยู่ไม่น้อยเลย
นอกจากพลังวิญญาณที่หนาแน่นแล้วแม้แต่อาหารการกินของวิญญาณก็อุดมสมบูรณ์
ถึงแม้วิญญาณไม่จำเป็นต้องกินก็เถอะ
และเมื่อก้าวเข้ามาในบ้าน พลังวิญญาณที่หนาแน่นและบริสุทธิ์อย่างมาก็พุ่งเข้าปะทะหน้า ความหนาแน่นขนาดนี้ถึงขนาดที่ทำให้วิญญาณตื่นตัว ความกดดันพุ่งสูงหากปรับตัวไม่ทันก็มีสิทธิ์ที่วิญญาณจะแตะสลายไปเลย
นี่เองเหตุผลที่วิญญาณระดับต่ำไม่สามารถเข้ามาได้
แต่มนุษย์ธรรมดาก็อยู่ไม่ได้เหมือนกันนะ
"กลับมาแล้วคิม"
ไตรวิชญ์เอ่ยทันที่เข้าบ้าน ดวงตามองไปยังแวมไพร์หนุ่มที่กำลังจัดโต๊ะอาหารมื้อดึกอย่างผิดวิสัย คิมเงยหน้าขึ้นมาแล้วเอ่ยตอบ
"ยินดีต้อนรับกลับครับ จัดการเรียบ... เอา 'มัน' กลับมาที่บ้านทำไมครับคุณไตร"
'มัน' ที่ว่าไม่ใช่ใครอื่น ปู่ไอยรินทร์คนนั้นเอง
"พูดอะไรใจร้ายอย่างนั้น ตอนนี้เราจะเป็นคนบ้านเดียวกันแล้ว พูดให้ไพเราะหน่อยไม่ได้หรือไร สาวน้อย"
"คุณน่ะเงียบไปเลย!"
"อะแฮ่ม! คุณแม่อย่าเสียงดัง ผีๆ แตกตื่นกันหมดแล้ว"
ไตรวิชญ์เอ่ยขัดก่อนจะชี้ไปทางหน้าต่างที่มีผีมุงชะเง้อคอยาวๆ มองอยู่มากมาย สีหน้าอยากรู้อยากเห็นกันมากแต่เข้ามาในบ้านไม่ได้เพราะติดเขตอาคม
คิมพ่นลมหายใจอย่างหงุดหงิดแต่ก็ยังไม่วายจิกตามองใส่ไอยรินทร์
"แล้วคุณไตรพาเขามาทำไมครับ ไม่ใช่ว่าส่งไปนรกหรือจับยัดหม้อแบบทุกทีล่ะ"
"ปู่ไอยนี่คงส่งไปนรกยากอ่ะ ขึ้นได้แต่สวรรค์ จับยัดหม้อก็ไม่ไหวเหมือนกัน ระดับวิญญาณสูงเกินกว่าจะยัดหม้อได้ เพราะปู่เป็นวิญญาณกึ่งเทวะ"
วิญญาณกึ่งเทวะพลังวิญญาณจึงเหนือกว่าผีระดับสิบ จับยัดลงหม้อไปหม้อก็แตกเปล่าๆ เขาจะยัดให้เปลืองทำไมเล่า
คิมเบ้ปากทำหน้าไม่เชื่อ "คนอย่างนี้ก็ได้ขึ้นสวรรค์เหรอครับ"
"อย่าพูดเหมือนข้าเป็นคนไม่ดีอย่างนั้นสิสาวน้อย" ไอยรินทร์ทำหน้าเศร้าหมองแล้วยิ้มอ่อนๆ อย่างน้อยเนื้อต่ำใจ
พวกพี่หมอกลอกตา... น้อยใจก็ยังจะยิ้มอีกนะ
โรคจิตหรือเปล่าเนี่ยปู่
"แล้วยังไงครับ ทำไมคนอย่างหมอนี่ถึงเป็นกึ่งเทวะได้ ไม่ใช่ว่าควรเป็นผีร้ายตกนรกหมกไหม้ไม่ได้ผุดได้เกิดเหรอครับ"
"ข้าออกจะแสนดีผีน่ารักนะ"
"นี่คุณ!"
