บท
ตั้งค่า

บทที่ 2 : การประมูล

งแต่มีชีวิตมาจนถึงตอนนี้ไตรวิชญ์ไม่เคยเข้าร่วมงานประมูลใต้ดินอย่างนี้มาก่อนเลย ถึงจะเคยไปงานหรูหราอื่นๆ แต่กับงานประมูลอย่างนี้ ถ้าไม่ใช่ว่าเขาต้องการตะพดนั่นก็คงไม่คิดจะเข้ามา

การเสียเงินโง่ๆ ไปกับวัตถุโบราณที่ใช้ประโยชน์ไม่ได้มันไม่ใช่แนวของเขา

แต่ครั้งนี้เขามาเสียเงินกับของเก่าจริงๆ ชิ้นหนึ่ง ด้วยความที่ไม่คุ้นชินกับสถานที่และบรรยากาศ เขาเลยจำเป็นต้องมีคน ไม่สิ พาผีมาด้วย ซึ่งก็คือผีหน้าหล่อเย็นชา... เซียร์นั่นเอง

ถึงจะบอกว่ามาด้วยกันแต่มนุษย์ทั่วไปมองไม่เห็นผี เซียร์ไม่อยู่ในสถานะที่จะสามารถโชว์ตัวได้ เพราะในชนชั้นสูงเหล่านี้ต้องมีคนเห็นเซียร์มาก่อน เนื่องจากเขาเป็นถึงอดีตนักธุรกิจใหม่ไฟแรงในยุคนั้น มีโอกาสที่คนจำนวนมากจะจำได้ถึงตัวตนของอีกฝ่าย

ก็ในเมื่อใครๆ ก็รู้ว่าเซียร์ตายไปแล้ว... หากปรากฏตัวออกมา งานประมูลก็ล่มน่ะสิ แล้วที่นี้ก็ได้เป็นข่าวครึกโครม ไอ้ของที่ต้องการจะได้ก็อาจจะมาไม่ถึงมือ

"บรรยากาศหรูหราแต่ก็น่าอึดอัดจริงๆ"

ไตรวิชญ์ขยับเนกไทไปมาอย่างอึดอัด ถึงเขาจะแต่งชุดสูทเป็นประจำเพราะอาชีพ แต่เขาก็ไม่ได้ผูกเนกไทเนี๊ยบขนาดนี้ แล้วผมก็ไม่ต้องเสยเป็นทรงเปิดหน้าผากอย่างตอนนี้ด้วย

"บรรยากาศก็อย่างนี้แหละ สังคมชนชั้นสูงคือสังคมหน้ากาก การโอ้อวดและแสวงหาผลประโยชน์ สำหรับไตรที่ไม่ค่อยเข้ามาสุงสิงก็น่าจะอึดอัดเป็นธรรมดา"

"เซียร์ต้องอยู่สังคมแบบนี้ก็เก่งเหมือนกันนะ"

"ธรรมดา เราชินแล้ว แถมสังคมแบบนี้มันก็ไม่เลวนักหรอก" เซียร์หัวเราะในลำคออย่างเย็นชา กวาดตามองเหล่าเศรษฐีที่พอคุ้นหน้าคุ้นตาอยู่บ้าง ซึ่งหน้าตาแต่ละคนไม่ได้ดูแก่ลงเท่าไหร่นัก

ก็ตั้งแต่เขาตายมันก็ผ่านมาแค่เก้าปีเองนี่นะ

มีนักธุรกิจและนักการเมืองอยู่ในงานประมูลเป็นจำนวนมาก การพูดคุยของพวกเขานอกจากหน้ากากรอยยิ้มแล้ว คำพูดยังซ่อนความหมายที่หยั่งเชิงและแสวงหาผลประโยชน์จากกันและกัน เป็นการมางานประมูลที่ไม่ใช่แค่ประมูลของแล้วจบไป แต่ยังตกลงธุรกิจได้ภายใต้งานชุมชมแบบนี้ด้วย บรรยากาศที่คุ้นเคยแบบนี้ทำให้เซียร์เค้นยิ้มเย็นชาออกมาครั้งหนึ่ง ทั้งคิดถึงและเบื่อหน่ายไปพร้อมกัน

