บทที่ 3 : ผีตะพด
ไตรวิชญ์กะพริบตาปริบๆ มองชายหนุ่มผู้ถือตะพดชี้หน้าเขา ชายคนนั้นมีใบหน้าที่หล่อเหลาอ่อนโยน ริมฝีปากมีรอยยิ้มอ่อนๆ ผมสีดำขลับสั้นเสยไปด้านหลังอย่างเรียบร้อย ผิวสีแทนกร้านแต่ก็ดูสุขภาพดี รูปร่างสูงใหญ่สวมใส่เสื้อไทยสมัยอยุธยาสีน้ำตาลนุ่งโจงกระเบนสีดำ ดวงตาเป็นสีทองอ่อนผิดธรรมชาติคนเอเชียเป็นอย่างมาก แต่ก็เต็มไปด้วยอำนาจและบารมี
นี่คือ... ผีเฮี้ยนฆ่าคนตาย?
ดูยังไงก็เหมือนเทพยดาแสนใจดีไม่ใช่เรอะ
"เอ๊ะ? เอ่อ... มองไม่เห็นข้าหรือไร"
ชายหนุ่มชุดไทยทำหน้าฉงนเมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนมองเงียบๆ เหมือนไม่เห็นอะไรในห้องนอกจากกล่องแตกเลยมองอย่างตกใจเบาๆ แถมข้างเขานั้นก็มีชายหนุ่มใบหน้าหล่อเย็นชาที่ดูไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย
นี่เขายังไม่ปรากฏตัวให้มนุษย์เห็นหรอกหรือ?
ชายหนุ่มนัยน์ตาสีทองขมวดคิ้วเล็กน้อยและใช้พลังปรากฏตัวก่อนจะเอ่ยขึ้นใหม่
"สวัสดี เจ้าเองหรือที่ซื้อข้าผู้นี้ไป?"
"..."
"ยังไม่เห็นอีกหรือ"
"..."
"หรือว่าพลังจะเสื่อมเพราะปรากฏตัวมากเกินไป" ชายหนุ่มครุ่นคิดอย่างจริงจัง "แต่พลังข้าก็ยังเต็มเปี่ยม เป็นไปได้อย่างไร หรือพวกเจ้าจะตาบอด..."
"โธ่ กล่องแก้วนี่ทำมาอย่างดีเอาไปขายต่อได้แท้ๆ ไม่น่าแตกเลย"
คนที่ยืนเงียบมานานพูดแทรกขึ้น ทำท่าอยากจะถลาเข้าใส่เศษแก้วด้วยความอาดูร ชายหนุ่มผู้เย็นชาข้างๆ หันกลับมาสนใจอย่างกระตือรือร้นพลางเอ่ยปลอบอย่างใจปล้ำ
"แค่กล่องแตก เดี๋ยวเราสั่งทำให้ใหม่ก็ได้นะไตร"
"นี่มันกล่องแถมหลังจากจ่ายเงินไปแล้ว ถ้าสั่งกล่องใหม่ก็เสียเงินเพิ่มอีกไม่ใช่เหรอ ไม่อ่ะไม่เอา เปลือง"
"..."
ป่านนี้แล้วยังจะกลัวเปลืองอะไรอยู่อีก
"นี่เจ้าหนุ่มทั้งสอง"
"ใครหนุ่ม" เซียร์ขมวดคิ้วนิดๆ
"ว่าไงปู่" พี่หมอตอบเสียงแข็ง
"อ้าว ได้ยินเราหรอกหรือ แล้วเหตุใดไม่ตอบกันแต่แรก" ชายหนุ่มถือตะพดชักสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อยแต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความอ่อนโยน "เป็นเจ้าที่ซื้อข้าไปสินะ"
"ฉันไม่ได้ซื้อปู่สักหน่อย ซื้อตะพดต่างหาก"
"จะข้ากับตะพดก็เป็นสิ่งเดียวกัน"
"ไม่อ่ะ ไม่อยากได้ปู่เป็นของแถม เพราะงั้นส่งตะพดมาได้แล้ว"
พี่หมอเอ่ยปากไล่พลางยื่นมือจะไปคว้าตะพดมา แต่ชายหนุ่มตรงหน้าเบี่ยงหลบอย่างรวดเร็ว สีหน้าดูเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันที
"เจ้าเด็กไร้กาลเทศะ! กล้าหยิบของจากมือข้าผู้นี้เชียวรึ!"