"อะแฮ่ม!" พี่หมอต้องกะแอมไอขัดจังหวะก่อนที่คิมจะลงมือทุบตีแขกของบ้าน "ปู่เป็นกึ่งเทวะเพราะแร่ศักดิ์สิทธิ์อย่างเหล็กไหลน่ะ เหมือนเป็นวิญญาณที่ได้อาบกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์เลยยกระดับวิญญาณได้ ไม่ว่าก่อนตายจะโฉดชั่วแค่ไหนแต่เมื่อแร่ศักดิ์สิทธิ์ยอมรับก็จะเสริมอำนาจให้"
ที่จริงแล้วก็มีอีกเรื่องที่พี่หมอไม่ได้บอก วิญญาณของชนชั้นสูงมียศศักดิ์ตั้งแต่อดีตกาล พวกเขามีอำนาจและบารมีเก่าอยู่ทำให้ระดับวิญญาณของพวกเขาสูงมากอยู่แล้ว ต่อให้ทำชั่วจนระดับวิญญาณลดลงแต่ไม่ถึงกับลดขั้นวิญญาณไปอยู่ในขั้นอื่น
ยกเว้นว่าจะก่อบาประดับสะเทือนแผ่นดิน แบบนั้นน่าจะถูกลดไปอยู่ในขั้นเปรตเป็นอย่างน้อย และจะไม่มีโอกาสได้กลับมาขั้นเดิมอีกเลย เพราะโอกาสเพิ่มแต้มบุญมันน้อย
ไอยรินทร์ตั้งแต่ก่อนได้ตะพดเหล็กไหลมาก็น่าจะมีพลังวิญญาณอยู่ในระดับสิบอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นเวลาเพียงไม่กี่ร้อยปีไม่มีทางยกระดับวิญญาณขึ้นมาเป็นกึ่งเทวะได้หรอก อย่างน้อยต้องพันปีขึ้นไป
"เพราะงั้นถึงได้ขึ้นสวรรค์ได้อย่างเดียวสินะ" คิมมองปู่ไอย์อย่างหยามๆ ถ้าไม่ใช่เพราะวัตถุก็คงไปเกิดใหม่นานแล้วแท้ๆ
ชิ! เกลียดแร่ศักดิ์สิทธิ์
"เอ่อ ดูจากสภาพการณ์แล้ว... คุณคิมกับคุณไอยไม่ได้เป็นเพื่อนสมัยเด็กกันใช่ไหม"
"ก็รู้จักกันตั้งแต่เด็กล่ะนะครับคุณเซียร์"
"ผ่านมาก็นานแล้ว... เออ นี่กี่ปีแล้วนะเจ้าหนุ่มตาแดงข้างเดียว?"
"ปู่เกิดสมัยไหนกันล่ะเฮ้ย ถ้านับจากอยุธยาก่อนล่ม หรือช่วงกำลังเฟื่องฟู หรือตั้งแต่เริ่มต้นยุคสมัย?"
"อืม... ต้นรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าปราสาททองน่ะ"
"เดี๋ยวนะ นึกช่วงเวลาก่อน"
ไตรวิชญ์ไม่แม่นเรื่องประวัติศาสตร์ของประเทศมากนัก เพราะงั้นเลยใช้เวลานึกนาน ในขณะที่เซียร์กดโปรแกรมเสิร์ชในแล็บท็อปอย่างรวดเร็ว
"คุณไอยเกิดช่วงต้นของรัชกาล น่าจะมีชีวิตอยู่ในช่วงต้นรัชกาลของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชด้วย ถ้าเทียบเวลาในปัจจุบันก็... ผ่านมากว่าสี่ร้อยปีแล้วน่ะสิ!?"
สายตาของพี่หมอและเซียร์หันขวับไปทางคิมอย่างรวดเร็ว พิจารณาอีกฝ่ายตั้งแต่รากผมยันปลายเล็บเท้าก่อนจะหันมามองหน้ากันเองเสียขวัญ
"คิมสี่ร้อยปีล่ะ"
"สี่ร้อยปีแน่ๆ"
"สี่ร้อยปีโตมาหน้าตาเสียเชิงชายขนาดนี้ ไม่น่าโต"
เพี๊ยะ!