"จะว่าไปแล้วไตรในชุดสูทหรูกับทรงผมเรียบร้อยก็ดูดีอยู่นะ" ผีหน้าหล่อมองสำรวจไตรวิชญ์อย่างจริงจัง นานๆ ครั้งถึงจะเห็นหมอผีคนนี้อยู่ในชุดที่เรียบร้อยภูมิฐาน

"ดีใจอยู่หรอกที่ชม แต่ยังไงก็ไม่ชอบสภาพแบบนี้เท่าไหร่ โดยเฉพาะทรงผมเปิดเถิก"

"หึๆ เราเข้าใจ ก็ไตรไม่ใช่คนเรียบร้อยนี่นะ"

"อย่าพูดงั้นสิ"

ไตรวิชญ์หัวเราะในลำคอเบาๆ หลังจากถูกผีหล่อข้างตัวหยอกล้อ ก่อนจะมองหาที่นั่งตามบัตรเชิญ

ไตรวิชญ์นั่งอย่างโดดเดี่ยวคนเดียวจิบไวน์ไปพลางๆ ขณะฟังเซียร์พูดถึงเหล่านักธุรกิจที่จ้องมาที่เขาหลายคน รวมไปถึงเหล่าคุณหนูที่ติดตามผู้ปกครองมาร่วมงานด้วย หลายคนมองเขาแล้วใบหน้าขึ้นสีระเรื่อ เพราะใบหน้าที่ดูหล่อเหลากอปรกับท่าทางที่ดูคุณชายผู้เปี่ยมไปด้วยความเจ้าเล่ห์ชั่วร้ายแต่ก็ยังน่าหลงใหลเกินห้ามใจ โดยเฉพาะเมื่อแสงไฟสลัวลงบรรยากาศและท่าทางของเขาก็ดูลึกลับน่าค้นหามากยิ่งขึ้นจนรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกอย่างเลือนราง

ยะเยือกจนคิดว่าเขาเปิดแอร์แรงไป...

แต่ไม่ใช่หรอก ที่หนาวเย็นเพราะผีเซียร์นั้นไม่สบอารมณ์เหล่าหมาป่าสาวที่จ้องเหมือนจะกลืนกินไตรวิชญ์เข้าไปต่างหาก ถ้าไม่ติดงานเขาจะไปหลอกให้หัวโกร๋น!

"อ้าว พี่หมอก็มางานประมูลเหรอครับ"

เสียงของชายชราที่อยู่อยู่มากกว่าพี่หมอหนึ่งรอบคนหนึ่งเอ่ย เขาหันไปกลับไปมองแล้วยิ้มการค้าให้อย่างสวยงาม แม้จะแอบคิ้มกระตุกกับคำเรียกว่าพี่หมอก็ตาม

"คุณนั่นเอง มางานด้วยเหมือนกันเหรอ"

"ใช่ครับ สนใจตะพดเก่าอันหนึ่ง" อีกฝ่ายตอบแล้วหัวเราะเบาๆ "แล้วพี่หมอสนใจอะไรหรือ"

"สนใจตะพดเหมือนกัน"

"พี่หมอก็สนใจตะพดหรือนี่ แย่เลยสิแบบนี้"

ทั้งงานมีตะพดเก่าออกมาประมูลชิ้นเดียว ดูเหมือนว่างานนี้จะต้องแย่งชิงกันหน่อยแล้ว

ชายชราเปลี่ยนเรื่องคุยไป ไตรวิญช์ก็พูดตอบโต้เขาไปบ้างเล็กน้อย เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นคนที่เคยใช้บริการตนเองในการปราบผีและซื้อประกัน เขาก็ควรจะมีมารยาทให้สักหน่อย