"ทำไมจะไม่กล้า ไม่เชื่อก็ยื่นมาให้หยิบสิ แต่หยิบแล้วไม่คืนนะ นี่ของซื้อของขายแพงมากด้วย"
แค่คิดถึงราคาก็เหมือนเลือดจะไหลออกจากปากแล้ว
"เจ้า! ไร้มารยาท ไร้มารยาทยิ่ง"
อีกฝ่ายพูดเสียงต่ำกัดฟันกรอด ดวงตาสีทองวาวโรจน์พลังวิญญาณถูกใช้ออกอย่างเต็มที่ซัดร่างของเซียร์ลอยทะลุกำแพงหายไปจากสายตา ในขณะที่ไตรวิชญ์ยังอยู่ที่เดิมมือยกขึ้นป้องกันสายลมที่อัดกระแทง ดวงตาหรี่ลงเพื่อจับจ้องไปที่วิญญาณตรงหน้าที่กำลังสำแดงฤทธิ์
"วิญญาณ... กึ่งเทวะงั้นเหรอ"
"ตอนแรกข้าว่าจะไม่จัดการเจ้า แต่ในเมื่อไม่รู้จักสูงต่ำดีชั่ว ข้าก็จะสั่งสอนเจ้า เกิดมาชาติหน้าจะได้ฉลาดเสียบ้าง"
"เซียร์ถอยไป!"
ผีหล่อถอยออกไปหลายก้าว ตะพดก็ถูกฟาดออกไปด้วยความเร็วสูงเข้าใส่ไตรวิชญ์ทันทีเช่นกัน
ตูม!
"ละเมออะไรอยู่ปู่ คิดจะทำร้ายฉันความเร็วแค่นี้ไม่พอหรอกนะ"
เสียงตอบกลับเต็มไปด้วยความหงุดหงิด ขณะยืนอีกด้านหนึ่งโดยไร้รอยขีดข่วน แต่สิ่งของและกำแพงที่ถูกตะพดฟาดใส่พังเละไม่มีชิ้นดี ราวกับถูกบี้ด้วยของหนักกว่าร้อยกิโลกรัม
ตะพดอันแค่นั้นแต่น้ำหนักเถื่อนมาก
ชายในชุดไทยยังคงไล่ตามหวดตะพดเข้าใส่ ความเร็วของเขามองด้วยตาเปล่าไม่เห็น จุดที่เล็งเป้าที่ต้นคอของหมอผีหนุ่ม
ไตรวิชญ์เคลื่อนไหวด้วยความเร็วที่ไม่น้อยไปกว่ากัน ไม่มีทางที่ตะพดนั้นจะได้สัมผัสเขา แม้แต่แรงดันอากาศที่เกิดจากการเหวี่ยงยังไม่โดนเขาด้วยซ้ำ พลังวิญญาณสีเงินถูกใช้ในการเคลื่อนไหวอย่างเบาบาง ผิดกับอีกฝ่ายที่ใช้พลังสีดำทองได้อย่างดุเดือด
พลังนั้นเต็มไปด้วยไอศักดิ์สิทธิ์ที่แหลมคมดุดัน หากมีวิญญาณอยู่แถวนี้สักตนน่าจะถูกพลังนั้นฟาดจนแตกสลายไปแล้วแน่ๆ