เสียงตบตีไหล่ดังขึ้น คนถูกเบ้ปากนิดๆ แล้วหันไปมองด้วยท่าทางประหลาดใจพร้อมยกมือขึ้นเกาในส่วนที่โดนตี
"ตีทำไมคิม มันคันนะ"
"ตีให้เจ็บครับ ไม่ได้ตีให้คัน!" แวมไพร์หนุ่มถลึงตาใส่ เสียใจจริงที่อีกฝ่ายหนังหนาเกินไป ตีให้เจ็บดันแค่คันเฉยๆ หนังหนาไปไหมครับ
"แล้วสรุปปู่จะยังไง จะอยู่ต่อหรือไปสวรรค์เลย แต่ที่แน่ๆ ส่งตะพดนั่นมา"
ไตรวิชญ์มองทางชายหนุ่มชุดไทยอย่างคาดคั้น เขาไม่สามารถแย่งชิงวัตถุศักดิ์สิทธิ์มีเจ้าของได้ ยกเว้นว่าเจ้าของจะยอมมอบให้เองแต่โดยดีหรือไม่ก็ทำลายวิญญาณทิ้งไปเลย
ไม่อยากจะใช้วิธีทำลายหรอกมันเบื้องแรง
"ข้าจะยังไม่ไปไหนและจะไม่มอบตะพดให้เจ้าด้วย"
"อ้าวเฮ้ย!"
"จนกว่าข้าจะได้เป็นเทพด้วยตัวเอง"
พูดจบก็หัวเราะออกมาเบาๆ อย่างนุ่มนวล แต่คนได้ฟังหน้าบิดเบี้ยวไปหมดแล้ว มือหนากระชากคอเสื้อชายหนุ่มชุดไทยเขย่าอย่างฉุนเฉียว
"จะบ้าเรอะปู่ รอปู่เป็นเทพนี่ต้องรออีกกี่ปีกัน!"
"ก็ไม่น่าจะนานหรอกถ้าอยู่ในพื้นที่ที่มีพลังวิญญาณบริสุทธิ์หนาแน่นขนาดนี้... ว่าแต่เจ้าจะเอาเหล็กไหลของข้าไปทำไม"
"ก็เอาไปทำอาวุธน่ะสิปู่" ไตรวิชญ์ปล่อยมือพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ "แร่ศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดเองตามธรรมชาติไม่ใช่ของหาง่ายในปัจจุบันด้วย ส่วนใหญ่ก็แค่ของธรรมดาที่เอามาปลุกเสกอ่ะ แบบนั้นใช้ไม่ถนัดมือหรอก"
"แล้วอาวุธอะไรที่คุณไตรจะเอาเหล็กไหลไปสร้างครับ"
"ดาบเลเซอร์น่ะ!"
"..."
สีหน้าท่าทางของคิมและเซียร์ตอนนี้เหมือนอยากจะกินหัวไตรวิชญ์เข้าไป ถ้าต้องการดาบเลเซอร์ แร่ศักดิ์สิทธิ์ไม่เห็นจำเป็นเลย!
ให้เซียร์โทรออกไปกริ๊งเดียว รอสามวันดาบเลเซอร์ก็มาส่งถึงบ้านแล้วเถอะ!
"อย่าทำหน้าแบบนั้น ฉันแค่ล้อเล่นเอง หึๆ ฮ่าๆ หน้าตาตลกชะมัด"
พี่หมอหัวเราะเสียงดังอย่างขบขันกับหน้าตาของทั้งคู่ ในขณะที่ไอยรินทร์ทำหน้างุนงงไม่เข้าใจคำว่าดาบเลเซอร์ มันคืออาวุธศักดิ์สิทธิ์รูปแบบใหม่ในปัจจุบันรึ?