มีหลายคนที่เคยใช้บริการเขา เรียกพี่หมอๆ ไม่เกรงใจอายุจริงของเขาเลยสักนิด เซียร์ที่ยืนล่องหนอยู่ข้างๆ พยายามกลั้นหัวเราะสุดชีวิตกับคำเรียกขาดที่ชินปากของเหล่าเศรษฐีอายุมากทั้งหลาย

ก็ใครใช้ให้มีชื่อเรียกพิลึกพิลั่นอย่างนั้นกันเล่า

เมื่อพิธีกรเริ่มออกมาพูดคุยเรียกความสนใจของแขกเหรื่อถึงรายการของที่จะนำมาประมูลอย่างคร่าวๆ รายการส่วนใหญ่เป็นวัตถุโบราณที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศที่มีประวัติยาวนานกว่าร้อยปีขึ้นไปทุกชิ้น มีบางรายการที่เป็นของจากต่างประเทศด้วย

แน่นอนว่าของประมูลสะสมเหล่านี้มีคุณค่าในเชิงวัฒนธรรมมหาศาล ราคาของมันแต่ละชิ้นหลักแสนขึ้นไปทั้งสิ้น เป็นราคาที่ทำให้ไตรวิชญ์รู้สึกอยากยกมือขึ้นกุมขมับ

"ราคาโหดมากแต่ละชิ้น ทั้งที่เป็นของเก่าที่พังแล้วทำไมแพงจัง"

ถ้าคิดจะซื้อมันก็ไม่ทำให้ขนหน้าแข้งเขาร่วง แต่ราคาของเก่ามากขนาดนี้มันก็ออกจะเกินจริงไปหน่อยหรือเปล่านะ

"วัตถุโบราณมีคุณค่าเพราะมันเป็นหลักฐานบ่งบอกประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในแต่ละยุคสมัย นอกจากไว้ศึกษาแล้วการมีไว้สะสมก็เป็นการโอ้อวดฐานะและดึงดูดคนประเภทเดียวกันเพื่อคบค้าสมาคมกัน หรือบางคนก็มีความเชื่อว่าวัตถุโบราณมักมีพลังแฝงเร้นอยู่ถ้าได้ครอบครองจะทำให้ร่ำรวยเงินทอง สุขภาพแข็งแรงอะไรแบบนั้น ส่วนใหญ่แล้วคนซื้อก็จะเป็นสองประเภทหลัง"

"แล้วเซียร์เป็นประเภทไหน"

"ไม่ใช่ประเภทไหนทั้งนั้น เราไม่มีความจำเป็นต้องซื้อขยะ"

"อ้าว ทั้งที่เพิ่งบอกว่ามันมีคุณค่าแท้ๆ"

"มีคุณค่ากับคนอื่น แต่สำหรับเราก็แค่ขยะ"

ไตรวิชญ์หัวเราะเบาๆ แล้วยิ้มชั่วร้าย "จริงๆ แล้ววัตถุโบราณบางชิ้นก็มีพลังในการเพิ่มโชคและปัดเป่าโรคภัยอยู่เหมือนกันนะ"

"มีเหรอ?" ผีหน้าหล่อเอียงคอมองเล็กน้อย

"ใช่ ตัวอย่างเช่นตะพดที่จะซื้อในวันนี้ไง"

"อ้อ เป็นสิ่งที่ทำมาจากวัตถุศักดิ์สิทธิ์สินะ"

วัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติย่อมมีพลังอยู่ในตัว มีราคาสูงและเป็นที่ต้องการก็ไม่น่าแปลกใจ

ไตรวิชญ์เองก็ต้องการเช่นกัน วัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติไม่ใช่ของหาง่ายๆ เขาตามหามานานสิ่งที่ผ่านมีเขามีน้อยจนนับนิ้วได้ และชิ้นเหล็กไหลที่กำลังจะปรากฏในงานประมูลนี่ด้วย