เสียงอึกทึกภายในห้องไม่มีใครเข้ามาและไตรวิชญ์เองก็ไม่คิดว่าจะมีใครเข้ามาช่วยเหลือ ป่านนี้น่าจะหลบหนีออกไปกันหมดแล้ว และตำรวจก็น่าจะมาในไม่ช้าเช่นกัน
เพราะคงคิดว่าเขาจะเป็นศพเพราะตะพดนี่แน่ๆ
"ชิ! ยุ่งยากจริงๆ"
พี่หมอสบถในลำคออย่างหัวเสีย เวลามีน้อยไม่พอยังต้องมาเหนื่อยปราบตะพดอีก และนี่เวลาอะไรแล้วง่วงนอนฉิบหาย
"งั้นเลิกเล่น รีบจบเลยแล้วกัน ป่านนี้แม่คิมยืนจังก้ารอเทศน์อยู่หน้าบ้านแล้วแน่ๆ"
ไตรวิชญ์ไม่หนีแล้ว ร่างสูงหยุดยืนอยู่กับทีระตะพดเข้ามาใกล้ก่อนจะยกเท้าขึ้นเตะสวน แรงปะทะดีดตะพดไปด้านหลัง ดวงตาสีทองของอีกฝ่ายเบิกกว้างรั้งแขนไว้ เปลี่ยนน้ำหนักตะพดแล้วเหวี่ยงกลับไปอีกครั้ง
พี่หมอไม่เปิดโอกาสให้อีกเข้าประชิดตัวอย่างรวดเร็ว พลังวิญญาณสีเงินที่อยู่บนฝ่ามือฟาดเปรี้ยง ทั้งตัววิญญาณและตะพดก็พุ่งเข้ากระแตกกำแพงจนพังครืน
"เวร! หลุดออกนอกห้องไปเฉยเลย"
งานหยาบ
แบบนี้อีกฝ่ายก็มีโอกาสหนีมากขึ้นน่ะสิ
"ไอ้หนุ่ม! บังอาจทำร้ายคนแก่ได้ลงคอ อำมหิตจริง"
"ถึงจะแก่แต่ดูเหมือนแรงจะยังปึ๋งปั๋งอยู่เลยนี่ปู่ แบบนั้นไม่นับเซ่ะ" ไตรวิชญ์เอ่ยพลางแสยะยิ้มยียวน ก้าวเท้าเดินเข้าไปหาอย่างไม่กลัวตาย "หรือโดนฟาดครั้งเดียวก็เหี่ยวซะแล้ว เอายาโด๊ปไหม ไม่ดิ สมัยปู่น่าจะเรียกว่ายาดองเนอะ แบบโด่ไม่รู้งี้..."
"หุบปากเสีย!"
ชายถือตะพดพุ่งเข้าใส่อีกครั้ง พี่หมอหัวเราะในลำคออย่างถูกใจ
ยั่วโมโหง่ายแท้ๆ คนแก่นี่
ทำให้ขาดสติด้วยการยั่วยุแบบนี้คงโกรธหน้ามืดไม่หนีไปไหนง่ายๆ อย่างแน่นอน จากนั้นก็กำหลาบอีกฝ่ายเอาตะพดมา จะได้กลับบ้านนอน...