คิมเบ้ปาก เซียร์ทำท่าพ่นลมหายใจอย่างปลงๆ
"เอาล่ะๆ ถ้าปู่ยังไม่ให้ตอนนี้ก็ไม่เป็นไร งั้นก็อยู่นี่ไปก่อนแล้วกัน ห้องที่นี่ว่างเยอะแยะอยากนอนห้องไหนก็เลือกเอา กฎในบ้านก็ถามคิมแล้วกันนะ มีไม่มากนักหรอก"
ปู่ยิ้มนิดๆ ตอบ "อื้ม ขอบใจ ขอรบกวนสักพัก"
"งั้นกินข้าวก่อนแล้วกันจะได้รีบนอน พรุ่งนี้ต้องออกไปทำงานอีก"
"พรุ่งนี้วันอาทิตย์ครับ!"
"งานหมอผีน่ะ มันไม่เลือกวันหยุดหรอกนะคิม"
พี่หมอเดินไปนั่งโต๊ะอาหารปล่อยให้สองผีหนึ่งแวมไพร์มองคนกินอย่างไม่สนใจใครแล้วหันมองมองหน้ากันเอง
"งั้นเราไปทำงานของเราต่อแล้วกัน บัญชีของเดือนนี้ยังไม่เสร็จ"
"เดี๋ยวผมนำบิลจ่ายตลาดไปให้นะครับเซียร์ ยามดึกนี้ต้องการอะไรเพิ่มไหมครับ"
"ขอชามะลิ ขอบคุณ"
เซียร์เดินแยกออกไปแล้วส่วนคิมก็เดินกลับไปที่ห้องของเขา โดยมีไอยรินทร์เดินตามต้อยๆ
"คุณจะตามมาด้วยทำไมเนี่ย!"
"ก็ตามเจ้าไปเลือกห้องไงสาวน้อย ข้าไม่คุ้นสถานที่นักเจ้าจะไม่แนะนำหน่อยหรือ"
"..." แวมไพร์คนสวยทำหน้าไม่พอใจ "งั้นก็ตามมา ผมจะพาไปดูห้องก่อน ส่วนกฎของที่นี่จะบอกให้ฟังทีหลัง"
"ได้... และข้ามีเรื่องสงสัยอีกเรื่อง"
"อะไรอีกล่ะ"
"ตกลงแล้วเจ้าหนุ่มหมอผีนั่น เป็นอะไรกันแน่? ไม่ใช่มนุษย์ใช่ไหม"
"หมายถึงคุณไตรน่ะเหรอ?" คิมเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ดวงตาเป็นประกายปรปักษ์เล็กน้อย "เขาเป็นมนุษย์แต่ไม่ใช่มนุษย์แท้ๆ หรอก... เขาเป็นลูกครึ่ง 'ปีศาจ' น่ะ"
เกร็ดเล็กๆ - สมัยรัชกาลของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง คือช่วง พ.ศ. 2172-2199 (พระองค์ครองราชย์ 26 ปี) ปู่ไอย์เกิดช่วงรัชกาลนี้ แต่สายเลือดของปู่ไม่ได้ของราชวงศ์ปราสาททอง เป็นราชวงศ์ก่อนซึ่งไม่ได้ระบุว่ามาจากองค์สมเด็จพระองค์ใดนะครับ
เรื่องการเจอกันของปู่และคิม ในช่วงรัชกาลของสมเด็จพระรามาธิปดีที่ 2 ในปีพ.ศ. 2059 ได้มีการเซ็นสัญญาการค้าขายระหว่างประเทศ โดยเริ่มที่โปรตุเกสเป็นชาติแรก มีการเผยแพร่คริสต์ศาสนาและภาษาก็มาด้วย นี่น่าจะเป็นการค้าอย่างเป็นทางการระหว่างประเทศครั้งแรกของไทยครับ
ปู่เกิดหลังจากช่วงเริ่มการค้านี้ไปร้อยกว่าปีเลยพอจะพูดภาษาอังกฤษได้ การเดินทางระหว่างประเทศทางเรือก็เยอะแยะ เพราะงั้น... โอกาสเจอคิมในวัยเด็กแม้จะคนละทวีปมันก็มีนะ