เมื่อถึงเวลาอันควรพิธีการพูดดึงดูดความสนใจจากผู้คนอีกครั้งด้วยการนำเสนอขายของชิ้นแรก เป็นคนโทน้ำสีดำด้านมีรอบแตกและบิ่นปรากฏให้เห็น พิธีกรพูดเล่าความเป็นมาของคนโทนี้ด้วยท่าทางตื่นเต้น ก่อนจะปิดท้ายด้วยราคาเปิดประมูลที่สูงถึงสองแสนบาท

ของโบราณที่เอามาประมูลเหล่านั้นไม่มีอะไรดึงดูดใจไตรวิชญ์ให้อยากซื้อหรือสนใจฟังความเป็นมาของสิ่งของเก่าแก่เหล่านั้น เขานั่งตาปรือมองคนประมูลอย่างดุเดือดและพิธีกรที่พูดกระตุ้นไม่หยุดจนกระทั่งปิดการประมูลไปกว่าสิบห้าชิ้น แต่ในบรรดาของเหล่านั้นยังไม่มีตะพดออกมาเลย

"เมื่อไหร่ตะพดจะออกมาน่ะ" ไตรวิชญ์เบ้ปากไม่สบอารมณ์ "นี่ก็ห้าทุ่มเข้าไปแล้วนะ"

อีกนิดก็เป็นเวลานอนของเขาแล้ว

ส่วนผีนับร้อยที่บ้านตอนนี้ก็คงกำลังนั่งปาร์ตี้กันอย่างเมามันผลาญเงินของเขาอย่างสนุกสนาน... สิ้นเปลืองอย่างแท้จริง

เอื๊อะ... แค่คิดก็เหมือนเลือดไหลซิบๆ ออกจากหัวใจ

"ตอนนี้ก็มาถึงสินค้าที่ทุกท่ารอคอยแล้วนะครับ นั่นคือตะพดเก่าแก่สมัยกรุงศรีอยุธยานั่นเอง!"

เสียงพิธีกรดังขึ้นนำเสนอพร้อมกับตะพดในตู้กระจกที่เข็นออกมาอวดโฉมกันต่อหน้า เหล่าเศรษฐีและพี่หมอ

เซียร์ขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเผชิญหน้ากับตะพดที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ ร่างกายซวนเซเล็กน้อย ดวงตาสีฟ้าใสหันไปมองหนาไตรวิชญ์อย่างเคร่งขรึม

"พลังรุนแรงจริงๆ ทำเอายืนแทบไม่อยู่"

"อืม สัมผัสได้ว่าเป็นของจริง... แต่ไม่รู้ว่าอยู่ระดับไหนกันแน่"

ไตรวิญช์จ้องเขม็งไปที่ตะพดหัวทองคำอย่างคาดหวัง เหล็กไหลเป็นแร่ศักดิ์สิทธิ์ก็จริงแต่ก็มีอยู่ด้วยกันหลายระดับ แม้ไม่คิดว่าจะมันจะอยู่ในระดับสูง แต่มันคงไม่ต่ำจนเกินไปไม่อย่างนั้นคงไม่มีผลกับเซียร์

เพราะเซียร์คือผีระดับ 10 พลังระดับเดียวกับยมทูตที่เก็บเกี่ยวชีวิตนับสิบได้เพียงแค่ลงมือครั้งเดียว กับสมบัติศักดิ์สิทธิ์ระดับต่ำไม่มีทางทำให้เขาตะดุ้งสะเทือนได้หรอก

ต้องเป็นระดับกลางขึ้นไปเท่านั้นถึงจะส่งผล

"เนื่องจากเป็นตะพดที่มีความสมบูรณ์มากและเก่าแก่เป็นอย่างยิ่งราคาเปิดจึงสูงมากเช่นกัน" พิธีกรกล่าวอย่างกระตือรือร้น "และเหมือนก่อนหน้านี้นะครับ เราจะประมูลกันด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐ ราคาเปิดที่หนึ่งล้านห้าแสนดอลลาร์สหรัฐครับ!"