ทั้งสองต่อสู้กันอยู่นอกร้าน เป็นสถานที่ด้านหลังร้านที่อีกฝั่งเป็นบ้านคนปิดไฟนอนแล้ว แสงไฟในเวลานี้สลัวมาก มนุษย์ไม่อาจมองเห็นอะไรได้ชัดเจน แต่กับหมอผีแล้วแสงสีในดวงตาของเขานั้นแตกต่างจากมนุษย์ทั่วไปอย่างแน่นอน
การต่อสู้กับของพี่หมอและตะพดนั้นเต็มไปด้วยแสงจากพลังวิญญาณ หนึ่งการฟาดเกิดพลังวิญญาณที่สว่าง โดยเฉพาะพลังวิญญาณสีเงินของไตรวิชญ์ที่สาดแสงแรงยิ่งกว่าสปอร์ตไลท์
พวกเขาสู้กันกลางอากาศแบบไม่เกรงกลัวสายตาคนหรือกล้องวงจรปิดที่จะจับภาพได้ แต่ถึงจับภาพได้ก็คงเห็นแค่คนกระโดดไปมากับตะพดบินได้เท่านั้น ไม่มีทางเห็นแสงของพลังวิญญาณแสนแสบตา
เซียร์ที่กลับมาปรากฏตัวใกล้กับสนามรบของหมอผีมองไตรวิชญ์อย่างเป็นห่วง ไม่บ่อยนักที่หมอผีคนนี้จะลงแรงจัดการกับวิญญาณสักดวง และต้องใช้เวลานานขนาดนี้
หรือเพราะเป็นวิญญาณกึ่งเทวะ?
แต่เขาไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นหรอก ไม่ห่วงว่าจะชนะหรือไม่ด้วย ในความเป็นจริงเขาห่วงเรื่องเวลานอนของพี่หมอมากกว่า หากสู้กันนานๆ เขาจะผิดเวลานอน ตื่นมาจะไม่ค่อยสดชื่นและเสียสุขภาพมาก
"ไปตามคิมมาช่วยดีไหมนะ..."
ถ้าคิมมาช่วยรุมก็น่าจะจบได้เร็วๆ
ตูม!
ร่างวิญญาณของชายในชุดไทยกระแทกพื้นร่างจมหายไปในพื้นคอนกรีตแต่พื้นไร้ริ้วรอย ในขณะที่ตะพดจมลงพื้นทำพื้นแตกร้าวเป็นวงกว้างราวกับวัตถุหนักที่ตกลงมา
ไตรวิชญ์ลงมายืนบนพื้นอย่างนุ่มนวล มือข้างหนึ่งยกขึ้นปิดใบหน้าซีดขวา ริมฝีปากเบ้ลงอย่างหงุดหงิดยิ่งกว่าเก่า
"ปู่นี่ทรามชะมัด ฟาดหน้ากันได้ลงคอ ไม่รู้รึไงสำหรับหนุ่มหล่อใบหน้าคือจุดขายน่ะ"
"ข้าหล่อเหลากว่าเจ้ามากโขไอ้หนุ่ม" ชายหนุ่มนัยน์ตาสีทองลุกขึ้นยืน ผมที่เรียบรอยลู่อย่างยุ่งเหยิงลงจนเขาต้องยกมือเสยผมกลับขึ้นไป รอยยิ้มอ่อนโยนราวกับเทพยดายังคงประดับใบหน้าแต่แววตายังคงดุดันอำมหิต เห็นแบบนี้แล้วพี่หมออดที่จะบ่นไม่ได้
"หน้านั่น... จะอ่อนโยนหรือว่าโฉดชั่วเอาสักอย่างสิปู่"
"ข้าเป็นคนอ่อนโยน ไม่รู้รึ"
"เพิ่งเจอปู่วันนี้คงรู้หรอกมั้ง ตั้งสติปู่ ถึงนี่จะยุคไทยแลนด์ 4.0 แต่ข้อมูลปู่ก็ไม่ได้อัพเดทไวขนาดนั้นนะเว้ย มันต้อง Loading ก่อนชาติหนึ่ง!"
"???"
ใบหน้าอ่อนโยนเต็มไปด้วยความฉงนในทันที ไทยแลนด์ 4.0 คืออะไร อัพเดทคืออะไร Loading ก่อนชาติหนึ่ง คืออะไร... มันคือภาษาฝรั่งใช่หรือไม่?