ไตรวิชญ์สูดหายใจเข้าลึกๆ กับราคาเปิดตัวที่สูงมาก ตีเป็นเงินไทยก็เกือบห้าสิบล้านบาทแล้ว แค่เห็นราคาก็ไม่อยากประมูลต่อแล้วล่ะ หมดกำลังใจ

"หนึ่งล้านหกแสนดอลลาร์!"

มีคนเปิดราคาประมูลแล้ว

"หนึ่งล้านเจ็ดแสนดอลลาร์!"

"หนึ่งล้านแปดแสนดอลลาร์!"

"สองล้านดอลลาร์!"

ราคาพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ พี่หมอทำท่าเหมือนจะช็อกตายเมื่อราคายังไม่หยุดเมื่อแตะไปที่สี่ล้านดอลลาร์แล้วและยังไม่ชะลอตัว เซียร์กลั้นยิ้มเอ่ยปลอบเสียงนุ่ม

"สู้ราคาไปก็ได้นะไตร ถึงจะสิบล้านดอลลาร์ก็ไม่สะเทือนเราหรอก"

"เป็นเงินดอลลาร์มันฟังไม่เท่าไหร่... ตีเป็นเงินไทยก็ตั้งสามร้อยล้านกว่าเลยนะ" ราคานี้ซื้อบริษัทระดับกลางสองแห่งได้เลยเหอะ

แล้วไม่ต้องพูดเหมือนรวยขนาดนั้น ต่อให้รวยแต่เขาก็ยังงกเฟ้ย!

"แล้วทำไมราคามันพุ่งขนาดนี้ เหล็กไหลแพงมากเรอะ"

"หึๆ ถ้าราคาตลาดทั่วไปก็ไม่ถึงสิบล้านหรอก"

"สิบล้านนี่สกุลเงินไหนฟะเซียร์"

"ดอลลาร์สหรัฐสิ"

"แพงเฟ้ย! ตอนนี้ราคาแตะหกล้านแล้ว!"

ถึงแม้ราคาจะเริ่มชะลอตัวลงแล้วแต่ก็ยังมีคนประมูลอยู่ สีหน้าของคนประมูลยังคงเต็มไปด้วยความมั่นใจ ดูไม่ค่อยระคายกับการจ่ายเงินเป็นล้านดอลลาร์สักเท่าไหร่นัก

"เอาไงไตร ถ้าไม่ประมูลตอนนี้ก็ต้องรอดักปล้นผู้ชนะประมูลเอานะ"

เซียร์เอ่ยถามความต้องการ แต่ไม่ว่าไตรวิชญ์จะเลือกแบบไหน เขาก็ไม่ขัดข้องทั้งนั้น ในเมื่อคนลงมือไม่ใช่เขาอยู่แล้ว

ถึงเซียร์จะเป็นวิญญาณแข็งแกร่ง แต่ก็แตะต้องวัตถุศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้

"เอาวะ สู้ก็สู้ เงินแค่นี้เอ๊ง!"

ไตรวิชญ์กัดฟันกรอด จำใจพูดอย่างที่สุด ดวงตามีเส้นเลือดขึ้นมาเล็กน้อยคล้ายจะคลั่งกับการเสียเงินไปจำนวนมาก

"แปดล้านเจ็ดแสนหกหมื่นห้าพันสี่ร้อยสามสิบสองดอลลาร์!"

เขาเสนอราคาออกไปแล้ว

และดูเหมือนจะไม่มีคนจะไม่มีใครเสนอราคาต่อ สายตาของทุกคนหันมามองเขาเป็นตาเดียว ปากอ้านิดๆ อย่างคาดไม่ถึงว่าจะมีใครกล้าเสนอราคานี้ออกมาได้

แม้กระทั่งพิธีกรยังยืนอึ้งไมค์เกือบหล่น

"อะไร ราคานี้ไม่ได้เหรอ"

ชายหนุ่มปรายตามอง ใบหน้าหล่อเหลาดูชั่วร้ายอันตราย ดวงตาสีดำข้างหนึ่งมีประกายสีแดงระเรื่ออยู่ภายในหรี่ลงอย่างน่าหวาดหวั่น

ถึงราคาจะกวนอวัยวะเบื้องล่าง แต่ไม่ผิดกฎประมูลนะเฮ้ย

"เอ่อ... ไม่ผิดครับ มีใคร... มีใครจะเสนอราคาอีกไหมครับ?"

พิธีกรพูดขึ้นเสียงอึกอักไม่ชัดเจน เหล่าผู้ร่วมประมูลเองก็มีท่าทางอึดอัดไม่น้อยไปกว่ากัน ถึงจะโกรธเคืองแต่ก็ไม่มีใครเสนอราคาต่อจากพี่หมอ เขาเสนอราคากวนประสาทมาแบบนี้หากประมูลต่อก็เท่ากับหาเรื่องคนบ้านี่ เพราะงั้นแค่ตะพดอันเดียว ถึงจะเสียดายแต่ก็ปล่อยไปเถอะ

โบราณเขาว่า อย่าถือบ้า อย่าว่าคนเสียสติ...

พิธีกรเริ่มนับช้าๆ เมื่อไม่มีเสียงเสนอราคาขึ้นมาอีกก็ประกาศว่าไตรวิชญ์เป็นผู้ชนะการประมูลไป แต่สีหน้าคนประมูลหลังจากชนะแล้วก็เหมือนจะป่วยๆ ขึ้นมานิดหน่อย

"ท่านคะ เชิญทางนี้ค่ะ"

เจ้าหน้าที่สาวออกมาเชิญผู้ชนะในการประมูลเหมือนอย่างเคย หากว่าชนะแล้วสิ่งที่ต้องทำก็คือการตกลงคุยกันถึงเรื่องการจ่ายเงินก่อนรับสินค้า ไตรวิชญ์ลุกออกจากเก้าอี้เดินออกจากห้องพลางหันไปทางผีหน้าหล่อที่เดินตามมา

"เงินอยู่ในบัญชีเฉพาะในประเทศหรือเปล่า"

"ไม่ ยังมีของธนาคารอื่นอีก" เซียร์ตอบ "แต่สำหรับงานประมูลอย่างนี้คงโอนเข้าบัญชีลับจากสักประเทศ"

"แล้วเรามีไหม?"

"มี เราก็เปิดไว้หลายที่ เน้นหนักไปทางประเทศที่ง่ายต่อการฟอกเงินและเก็บความลับบัญชี อย่างสวิตเซอร์แลนด์ ฮ่องกง สิงคโปร์ เคย์แมน ลักเซมเบิร์ก และอีกสิบกว่าประเทศ"

"..."

"แต่จำนวนทรัพย์สินก็อยู่ในระดับไล่เลี่ยกันนะ จะใช้เงินจากบัญชีไหนก็ได้ทั้งนั้น แต่ถ้าจะให้ดีก็เอาของสหรัฐฯ ดีกว่า ไม่ต้องแปลงสกุลเงินด้วย... เป็นอะไรไปไตรหน้าแข็งทื่อเชียว"

"...ไม่มีอะไร"

เขารู้ว่าเงินของเขาที่ให้เซียร์บริหารเงินในเวลาแปดปีมันมากมาย แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะกระจายไปทั่วโลกแบบนี้ ตอนนี้ทรัพย์สินโดยรวมเท่าไหร่ไม่ถามจะดีกว่า กลัวช็อกตาย