ไฉนภาษาในสมัยนี้แปลกประหลาดยิ่ง
ไตรวิชญ์ยิ้มเยาะเย้ยคนทำหน้างง
"เอ๊างง งงล่ะสิปู่"
"ก็เจ้าพูดภาษาไทยไม่รู้เรื่องจะไม่ให้ข้าสับสนได้หรือไร" ชายหนุ่มมองค้อน เขาชี้ตะพดไปทางไตรวิชญ์แล้วเอ่ยอย่างเหยียดหยาม "ยุคสมัยนี้เด็กน้อยเช่นเจ้าใช้วาจาและกิริยาได้อย่างน่าชังยิ่ง ราวกับเด็กไร้การอบรม แค่ภาษาบ้านเกิดเมืองนอนยังใช้ไม่ถูกต้องเลย"
"ภาษาน่ะถูกต้อง แต่มันมีการทับศัพท์เฟ้ย ปู่คิดว่านี่ผ่านมากี่ปีตั้งแต่ปู่ตายกันน่ะ"
"แล้วกี่ปี?"
"จะรู้เรอะ ปู่ชื่ออะไรตายเมื่อไหร่ยังไม่รู้เลยเนี่ย!"
ตีกันมาตั้งนานเขาก็เรียกแต่ปู่ๆ ที่ดูทรงเอาจากการแต่งกาย ไม่ได้รู้อายุจริงวิญญาณเลยแม้แต่น้อย
สีหน้าของชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะทำท่าพ่นลมหายใจ ดวงตามีความแน่วแน่มากขึ้น ดูท่าจะตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ฟังชายหนุ่มตรงหน้าอีก
"แล้วไยเจ้าถึงอยากได้ตะพดของข้า"
"จำเป็นต้องบอกด้วยหรือไง บอกแล้วจะให้หรือเปล่าล่ะ"
"ของชิ้นนี้ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์จะครอบครองได้หรอกนะ"
"เพราะมีเหล็กไหลอยู่ภายในงั้นสิ"
"เจ้าก็รู้นี่" ชายหนุ่มผู้อ่อนโยนยิ้มอ่อน "ของสิ่งนี้ข้าครอบครอง ต่อให้เจ้าหยิบจับมันได้มันก็ไม่มีทางยอมรับมนุษย์อย่างเจ้าได้"
"มันก็ไม่แน่หรอกปู่"
พี่หมอลดมือลงเปิดตาข้างขวาขึ้น ดวงตาที่เคยเป็นสีดำขลับกลายเป็นสีแดงแวววาว มีประกายระริกราวกับมีเปลวเพลิงอยู่ภายใน ชายหนุ่มชุดไทยผงะถอยหลัง ขยี้ตามองอีกอย่างตกตะลึง
"นัยน์ตาสีแดงข้างเดียว... เป็นลูกครึ่งแวมไพร์งั้นหรือ?"
"ใครเป็นลูกครึ่งแวมไพร์กันปู่ เพ้อเจ้อ"
"สมัยนี่ผสมกันข้ามเผ่าพันธุ์แล้วรึนี่"
"เฮ้ย! นี่ไม่ฟังกันเลยรึปู่ ก็บอกว่าไม่ใช่ลูกครึ่งแวมไพร์ไง" ไตรวิชญ์ยกมือขึ้นสายผมอย่างหงุดหงิด ดวงตากลอกไปมา ก่อนจะเอะใจขึ้นมาได้ "เดี๋ยวนะ ดูจากชุดปู่นี่ก็น่าจะคนจากสมัยอยุธยาเป็นราชธานีใช่ไหม สมัยนั้นรู้จักแวมไพร์ด้วยเรอะ"
"ข้าจะไม่รู้จักได้อย่างไร ไม่ใช่คนบ้านนอก!"
"โถ่ๆๆ พ่อคนในเมือง ในกรุง ในราชธานี!"
ปู่ไม่รู้อะไร อยุธยาในตอนนี้ก็กลายเป็นบ้านนอกไปแล้วเหมือนกันแหละ ไม่ได้จัดอยู่ในเขตปริมณฑลของกรุงเทพด้วย
เซียร์กระแอมไอกลบเกลื่อน เขาเดาความคิดพี่หมอออก จากนั้นก็ถอนห่างออกไปอีกนิด เพราดูเหมือนสถานการณ์จะระอุขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นใครบางคนที่ยืนมองนิ่งๆ อยู่ไม่ไกลจากจุดปะทะ
เขามาทำอะไรที่นี่น่ะ?
"ในเมื่อไม่ใช่แวมไพร์แล้วเจ้าเป็นอะไรกันแน่เจ้าหนุ่ม" ชายหนุ่มชุดไทยถาม ไตรวิชญ์ยิ้มอย่างมีเลศนัย เอียงคอนิดๆ ยกนิ้วแตะริมฝีปากที่แสยะยิ้ม ดวงตาสองสีหรี่ลงอย่างชั่วร้าย
"นี่เป็นความลับ!"
"อ้อ ไม่ใช่มนุษย์งั้นรึ"
"ก็บอกว่าความลับไงปู่"
"ต้องเป็นลูกครึ่งกับมนุษย์แน่ข้าสัมผัสได้"
"เฮ้ยปู่! ฟังฉันบ้างสิฟะ"
"ก็ในเมื่อเจ้าไม่บอกอะไรข้าเลย ไยข้าต้องฟังเจ้าด้วย"
"..."
เออ ก็ถูกของเขา
ชายหนุ่มชุดไทยถามอะไรมาพี่หมอก็ตอบไม่ตรงสักอย่าง สมควรแล้วที่เข้าจะไม่ฟัง
"ยังไงก็ส่งมาเถอะตะพดนั่นน่ะ แล้วถ้าปู่อยากไปสวรรค์ฉันจะส่งไปให้เอง" ไตรวิชญ์พูดด้วยสีหน้าจริงจังขึ้น แต่มันก็ดูไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่นักในสายตาของชายชุดไทย
"หมอผีอย่างเจ้าน่ะหรือจะส่งข้าขึ้นสวรรค์ได้" เขากล่าวอย่างดูแคลน ใบหน้ามีรอยยิ้มอ่อนจาง "หมอผีก็แค่พวกมีวิชาหาใช่เทพยดาไม่ อย่าได้โป้ปด"
"ไม่ได้โกหกสักหน่อยนะปู่ จะไปสวรรค์หรือนรกฉันก็พาไปได้ทั้งนั้น นั่นเพราะ..."
"เพราะ?"
"ความลับของฉันเอง จุ๊ๆ ไม่เอาไม่บอก"
"..." แล้วจะหยุดให้อยากรู้เพื่อ?
"เอาเป็นว่าฉันส่งได้ ปู่จะได้ไม่ต้องเสียเวลารอบำเพ็ญเพียรเพื่อเป็นเทพด้วยไง นี่เสนอทางลัดให้แล้วนะเฟ้ย" พี่หมอยิ้มเบิกบานก่อนจะเสนออีกทางเลือก "หรือถ้ายังไม่อยากรีบไปจะมาอยู่บ้านฉันก่อนก็ได้ ให้อาศัยอยู่ฟรีๆ สิบปีแถมพลังวิญญาณเข้มข้นบรรลุเป็นเทพได้สบายด้วย แค่ปู่ยอมเอาตะพดมาให้เท่านั้น"
เขาคิดว่าข้อเสนอนี้ดีมากแล้วสำหรับวิญญาณ เพราะมีไม่มากหรอกที่เขาจะเสนออะไรแบบนี้ อย่างน้อยๆ ต้องเป็นวิญญาณระดับ 9 ขึ้นไป
อย่างปู่นี่เป็นวิญญาณกึ่งเทวะ ระดับสูงกว่า 10 ไปเล็กน้อยเท่านั้น หากอีกฝ่ายยินยอมไปอยู่ด้วยก็นับว่าเป็นเรื่องดี
แต่ถ้าไม่... ก็คงต้องลงมือหนักๆ สักหน่อย
แค่ทำลายวิญญาณสักดวงสองดวง ไม่คณามือพี่หมอหรอก
"ว่าไงปู่ นี่ใจดีมากแล้วนะ ปกติฉันไม่เชื้อเชิญผีไปอยู่บ้านสุ่มสี่สุ่มห้าหรอกจะบอกให้ นี่เพราะเป็นวิญญาณกึ่งเทวะหรอกนะ ระดับสูงแบบนี้ถ้าไม่ไปจุติเก็บเอาไว้ก็เพิ่มมนต์ขลังให้บ้านไม่หยอก"
"นี่ผีบ้านเจ้ามีเอาไว้เพิ่มมนต์ขลังเองเรอะ!"
"เปล่า! เอาไว้เป็นขี้ข้าต่างหาก!!"
"!!!"
"เนี๊ยะ มีผีเป็นขี้ข้าร้อยกว่าละ แต่ไม่มีตัวไหนเป็นกึ่งเทวะแบบปู่เลย เพราะงั้นไปอยู่บ้านแล้วทำหน้าที่เป็นเจ้าที่เจ้าทางก็ได้อยู่นะ ฮ่าๆ"
"..."
คำพูดของไตรวิชญ์ทำให้เซียร์ ปู่ชุดไทยและใครอีกคนที่แอบมาดูเหตุการณ์ถึงกับอ้าปากค้าง จากนั้นสองในสามก็หลุดหัวเราะอย่างอดไม่ได้กับความคิดของเขา
ก็รู้อยู่หรอกว่าสติพี่หมอมีปัญหา แต่ขนาดนี้คงเรียกได้แค่อย่างเดียวแล้วล่ะ
ไอ้บ้า!
มีอย่างที่ไหนให้ผีมาเป็นขี้ข้ากับเอาวิญญาณกึ่งเทวะมาเป็นเจ้าที่ ทั้งที่วิญญาณเหล่านี้หยิบจับอะไรก็ไม่ได้ ใช้ประโยชน์ก็จำกัดนัก คงมีแต่หมอผีเพี้ยนๆ อย่างนี้แหละที่ทำ
"ว่ายังไงปู่ นี่โปรโมชั่นสุดๆ แล้ว ถ้าไม่เอาก็ต้องสู้ตายแล้วนะเว้ย!"
ชายหนุ่มในชุดไทยกะพริบตาปริบๆ ไม่ได้มองหน้าพี่หมอที่ยืนเท้าเอวอยู่ข้างหน้า แต่กลับมองเลยไปยังใครบางคนที่ยืนหลบมุมอยู่ ไตรวิชญ์หันกลับไปมองด้วยพอเห็นว่าเป็นใครก็เลิกคิ้วอย่างประหลาดใจ
ใครคนนั้นมีใบหน้าที่สวยสดงดงาม ผมสีดำสั้น ดวงตาสีน้ำเงินเรืองรองในความมืด สวนใส่ชุดสีดำและผ้าพันคอสีเงิน ซึ่งอีกฝ่ายก็มองหน้าเขาอยู่เช่นกัน
คิม! แวมไพร์แม่บ้านของเขาเอง!
แต่ทำไมปู่ถึงจ้องมองคิมแบบนั้น แล้วทำไมสีหน้าของคิมถึงดูประหลาดๆ อย่างนั้นด้วย
ชายหนุ่มในชุดไทยนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ก็พูดออกมาในที่สุดขณะชี้นิ้วไปที่อีกฝ่ายอย่างคนเพิ่งนึกออกว่าเป็นใคร
"อ้าว นั่น 'สาวน้อย' ไม่ใช่หรือ!"