ไตรวิชญ์เจอกับผู้จัดการงานประมูลอยู่หน้าห้อง ไม่ได้เข้าไปคุยหรือตกลงกันในห้อง เพราะเอกสารที่ต้องเซ็นมีเพียงแค่สัญญาซื้อขายที่จะไม่รับประกันสินค้าและไม่รับเปลี่ยนหรือคืนเงินในทุกกรณี

ก็ปกติ สิ่งของโบราณนี้เป็นของเก่า หากเสียหายแล้วหลังได้รับก็คงไม่มีของใหม่มาเปลี่ยนหรอก

แต่เขายังไม่ได้เห็นของเลยนี่สิ กลับต้องเซ็นสัญญาก่อนซะงั้น

เขายอมตกลงเซ็นสัญญาและจ่ายเงินไปก่อน ส่วนของนั้นอยู่ในห้องอย่างแน่นอน เพราะสัมผัสได้ถึงพลังศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในห้อง และก่อนที่ผู้จัดการจะไปก็เอ่ยปากกระซิบเตือนด้วยสีหน้าหวาดหวั่นเล็กน้อย

"พี่หมอระวังหน่อยนะครับ นั่นน่ะเป็นตะพดผีสิงที่หลอนแรงมาก ถึงพี่หมอจะเป็นหมอผีแต่ก็ไม่น่าไหว ถ้าเป็นไปได้ก็อย่าเอาออกจากกล่องเลยนะครับ"

"เอ่อ กล่องนั่นผนึกผีไว้เหรอครับ"

"ใช่ครับ ใช้หมอผีตั้งสิบคนแน่ะถึงจะผนึกได้ แต่ก็ทำให้ตายไปสามเลยล่ะ"

"โอ้ เฮี้ยนเนอะ"

พี่หมอพูดหน้าตาย แค่สามคนนับเป็นอะไรได้ ผีทั้งบ้านเขาฆ่าไม่ต่ำกว่าห้าคนทั้งนั้น

"ยังไงก็ระวังนะครับพี่หมอ"

"ขอบคุณที่เตือน"

เขาโบกมือเบาๆ ให้กับผู้จัดการก่อนจะหันไปทางประตูพลางเหลือบมองผีหล่อข้างๆ

"คิดว่าไงเซียร์"

"เหมือนเสียเงินประมูลไปแบบโง่ๆ เลย ถ้ามีคนรู้ว่ามันเฮี้ยนขนาดนั้นราคาคงไม่พุ่งขนาดนี้" ใครบ้างจะอยากได้ของอาถรรพ์แบบนี้ในราคาแสนแพง เซียร์ขมวดคิ้ว "เราคงเข้าใกล้ไม่ได้ง่ายๆ ถ้ามีผีสิงก็ต้องให้ได้รับอนุญาต... ไม่สิ ในวัตถุศักดิ์สิทธิ์มันจะไปมีผีได้ยังไง ต้องเป็นวิญญาณเทวะแล้ว"

"ก็ไม่แน่หรอก วิญญาณที่สิงวัตถุศักดิ์สิทธิ์มีได้หลายประเภท"

"หลายประเภท?"

"ใช่ แต่เอาเถอะ เข้าไปดูแล้วคงรู้เองล่ะ"

ไตรวิชญ์แสยะยิ้มก่อนจะเปิดประตูเข้าไป สิ่งแรกที่สะดุดตาไม่ใช่กล่องแก้วที่ใส่ตะพดแต่เป็นเศษซากที่แตกหักไม่เหลือชิ้นดีของกล่องกับชายหนุ่มร่างสูงในชุดไทยโบราณ

ชายคนนั้นหันหน้ามามองแล้วยิ้มให้อย่างอ่อนโยน แล้วชี้หัวตะพดใส่หน้าเขา

"สวัสดี เจ้าเองหรือที่ซื้อข้าผู้นี้ไป?"

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel